ตอนที่ผ่านมา
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/32197484
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/32215683
บทที่ ๓ สู่โลกใหม่
หลังจากรักษาตัวมาประมาณสามวัน แว่นก็ยอมรับความจริงได้ว่าบัดนี้วิญญาณของตนเองได้มาอยู่ในร่างเด็กสาวนามว่ากุ้ยฮวา ส่วนสาเหตุเกิดจากเข็มทิศมหาลาภอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าเข็มทิศบ้านี้ควรจะถูกเรียกว่ามหาซวยมากกว่า เรียกฟ้าผ่ามาให้ไม่พอ ยังส่งวิญญาณทะลุมิติมาอยู่ในดินแดนที่เหมือนกับจีนโบราณนี่อีก
แว่นรู้สึกหดหู่เมื่อรู้ว่าตัวเองคงไม่มีวันได้กลับไปยังโลกเดิมได้อีก ถึงไม่มีใครบอกก็เข้าใจว่าตัวเองได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แว่นยังจำได้ดีถึงความรู้สึกตอนที่วิญญาณถูกกระชากออกจากร่าง แล้วพลัดหลงเข้าไปในกระแสธารสีฟ้าเย็นเยือก ในขณะที่สติกำลังจะมอดดับก็มีคนมาโอบอุ้มดวงจิตอันแสนบอบช้ำของเขาไว้ บุคคลปริศนาบอกว่าจะมอบชีวิตใหม่ให้ ขาดคำทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน รู้ตัวอีกทีแว่นก็ฟื้นขึ้นมาในร่างนี้แล้ว
‘นี่สินะชีวิตใหม่’
ใครจะคิดว่ากะเทยไทยวัยสามสิบบวกจะได้กลายร่างเป็นชะนีน้อยวัยใส ถึงจะบรรลุตามฝันว่าสักวันฉันจะสวย แว่นก็ยังไม่วายถอนหายใจออกมายาวเหยียด เขาคิดถึงครอบครัวจับใจ ก่อนมาเที่ยวแว่นเพิ่งโทรศัพท์ไปหาแม่ บอกท่านว่าสงกรานต์นี้จะกลับบ้านไปให้กอด เห็นคงจะไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นแล้ว
พาดหัวข่าว ‘ฟ้าพิโรธผ่าสี่เทยดับกลางทุ่ง’ ลอยเข้ามาในหัว คนอื่นอ่านแล้วอาจขำแต่สำหรับญาติพี่น้องคงจุกจนพูดอะไรไม่ออก แม่จะเสียใจแค่ไหน พ่อจะร้องไห้หรือเปล่า พวกท่านต่างก็อายุมากแล้ว จิตใจก็อ่อนแอลงไปตามสังขาร ไม่รู้ว่าเท็น น้องชายคนเดียวของเขาจะรับมือกับสถานการณ์ไหวไหม
ภาพความโศกเศร้าของครอบครัวเดินแถวเข้าสู่ห้วงความคิดเป็นระยะ ในที่สุดแว่นก็ไม่อาจทนฝืนทำเป็นเข้มแข็งได้อีก เขาชันเข่าขึ้นมากอด แล้วร้องไห้ออกมาเต็มเสียง ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะมีการศึกษาสูง แต่ถ้าเป็นเรื่องของครอบครัวแล้ว อารมณ์ของแว่นกลับเปราะบางราวแก้วใส
แว่นสะอึกสะอื้นอยู่นาน ซีอิ๋งถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมตอบ สาวใช้เห็นท่าไม่ดีจึงรีบไปตามคุณชายใหญ่มา พอเห็นว่าน้องร้องไห้ กุ้ยอี้ก็ถลันมาหา แตะตัวจับหน้าผาก แล้วตะโกนให้ตามหมอก่อนที่จะทันได้สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก
แว่นรู้ว่าอาการสติแตกของตัวเองกำลังทำให้คนอื่นเดือดร้อน ความที่พูดไม่ออก เลยส่ายหน้าถี่ๆ แทนการปฏิเสธ
“อย่าฝืนเลยกุ้ยฮวา เจ็บตรงไหนก็บอกมา ท่านหมอจะได้รักษาถูก”
“ข้า...ไม่เป็น...ไรจริงๆ” แว่นพยายามกลั้นสะอื้นบอก
“ไม่เป็นไร แล้วทำไมถึงร้องไห้”
คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับ เห็นสีหน้าคับข้องใจของน้องแล้ว กุ้ยอี้ก็เข้าใจได้ในทันทีว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะเอ่ย จึงปลอบใจด้วยการโอบตัวให้มาพิงซบกับไหล่
“อย่ากังวลไปเลย ท่านหลิ่งปินต้องรักษาเจ้าได้แน่ หมอเทวดามั่นใจว่าเจ้าจะหายเจ้าต้องหายจริงไหม”
ใจของแว่นสงบลงอย่างประหลาดเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มของกุ้ยอี้ ถึงคำปลอบของเขาจะเป็นคนละเรื่องกันกับที่เป็นกังวล แต่มันก็สามารถทำให้น้ำตาเหือดไปจากใบหน้าได้ ความทรงจำของเจ้าของร่างเป็นอีกอย่างที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของแว่น สำหรับกุ้ยฮวาแล้วกุ้ยอี้เป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ และแว่นเองก็สามารถที่จะวางใจในตัวเขาได้เช่นกัน
‘เราไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว’ เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วความเข้มแข็งก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
เมื่อตั้งสติได้และคลายจากอาการเศร้า แว่นก็กลับมาจัดระเบียบความคิดของตัวเองใหม่ ตอนนี้ในหัวเขาเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีไฟล์ข้อมูลต่างๆ วางกองอยู่อย่างไร้ระเบียบ ต้องเริ่มเปิดดูทีละส่วนว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง แล้วแยกประเภทเอาไว้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
แว่นเป็นคนช่างเกตช่างวิเคราะห์อยู่แล้ว เลยทดสอบอะไรหลายๆ อย่าง จนเข้าใจว่าความทรงจำของกุ้ยฮวาที่ตัวเองมีไม่ใช่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในร่าง แต่มันเข้ามาทดแทนความทรงจำของตนต่างหาก เหมือนกับเวลาที่หน่วยความจำเต็ม ก็ต้องลบข้อมูลเก่าออก
ความทรงจำสำคัญอย่างตัวเองเป็นใคร พ่อแม่ชื่ออะไร ตลอดจนความรู้ในสิ่งที่ร่ำเรียนมายังคงอยู่ สิ่งที่หายไปคือรายละเอียดปลีกย่อยของเหตุการณ์ในช่วงชีวิต อย่างแว่นเลี้ยงสุนัขเอาไว้ จำได้ว่ารักมันมากแต่กลับลืมลักษณะและสายพันธุ์ของมันไปเสียอย่างนั้น เขาจำหน้าเพื่อนสมัยมัธยมได้ทุกคนแต่นึกชื่อไม่ออกเลยสักราย ในส่วนของกุ้ยฮวาเองก็เหมือนกัน ยังคงอ่านออกเขียนได้ จำได้ว่าใครเป็นใคร รู้กระทั่งของโปรดท่านพ่อกับท่านพี่ แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองชอบสีอะไร
ข้อมูลเกี่ยวกับตัวกุ้ยฮวามีอยู่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องของแว่น ถึงอย่างนั้นก็มีพฤติกรรมหลายอย่างที่ไม่ใช่นิสัยของแว่นปรากฏให้เห็น อย่างเรื่องอาหารการกิน แว่นเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายแต่ตอนนี้กลับเกลียดเนื้อสัตว์ นั่นก็ไม่อยากกิน นี่ก็ไม่อยากแตะ เบื่อไปเสียหมดทั้งที่อาหารในโลกนี้ไม่ได้เลวร้าย นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวแว่นเลยคือเอะอะอะไรก็ยิ้มเอาไว้ก่อน ปากมันขยับยกขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ ทั้งที่ตัวเองออกจะเป็นคนหน้านิ่งแท้ๆ
แม้จะรู้ตัวว่ามีพฤติกรรมต่างออกไป แว่นก็ยังมั่นใจว่าคงความเป็นตัวเองเอาไว้ได้อย่างน้อยแปดในสิบส่วน สังเกตได้จากความคิดอ่านและการกระทำ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพหน่อยก็ต้องตอนกุ้ยอี้มาเยี่ยม
ผู้ชายคนนี้เปรียบประดุจชายในฝันของแว่น เขามีใบหน้าคล้ายกับดาราที่แว่นหลงใหลได้ปลื้ม ปากกับจมูกเหมือนหวังลี่หง ดวงตากับคิ้วเหมือนเจอร์รี่ พอเอามารวมกันเลยกลายเป็นส่วนผสมของความหล่อที่ลงตัวเป็นอย่างมาก สบตาด้วยแล้วอาการระริกระรี้ในอกเป็นอันต้องกำเริบทุกที
คิดถึงกุ้ยอี้ไม่ทันไร ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือมีผลไม้จานใหญ่
“ซีอิ๋งบอกว่าเจ้าไม่ค่อยอยากอาหาร พี่เลยให้พ่อบ้านไปหาของโปรดเจ้ามาให้”
กุ้ยอี้นำเสนอลูกท้อที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนละลายหัวใจ
‘โอ้พี่ชาย...ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ พี่รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันหิว’
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้เป็นพี่น้องกัน แต่อาการเปรี้ยวปากอยากรับประทานคนหล่อ ก็ใช่ว่าจะห้ามปรามกันได้ง่ายๆ หื่นไม่เว้นแม้แต่กับพี่เชื้อแบบนี้ บอกได้เลยว่าคงไม่ใช่ตัวตนของกุ้ยฮวาแน่
“อ้าปากรอเชียวนะ พี่นึกแล้วเชียวว่าเจ้าต้องอยากกิน” พี่ชายผู้แสนดีบรรจงป้อนผลไม้ให้ถึงปาก
เห็นกุ้ยฮวายอมกินกุ้ยอี้ก็ชื่นใจ ไม่เสียแรงเลยที่สั่งให้คนไปดักซื้อตั้งแต่เช้ามืด ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ ต้นท้อในเมืองเฉียงเจียงยังไม่ออกผล พวกพ่อค้าหัวใสจึงไปรับมาจากดินแดนทางใต้ แล้วนำมาขายในราคาแพง
กุ้ยอี้คอยป้อนผลไม้ให้ โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนที่กำลังเคี้ยวท้อตุ้ยๆ ไม่รู้รสเลย หนำซ้ำยังกำลังวางแผนชั่ว ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหาเรื่องซบอกล่ำๆ ของคุณพี่ชายได้ ถึงเขาจะสวมเสื้อซ้อนกันหลายชั้น นักคำนวณระดับปรมาจารย์อย่างแว่นก็บอกได้ว่ากุ้ยอี้จะต้องหุ่นดีมีซิกซ์แพ็ก
‘ถึงจะรับประทานคุณพี่ไม่ได้ ก็ขอลูบคลำให้ชื่นใจหน่อยเถอะ’
ในจังหวะที่กำลังจะหาเรื่องว่าเหนื่อยแล้วอิงซบ ประตูห้องก็เปิดพรวดเข้ามาโดยไม่มีการบอกกล่าว คนที่มักจะทำอย่างนี้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมามีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ ‘หลิ่งปิน’ หรือในอีกนามคือหมอเทวดา
ท่านหมอเป็นผู้ชายที่รูปงามเป็นอย่างมาก เครื่องหน้าสวย จมูกโด่ง คิ้วเรียว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ทั้งที่แต่งตัวธรรมดาค่อนไปทางไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่กลับดูสูงศักดิ์ทรงอำนาจอย่างประหลาด เมื่อแรกเห็นแว่นก็แอบหลงรูปเขาอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเขามาทีไรคนป่วยเป็นอันต้องเจ็บตัวทุกที แถมยังดุและเข้มงวดมาก เลยขยาดจนหมดความอยากแทะโลมไป
“เจ้าตามใจนาง ให้กินแต่ของหวานอย่างนี้ เมื่อไรจะแข็งแรง” หลิ่งปินเอ็ดเสียงดัง
“ขออภัยขอรับ เห็นนางกินไม่ค่อยได้ ก็เลยเผลอตัว” กุ้ยอี้เอ่ยเสียงอ่อย
แว่นสังเกตหลายครั้งแล้ว่าปกติพี่ชายใหญ่จะวางมาดเคร่งขรึม กับท่านพ่อเองก็ยังทำตัวสบายๆ มีกับท่านหมอนี่แหละที่เวลาอยู่ด้วยแล้วจะออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด คำพูดคำจาก็สุภาพเป็นอย่างมาก
คนที่นี่นิยมพูดกันแบบไม่มีหางเสียง คำว่า ‘ขอรับ’ หรือ ‘เจ้าค่ะ’ เป็นคำที่คนต่ำศักดิ์กว่าอย่างคนรับใช้ใช้เวลาพูดกับเจ้านายเท่านั้น พวกเครือญาติ พวกฝูง ไม่ค่อยนิยมใช้กัน กับครูบาอาจารย์ถ้าไม่นับถือกันมากๆ ยังคุยกันปกติไม่มีหางเสียงเลย
“ข้าอยากให้นางกินเนื้อเยอะๆ ถ้าวันนี้กินไม่ได้ถ้วยหนึ่งก็รักษาต่อกันเอาเองแล้วกัน” ท่านหมอยืนกอดอกด้วยใบหน้าถทึง
กุ้ยอี้ชอบคิดกินว่ากินดีกว่าไม่กิน ก็เลยสรรหาแต่ของโปรดกุ้ยฮวามาให้ นางเลยอิ่มจนไม่ยอมกินของที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
“ต่อไปข้าจะดูแลเองอย่างเคร่งครัด จะไม่ตามใจนางเกินไปอีกแล้ว” กุ้ยอี้รีบพูด
“จะทำอะไรก็จำใส่ใจเอาไว้ก็แล้วกันว่าความรักน้องแบบไร้สติของเจ้าสามารถฆ่านางได้”
หลิ่งปินพูดแรงเสียจนกุ้ยอี้ต้องถอยมายืนคอตกตรงมุมห้อง
‘พี่ชายหน้าสลด พี่ชายกลายเป็นหมาหงอย อ๊ายยย น่ารักอ่ะ ฟินเวอร์’
ไม่ใช่ละ สติสตังกลับมาด่วน ณ จุดนี้เราต้องปกป้องพี่ชายสิ
“ท่านหมออย่าตำหนิท่านพี่เลย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง” แว่นรีบพูด
หลิ่งปินชะงักไปเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่เคยสงบเสงี่ยมลุกขึ้นมาแก้ต่างให้พี่ชาย มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นมาจนเป็นรอยยิ้ม ดูเหมือนเขาจะพอใจกับการกระทำนี้จึงเลิกบ่น
“รู้ตัวก็ดีแล้ว ข้ามานี่เพราะจะมาถามว่าอยากเปลี่ยนยาไหม” หลิ่งปินโบกขวดยาในมือประกอบคำพูด “ข้าได้ของดีอย่างเกล็ดปลาพันปีมาเลยเอามาปรุงให้ กินเจ้านี่แล้วอาจจะทรมานหน่อย แต่ไม่เกินสองวันรับประกันเดินปร๋อ”
“ทรมานที่ว่านี่ เป็นอย่างไรหรือขอรับ” กุ้ยอี้ถามแทนน้อง
ชายหนุ่มไม่ได้ไม่เชื่อใจหมอ ที่ต้องถามเพราะวิชาแพทย์ของท่านหลิ่งปินนั้นออกจะพิสดารอยู่สักหน่อย คำพูดติดปากของท่านหมอคือ ‘ต้องใจถึงจึงรอด’ เขาเลยห่วงว่าน้องสาวผู้แสนอ่อนแอจะทนไม่ไหว
“แล้วแต่คน ของมันหายากเลยมีบันทึกในตำราไม่เท่าไร เอาเป็นว่าทุกคนหายดีก็แล้วกัน แต่อาการข้างเคียงจะต่างกันไป บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว บ้างก็ร้อนๆ หนาวๆ ปวดเนื้อปวดตัวอยู่สองวัน อ้อ! แล้วก็มีรายหนึ่งผื่นขึ้นด้วย”
อธิบายเสร็จหลิ่งปินก็กล่าวเสริมว่าไม่ได้บังคับ ถ้าไม่เอาก็รักษาแบบเดิมไปอีกหนึ่งเดือน แบบเดิมที่ว่าคือการกินยาต้มขมปี๋ทุกๆ สามชั่วยาม
ระบบเวลาที่นี่ไม่เหมือนกับที่โลกที่แว่นจากมา วันหนึ่งจะมีทั้งหมดสามสิบสองชั่วยาม ชั่วยามละประมาณห้าสิบนาที นั่นเท่ากับว่าในหนึ่งวันต้องดื่มยาอย่างน้อยสิบถ้วย ทั้งยังไม่มีสิทธิ์นอนยาวเกินสามชั่วโมง เพราะจะถูกปลุกขึ้นมาให้กินยาตลอด
“ข้าเลือกกินยาตัวใหม่เจ้าค่ะ” แว่นตอบแบบไม่ต้องคิดเลย เขายอมทรมานสองสามวันดีกว่าต้องทนกับสภาพอย่างนี้แรมเดือน
“ดีมาก ตั้งแต่ตายแล้วฟื้นขึ้นมานี่ เจ้าเข้มแข็งขึ้นมากนะกุ้ยฮวา” ท่านหมอชม ก่อนจะส่งขวดยาสีฟ้าขาวให้ถึงมือ
พอเปิดจุกออกแล้วเทดูก็เห็นว่าภายในมียาลูกกลอนเม็ดกลมๆ ขนาดเท่านิ้วก้อยอยู่หนึ่งเม็ด กุ้ยอี้เห็นน้องจะกินยาจึงเดินไปรินน้ำใส่จอกมาให้ กระนั้นก็ยังไม่วายย้ำว่าอย่าฝืน
“จะฝืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเอง เจ้าอย่าได้ชี้นำ” หลิ่งปินติงพี่ชายจอมขี้เป็นห่วงอีกรอบ กุ้ยอี้เลยต้องเก็บปากเก็บคำ
แว่นหยิบยาเข้าปากแล้วกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล เมื่อคนไข้กินยาแล้ว หมออย่างหลิ่งปินก็อธิบายว่าในช่วงสามวันนี้ ต่อให้เป็นอะไรก็ห้ามให้ยาอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นกุ้ยฮวาอาจถึงชีวิตได้ ส่วนอาหารก็ต้องกินตามที่เขากำหนด สั่งเสร็จก็พรวดพราดออกไป โดยไม่รอฟังคำขอบคุณเหมือนทุกครั้ง
แว่นคิดว่าผู้ชายคนนี้ประหลาดจริงๆ เลยเริ่มสนใจเขา เสียดายว่าข้อมูลในหัวมีเรื่องของคนคนนี้เพียงน้อยนิด พอถามกุ้ยอี้ว่าท่านหมอแซ่อะไร พี่ชายก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้ ทราบแต่เขาเป็นเพื่อนกับท่านพ่อ
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๑ ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ สู่โลกใหม่
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/32197484
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/32215683
บทที่ ๓ สู่โลกใหม่
หลังจากรักษาตัวมาประมาณสามวัน แว่นก็ยอมรับความจริงได้ว่าบัดนี้วิญญาณของตนเองได้มาอยู่ในร่างเด็กสาวนามว่ากุ้ยฮวา ส่วนสาเหตุเกิดจากเข็มทิศมหาลาภอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าเข็มทิศบ้านี้ควรจะถูกเรียกว่ามหาซวยมากกว่า เรียกฟ้าผ่ามาให้ไม่พอ ยังส่งวิญญาณทะลุมิติมาอยู่ในดินแดนที่เหมือนกับจีนโบราณนี่อีก
แว่นรู้สึกหดหู่เมื่อรู้ว่าตัวเองคงไม่มีวันได้กลับไปยังโลกเดิมได้อีก ถึงไม่มีใครบอกก็เข้าใจว่าตัวเองได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แว่นยังจำได้ดีถึงความรู้สึกตอนที่วิญญาณถูกกระชากออกจากร่าง แล้วพลัดหลงเข้าไปในกระแสธารสีฟ้าเย็นเยือก ในขณะที่สติกำลังจะมอดดับก็มีคนมาโอบอุ้มดวงจิตอันแสนบอบช้ำของเขาไว้ บุคคลปริศนาบอกว่าจะมอบชีวิตใหม่ให้ ขาดคำทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน รู้ตัวอีกทีแว่นก็ฟื้นขึ้นมาในร่างนี้แล้ว
‘นี่สินะชีวิตใหม่’
ใครจะคิดว่ากะเทยไทยวัยสามสิบบวกจะได้กลายร่างเป็นชะนีน้อยวัยใส ถึงจะบรรลุตามฝันว่าสักวันฉันจะสวย แว่นก็ยังไม่วายถอนหายใจออกมายาวเหยียด เขาคิดถึงครอบครัวจับใจ ก่อนมาเที่ยวแว่นเพิ่งโทรศัพท์ไปหาแม่ บอกท่านว่าสงกรานต์นี้จะกลับบ้านไปให้กอด เห็นคงจะไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นแล้ว
พาดหัวข่าว ‘ฟ้าพิโรธผ่าสี่เทยดับกลางทุ่ง’ ลอยเข้ามาในหัว คนอื่นอ่านแล้วอาจขำแต่สำหรับญาติพี่น้องคงจุกจนพูดอะไรไม่ออก แม่จะเสียใจแค่ไหน พ่อจะร้องไห้หรือเปล่า พวกท่านต่างก็อายุมากแล้ว จิตใจก็อ่อนแอลงไปตามสังขาร ไม่รู้ว่าเท็น น้องชายคนเดียวของเขาจะรับมือกับสถานการณ์ไหวไหม
ภาพความโศกเศร้าของครอบครัวเดินแถวเข้าสู่ห้วงความคิดเป็นระยะ ในที่สุดแว่นก็ไม่อาจทนฝืนทำเป็นเข้มแข็งได้อีก เขาชันเข่าขึ้นมากอด แล้วร้องไห้ออกมาเต็มเสียง ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะมีการศึกษาสูง แต่ถ้าเป็นเรื่องของครอบครัวแล้ว อารมณ์ของแว่นกลับเปราะบางราวแก้วใส
แว่นสะอึกสะอื้นอยู่นาน ซีอิ๋งถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมตอบ สาวใช้เห็นท่าไม่ดีจึงรีบไปตามคุณชายใหญ่มา พอเห็นว่าน้องร้องไห้ กุ้ยอี้ก็ถลันมาหา แตะตัวจับหน้าผาก แล้วตะโกนให้ตามหมอก่อนที่จะทันได้สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก
แว่นรู้ว่าอาการสติแตกของตัวเองกำลังทำให้คนอื่นเดือดร้อน ความที่พูดไม่ออก เลยส่ายหน้าถี่ๆ แทนการปฏิเสธ
“อย่าฝืนเลยกุ้ยฮวา เจ็บตรงไหนก็บอกมา ท่านหมอจะได้รักษาถูก”
“ข้า...ไม่เป็น...ไรจริงๆ” แว่นพยายามกลั้นสะอื้นบอก
“ไม่เป็นไร แล้วทำไมถึงร้องไห้”
คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับ เห็นสีหน้าคับข้องใจของน้องแล้ว กุ้ยอี้ก็เข้าใจได้ในทันทีว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะเอ่ย จึงปลอบใจด้วยการโอบตัวให้มาพิงซบกับไหล่
“อย่ากังวลไปเลย ท่านหลิ่งปินต้องรักษาเจ้าได้แน่ หมอเทวดามั่นใจว่าเจ้าจะหายเจ้าต้องหายจริงไหม”
ใจของแว่นสงบลงอย่างประหลาดเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มของกุ้ยอี้ ถึงคำปลอบของเขาจะเป็นคนละเรื่องกันกับที่เป็นกังวล แต่มันก็สามารถทำให้น้ำตาเหือดไปจากใบหน้าได้ ความทรงจำของเจ้าของร่างเป็นอีกอย่างที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของแว่น สำหรับกุ้ยฮวาแล้วกุ้ยอี้เป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ และแว่นเองก็สามารถที่จะวางใจในตัวเขาได้เช่นกัน
‘เราไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว’ เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วความเข้มแข็งก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
เมื่อตั้งสติได้และคลายจากอาการเศร้า แว่นก็กลับมาจัดระเบียบความคิดของตัวเองใหม่ ตอนนี้ในหัวเขาเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีไฟล์ข้อมูลต่างๆ วางกองอยู่อย่างไร้ระเบียบ ต้องเริ่มเปิดดูทีละส่วนว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง แล้วแยกประเภทเอาไว้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
แว่นเป็นคนช่างเกตช่างวิเคราะห์อยู่แล้ว เลยทดสอบอะไรหลายๆ อย่าง จนเข้าใจว่าความทรงจำของกุ้ยฮวาที่ตัวเองมีไม่ใช่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในร่าง แต่มันเข้ามาทดแทนความทรงจำของตนต่างหาก เหมือนกับเวลาที่หน่วยความจำเต็ม ก็ต้องลบข้อมูลเก่าออก
ความทรงจำสำคัญอย่างตัวเองเป็นใคร พ่อแม่ชื่ออะไร ตลอดจนความรู้ในสิ่งที่ร่ำเรียนมายังคงอยู่ สิ่งที่หายไปคือรายละเอียดปลีกย่อยของเหตุการณ์ในช่วงชีวิต อย่างแว่นเลี้ยงสุนัขเอาไว้ จำได้ว่ารักมันมากแต่กลับลืมลักษณะและสายพันธุ์ของมันไปเสียอย่างนั้น เขาจำหน้าเพื่อนสมัยมัธยมได้ทุกคนแต่นึกชื่อไม่ออกเลยสักราย ในส่วนของกุ้ยฮวาเองก็เหมือนกัน ยังคงอ่านออกเขียนได้ จำได้ว่าใครเป็นใคร รู้กระทั่งของโปรดท่านพ่อกับท่านพี่ แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองชอบสีอะไร
ข้อมูลเกี่ยวกับตัวกุ้ยฮวามีอยู่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องของแว่น ถึงอย่างนั้นก็มีพฤติกรรมหลายอย่างที่ไม่ใช่นิสัยของแว่นปรากฏให้เห็น อย่างเรื่องอาหารการกิน แว่นเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายแต่ตอนนี้กลับเกลียดเนื้อสัตว์ นั่นก็ไม่อยากกิน นี่ก็ไม่อยากแตะ เบื่อไปเสียหมดทั้งที่อาหารในโลกนี้ไม่ได้เลวร้าย นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวแว่นเลยคือเอะอะอะไรก็ยิ้มเอาไว้ก่อน ปากมันขยับยกขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ ทั้งที่ตัวเองออกจะเป็นคนหน้านิ่งแท้ๆ
แม้จะรู้ตัวว่ามีพฤติกรรมต่างออกไป แว่นก็ยังมั่นใจว่าคงความเป็นตัวเองเอาไว้ได้อย่างน้อยแปดในสิบส่วน สังเกตได้จากความคิดอ่านและการกระทำ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพหน่อยก็ต้องตอนกุ้ยอี้มาเยี่ยม
ผู้ชายคนนี้เปรียบประดุจชายในฝันของแว่น เขามีใบหน้าคล้ายกับดาราที่แว่นหลงใหลได้ปลื้ม ปากกับจมูกเหมือนหวังลี่หง ดวงตากับคิ้วเหมือนเจอร์รี่ พอเอามารวมกันเลยกลายเป็นส่วนผสมของความหล่อที่ลงตัวเป็นอย่างมาก สบตาด้วยแล้วอาการระริกระรี้ในอกเป็นอันต้องกำเริบทุกที
คิดถึงกุ้ยอี้ไม่ทันไร ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือมีผลไม้จานใหญ่
“ซีอิ๋งบอกว่าเจ้าไม่ค่อยอยากอาหาร พี่เลยให้พ่อบ้านไปหาของโปรดเจ้ามาให้”
กุ้ยอี้นำเสนอลูกท้อที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนละลายหัวใจ
‘โอ้พี่ชาย...ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ พี่รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันหิว’
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้เป็นพี่น้องกัน แต่อาการเปรี้ยวปากอยากรับประทานคนหล่อ ก็ใช่ว่าจะห้ามปรามกันได้ง่ายๆ หื่นไม่เว้นแม้แต่กับพี่เชื้อแบบนี้ บอกได้เลยว่าคงไม่ใช่ตัวตนของกุ้ยฮวาแน่
“อ้าปากรอเชียวนะ พี่นึกแล้วเชียวว่าเจ้าต้องอยากกิน” พี่ชายผู้แสนดีบรรจงป้อนผลไม้ให้ถึงปาก
เห็นกุ้ยฮวายอมกินกุ้ยอี้ก็ชื่นใจ ไม่เสียแรงเลยที่สั่งให้คนไปดักซื้อตั้งแต่เช้ามืด ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ ต้นท้อในเมืองเฉียงเจียงยังไม่ออกผล พวกพ่อค้าหัวใสจึงไปรับมาจากดินแดนทางใต้ แล้วนำมาขายในราคาแพง
กุ้ยอี้คอยป้อนผลไม้ให้ โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนที่กำลังเคี้ยวท้อตุ้ยๆ ไม่รู้รสเลย หนำซ้ำยังกำลังวางแผนชั่ว ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหาเรื่องซบอกล่ำๆ ของคุณพี่ชายได้ ถึงเขาจะสวมเสื้อซ้อนกันหลายชั้น นักคำนวณระดับปรมาจารย์อย่างแว่นก็บอกได้ว่ากุ้ยอี้จะต้องหุ่นดีมีซิกซ์แพ็ก
‘ถึงจะรับประทานคุณพี่ไม่ได้ ก็ขอลูบคลำให้ชื่นใจหน่อยเถอะ’
ในจังหวะที่กำลังจะหาเรื่องว่าเหนื่อยแล้วอิงซบ ประตูห้องก็เปิดพรวดเข้ามาโดยไม่มีการบอกกล่าว คนที่มักจะทำอย่างนี้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมามีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ ‘หลิ่งปิน’ หรือในอีกนามคือหมอเทวดา
ท่านหมอเป็นผู้ชายที่รูปงามเป็นอย่างมาก เครื่องหน้าสวย จมูกโด่ง คิ้วเรียว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ทั้งที่แต่งตัวธรรมดาค่อนไปทางไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่กลับดูสูงศักดิ์ทรงอำนาจอย่างประหลาด เมื่อแรกเห็นแว่นก็แอบหลงรูปเขาอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเขามาทีไรคนป่วยเป็นอันต้องเจ็บตัวทุกที แถมยังดุและเข้มงวดมาก เลยขยาดจนหมดความอยากแทะโลมไป
“เจ้าตามใจนาง ให้กินแต่ของหวานอย่างนี้ เมื่อไรจะแข็งแรง” หลิ่งปินเอ็ดเสียงดัง
“ขออภัยขอรับ เห็นนางกินไม่ค่อยได้ ก็เลยเผลอตัว” กุ้ยอี้เอ่ยเสียงอ่อย
แว่นสังเกตหลายครั้งแล้ว่าปกติพี่ชายใหญ่จะวางมาดเคร่งขรึม กับท่านพ่อเองก็ยังทำตัวสบายๆ มีกับท่านหมอนี่แหละที่เวลาอยู่ด้วยแล้วจะออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด คำพูดคำจาก็สุภาพเป็นอย่างมาก
คนที่นี่นิยมพูดกันแบบไม่มีหางเสียง คำว่า ‘ขอรับ’ หรือ ‘เจ้าค่ะ’ เป็นคำที่คนต่ำศักดิ์กว่าอย่างคนรับใช้ใช้เวลาพูดกับเจ้านายเท่านั้น พวกเครือญาติ พวกฝูง ไม่ค่อยนิยมใช้กัน กับครูบาอาจารย์ถ้าไม่นับถือกันมากๆ ยังคุยกันปกติไม่มีหางเสียงเลย
“ข้าอยากให้นางกินเนื้อเยอะๆ ถ้าวันนี้กินไม่ได้ถ้วยหนึ่งก็รักษาต่อกันเอาเองแล้วกัน” ท่านหมอยืนกอดอกด้วยใบหน้าถทึง
กุ้ยอี้ชอบคิดกินว่ากินดีกว่าไม่กิน ก็เลยสรรหาแต่ของโปรดกุ้ยฮวามาให้ นางเลยอิ่มจนไม่ยอมกินของที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
“ต่อไปข้าจะดูแลเองอย่างเคร่งครัด จะไม่ตามใจนางเกินไปอีกแล้ว” กุ้ยอี้รีบพูด
“จะทำอะไรก็จำใส่ใจเอาไว้ก็แล้วกันว่าความรักน้องแบบไร้สติของเจ้าสามารถฆ่านางได้”
หลิ่งปินพูดแรงเสียจนกุ้ยอี้ต้องถอยมายืนคอตกตรงมุมห้อง
‘พี่ชายหน้าสลด พี่ชายกลายเป็นหมาหงอย อ๊ายยย น่ารักอ่ะ ฟินเวอร์’
ไม่ใช่ละ สติสตังกลับมาด่วน ณ จุดนี้เราต้องปกป้องพี่ชายสิ
“ท่านหมออย่าตำหนิท่านพี่เลย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง” แว่นรีบพูด
หลิ่งปินชะงักไปเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่เคยสงบเสงี่ยมลุกขึ้นมาแก้ต่างให้พี่ชาย มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นมาจนเป็นรอยยิ้ม ดูเหมือนเขาจะพอใจกับการกระทำนี้จึงเลิกบ่น
“รู้ตัวก็ดีแล้ว ข้ามานี่เพราะจะมาถามว่าอยากเปลี่ยนยาไหม” หลิ่งปินโบกขวดยาในมือประกอบคำพูด “ข้าได้ของดีอย่างเกล็ดปลาพันปีมาเลยเอามาปรุงให้ กินเจ้านี่แล้วอาจจะทรมานหน่อย แต่ไม่เกินสองวันรับประกันเดินปร๋อ”
“ทรมานที่ว่านี่ เป็นอย่างไรหรือขอรับ” กุ้ยอี้ถามแทนน้อง
ชายหนุ่มไม่ได้ไม่เชื่อใจหมอ ที่ต้องถามเพราะวิชาแพทย์ของท่านหลิ่งปินนั้นออกจะพิสดารอยู่สักหน่อย คำพูดติดปากของท่านหมอคือ ‘ต้องใจถึงจึงรอด’ เขาเลยห่วงว่าน้องสาวผู้แสนอ่อนแอจะทนไม่ไหว
“แล้วแต่คน ของมันหายากเลยมีบันทึกในตำราไม่เท่าไร เอาเป็นว่าทุกคนหายดีก็แล้วกัน แต่อาการข้างเคียงจะต่างกันไป บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว บ้างก็ร้อนๆ หนาวๆ ปวดเนื้อปวดตัวอยู่สองวัน อ้อ! แล้วก็มีรายหนึ่งผื่นขึ้นด้วย”
อธิบายเสร็จหลิ่งปินก็กล่าวเสริมว่าไม่ได้บังคับ ถ้าไม่เอาก็รักษาแบบเดิมไปอีกหนึ่งเดือน แบบเดิมที่ว่าคือการกินยาต้มขมปี๋ทุกๆ สามชั่วยาม
ระบบเวลาที่นี่ไม่เหมือนกับที่โลกที่แว่นจากมา วันหนึ่งจะมีทั้งหมดสามสิบสองชั่วยาม ชั่วยามละประมาณห้าสิบนาที นั่นเท่ากับว่าในหนึ่งวันต้องดื่มยาอย่างน้อยสิบถ้วย ทั้งยังไม่มีสิทธิ์นอนยาวเกินสามชั่วโมง เพราะจะถูกปลุกขึ้นมาให้กินยาตลอด
“ข้าเลือกกินยาตัวใหม่เจ้าค่ะ” แว่นตอบแบบไม่ต้องคิดเลย เขายอมทรมานสองสามวันดีกว่าต้องทนกับสภาพอย่างนี้แรมเดือน
“ดีมาก ตั้งแต่ตายแล้วฟื้นขึ้นมานี่ เจ้าเข้มแข็งขึ้นมากนะกุ้ยฮวา” ท่านหมอชม ก่อนจะส่งขวดยาสีฟ้าขาวให้ถึงมือ
พอเปิดจุกออกแล้วเทดูก็เห็นว่าภายในมียาลูกกลอนเม็ดกลมๆ ขนาดเท่านิ้วก้อยอยู่หนึ่งเม็ด กุ้ยอี้เห็นน้องจะกินยาจึงเดินไปรินน้ำใส่จอกมาให้ กระนั้นก็ยังไม่วายย้ำว่าอย่าฝืน
“จะฝืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเอง เจ้าอย่าได้ชี้นำ” หลิ่งปินติงพี่ชายจอมขี้เป็นห่วงอีกรอบ กุ้ยอี้เลยต้องเก็บปากเก็บคำ
แว่นหยิบยาเข้าปากแล้วกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล เมื่อคนไข้กินยาแล้ว หมออย่างหลิ่งปินก็อธิบายว่าในช่วงสามวันนี้ ต่อให้เป็นอะไรก็ห้ามให้ยาอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นกุ้ยฮวาอาจถึงชีวิตได้ ส่วนอาหารก็ต้องกินตามที่เขากำหนด สั่งเสร็จก็พรวดพราดออกไป โดยไม่รอฟังคำขอบคุณเหมือนทุกครั้ง
แว่นคิดว่าผู้ชายคนนี้ประหลาดจริงๆ เลยเริ่มสนใจเขา เสียดายว่าข้อมูลในหัวมีเรื่องของคนคนนี้เพียงน้อยนิด พอถามกุ้ยอี้ว่าท่านหมอแซ่อะไร พี่ชายก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้ ทราบแต่เขาเป็นเพื่อนกับท่านพ่อ