เรื่องนี้เป็นข่าวความคืบหน้าต่อจากกระทู้เดิม
ศาลซูดานพิพากษา “แขวนคอ” หญิงคริสเตียนฐานละทิ้งศาสนาอิสลาม
http://ppantip.com/topic/32057598
ผู้ที่เข้ามาประณามการกระทำของศาลซูดานในกระทู้นั้น โปรดทราบครับว่าท่านมีส่วนช่วยให้ชีวิตหนึ่ง รอดชีวิตจากการถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม
================================================
ศาลซูดานสั่ง “ปล่อยตัว” หญิงคริสเตียนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตฐาน “ละทิ้ง” ความเชื่อทางศาสนาเดิม
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000070971
รอยเตอร์ - หญิงวัย 27 ปีคนหนึ่งซึ่งถูกศาลซูดานตัดสินลงโทษประหารชีวิตเมือเดือนที่แล้ว จากการที่เธอเลิกนับถือศาสนาอิสลามแล้วหันมานับถือศาสนาคริสต์ ได้รับอิสรภาพแล้ววานนี้ (23 มิ.ย.) หลังรัฐบาลกล่าวว่าได้รับแรงกดดันมหาศาลจากนานาชาติ “อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”
ศาลซูดานสั่ง “ปล่อยตัว” หญิงคริสเตียนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตฐาน “ละทิ้ง” ความเชื่อทางศาสนาเดิม
ศาลซูดาน
เมื่อเดือนที่แล้ว มาเรียม ยาห์ยา อิบรอฮิม หญิงชาวซูดานที่สมรสกับชายชาวอเมริกันถูกศาลซูดานสั่งให้กลับไปนับถือศาสนาอิสลามตามเดิม ทั้งยังถูกตัดสินลงโทษโบย 100 ครั้ง และประหารชีวิต
การปล่อยตัวมาเรียมนับเป็นข่าวดีสำหรับบรรดาองค์กรสิทธิมนุษยชน และเหล่ารัฐบาลชาติตะวันตกที่ก่อนหน้านี้แสดงท่าทีโกรธแค้นคำตัดสิน
เมื่อเดือนที่แล้ว อังกฤษได้เรียกตัวอุปทูตซูดานมาฟังการคัดค้านคำพิพากษาของศาล
สำนักข่าวซูนาของซูดานรายงานว่า “ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ปล่อยตัวมาเรียม ยาห์ยา และยกเลิกคำตัดสินของศาล (เมื่อก่อนหน้านี้)” ขณะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของรัฐบาลบอกรอยเตอร์ว่า เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ของซูดานได้ดำเนินการต่างๆ เพื่อให้มาเรียมได้รับอิสรภาพ
กระทรวงการต่างประเทศซูดานแถลงว่า นานาชาติได้ออกมากดดันให้ปล่อยตัวอิบรอฮิมกันมากมาย “ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ทางด้าน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาแสดงความยินดีที่ซูดานตัดสินใจปล่อยตัวอิบรอฮิม
เคร์รีระบุในคำแถลง ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นำออกเผยแพร่ว่า “ทั่วโลกพากันจับตามองคดีของเธอ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ และพลเมืองมากมายของเรา ตลอดจนบรรดาสมาชิกสภาสหรัฐฯ ต่างก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง”
เคร์รีกล่าวเสริมว่า “นับจากนี้ไป เราคาดหวังกันว่า รัฐบาลซูดานจะสามารถเดินหน้าสร้างอนาคตที่แตกต่างและเปี่ยมไปด้วยความหวังให้แก่ประชาชนชาวซูดาน”
ศาลซูดานสั่ง “ปล่อยตัว” อดีตมุสลิมโทษประหารจากการเปลี่ยนศาสนา เนื่องจากถูกกดดันจากทั่วโลก
ศาลซูดานพิพากษา “แขวนคอ” หญิงคริสเตียนฐานละทิ้งศาสนาอิสลาม
http://ppantip.com/topic/32057598
ผู้ที่เข้ามาประณามการกระทำของศาลซูดานในกระทู้นั้น โปรดทราบครับว่าท่านมีส่วนช่วยให้ชีวิตหนึ่ง รอดชีวิตจากการถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม
================================================
ศาลซูดานสั่ง “ปล่อยตัว” หญิงคริสเตียนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตฐาน “ละทิ้ง” ความเชื่อทางศาสนาเดิม
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9570000070971
รอยเตอร์ - หญิงวัย 27 ปีคนหนึ่งซึ่งถูกศาลซูดานตัดสินลงโทษประหารชีวิตเมือเดือนที่แล้ว จากการที่เธอเลิกนับถือศาสนาอิสลามแล้วหันมานับถือศาสนาคริสต์ ได้รับอิสรภาพแล้ววานนี้ (23 มิ.ย.) หลังรัฐบาลกล่าวว่าได้รับแรงกดดันมหาศาลจากนานาชาติ “อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”
ศาลซูดานสั่ง “ปล่อยตัว” หญิงคริสเตียนที่ถูกตัดสินประหารชีวิตฐาน “ละทิ้ง” ความเชื่อทางศาสนาเดิม
ศาลซูดาน
เมื่อเดือนที่แล้ว มาเรียม ยาห์ยา อิบรอฮิม หญิงชาวซูดานที่สมรสกับชายชาวอเมริกันถูกศาลซูดานสั่งให้กลับไปนับถือศาสนาอิสลามตามเดิม ทั้งยังถูกตัดสินลงโทษโบย 100 ครั้ง และประหารชีวิต
การปล่อยตัวมาเรียมนับเป็นข่าวดีสำหรับบรรดาองค์กรสิทธิมนุษยชน และเหล่ารัฐบาลชาติตะวันตกที่ก่อนหน้านี้แสดงท่าทีโกรธแค้นคำตัดสิน
เมื่อเดือนที่แล้ว อังกฤษได้เรียกตัวอุปทูตซูดานมาฟังการคัดค้านคำพิพากษาของศาล
สำนักข่าวซูนาของซูดานรายงานว่า “ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ปล่อยตัวมาเรียม ยาห์ยา และยกเลิกคำตัดสินของศาล (เมื่อก่อนหน้านี้)” ขณะที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของรัฐบาลบอกรอยเตอร์ว่า เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ของซูดานได้ดำเนินการต่างๆ เพื่อให้มาเรียมได้รับอิสรภาพ
กระทรวงการต่างประเทศซูดานแถลงว่า นานาชาติได้ออกมากดดันให้ปล่อยตัวอิบรอฮิมกันมากมาย “ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ทางด้าน จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาแสดงความยินดีที่ซูดานตัดสินใจปล่อยตัวอิบรอฮิม
เคร์รีระบุในคำแถลง ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นำออกเผยแพร่ว่า “ทั่วโลกพากันจับตามองคดีของเธอ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ และพลเมืองมากมายของเรา ตลอดจนบรรดาสมาชิกสภาสหรัฐฯ ต่างก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง”
เคร์รีกล่าวเสริมว่า “นับจากนี้ไป เราคาดหวังกันว่า รัฐบาลซูดานจะสามารถเดินหน้าสร้างอนาคตที่แตกต่างและเปี่ยมไปด้วยความหวังให้แก่ประชาชนชาวซูดาน”