ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 66-67
http://ppantip.com/topic/31552120
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 68
เบื้องหน้าภูวิษะเจ้า มีบุรุษที่เคยแข็งแกร่งกว่าผู้ใด ท่วงท่าก็ห้าวหาญเป็นที่น่าเกรงขามแก่ผู้คนนัก มหัทธนะ เป็นขุนพลใหญ่ในแว่นแคว้นมาหลายสิบปี รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่สมัยพระบาทเจ้าพระองค์ก่อน จนมาเติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมีในพระบาทเจ้าสิทธิเสณ โปรดแต่งตั้งให้เป็นขุนพลเอกแห่งจุมภะ เป็นบุคคลอันน่านับถือทั้งแก่ข้าราชการทั้งมวลหรือแม้แต่ราชบุตรเขยองค์ต่างๆ ก็ต้องเกรงใจสิงห์เฒ่าผู้นี้
แต่มาบัดนี้มหัทธนะ ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้าเจ้านาคราช เมื่อถูกเชิญให้ขึ้นนั่งบนตั่งเสมอกันก็ปฏิเสธด้วยมิกล้า ใบหน้าที่เคยดูเข้มแข็งบัดนี้อ่อนระโหย แววตาดุดันเป็นที่กริ่งเกรงของผู้คนเสมอมายามนี้สะท้อนแต่แววละอายและสิ้นความหวัง
“มหัทธนะ ท่านอย่าทำให้เราลำบากใจ มีสิ่งใดให้เราช่วยก็กล่าวมาเถิด ” คำตรัสของภูวิษะเจ้านั้นทำให้ขุนพลเฒ่ามีกำลังใจขึ้นอักโข อย่างน้อยๆ ราชบุตรเขยยังมีความเกรงใจมอบให้
“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมรู้ว่ามิควรมาที่นี่เสียด้วยซ้ำ แต่..อย่างไรกระหม่อมก็บิดาของศรีดารา แม้นางจะก่อเรื่องชั่วช้าอย่างไร กระหม่อมก็ยังเป็นบิดาของนาง....”
ภูวิษะเจ้านั่งนิ่งมิได้ตรัสคำใดออกมาอีก ทรงเข้าพระทัยจุดประสงค์ของขุนพลมหัทธนะ เป็นอย่างดี เบื้องหน้าพระองค์บุรุษผู้นี้มิได้เป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเพียงบิดาที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือแก่บุตรีของตนเท่านั้น เจ้านาคราชทอดพระเนตรแล้วก็ทอดถอนหทัย เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วันจากที่พบกันครั้งสุดท้าย ขุนพลเอกกลับดูแก่ชราลงหลายปี แววตานั้นหม่นหมอง ผมสีดอกเลาขึ้นปกคลุมศีรษะจากเดิมที่เพียงขึ้นแซมเล็กน้อยเท่านั้น ไหล่อันผึ่งผายนั้นก็ลู่ลงยามเมื่อมาขอความเห็นใจจากนาคเจ้า
“เป็นกระหม่อมเองที่อบรมนางไม่ดี ถึงได้ใฝ่ต่ำ คิดชั่ว แนะนำทางร้ายให้กับพระเทวี นางสมควรถูกประหารตามอาญาบ้านเมือง...แต่..” ขุนพลเฒ่าเสียงเครือลงเป็นอันมาก จนผู้ฟังรับรู้ถึงอารมณ์อันรวดร้าวของบิดาผู้กำลังจะสูญเสียบุตรีไป
“แม่ของนางตายเสียแต่นางยังเล็กนัก กระหม่อมเองก็มีงานมากมาย จึงปล่อยปละละเลยนางเสียจนไม่รู้จักคิด สิ่งที่นางกระทำไปกระหม่อมเองก็สมควรได้รับโทษร่วมกับนาง ฐานที่มิได้อบรมบ่มเพาะนางมาให้ดี”
“มหัทธนะท่านอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนั้น สิ่งใดที่ศรีดาราทำไปนางก็มิได้เคยปรึกษาท่าน อีกอย่าง...นางก็แค่ หญิงสิ้นคิด...นางเป็นแค่สตรีเท่านั้น จะคิดอ่านใช่ว่าจะกว้างไกลเท่าบุรุษ”
“ถึงเป็นเช่นนั้นก็เถิด อย่างไรก็ยังเป็นความผิดของข้าพระองค์อยู่ดี ท่านภูวิษะหากเห็นแก่ความดีความชอบที่กระหม่อมเคยกระทำไว้แก่บ้านเมือง ขอได้ทรงโปรด...เว้นโทษตายให้นางสักครั้ง” กล่าวจบขุนพลผู้องอาจก็ก้มลงกราบแทบพระบาทเจ้านาคราช
“มหัทธนะ...ลุกขึ้นเถิดอย่าได้ทำเช่นนี้ เรามิได้เป็นผู้มีอำนาจจะสั่งการเรื่องนี้ได้ ทุกชีวิตในจุมภะล้วนแต่ขึ้นกับพระบาทเจ้า ท่านไปกราบทูลขออภัยโทษเถิด เราเชื่อว่าด้วยความดีความชอบแต่หนหลัง พระบาทเจ้าจะทรงเมตตา” เมื่อตรัสแล้วก็ก้มลงประคองขุนพลเฒ่าขึ้นมา แต่มหัทธนะยังขืนตัวมิกล้าขึ้นนั่งเสมอ
“ราชบุตรเขยขอบพระทัยที่ทรงพระกรุณา แต่เรื่องนี้พระบาทเจ้าตรัสว่าแล้วแต่ท่าน กระหม่อมจึงได้แบกหน้ามาขอให้ทรงกรุณาพะยะค่ะ”
เมื่อได้สดับพระขนงก็ขมวดมุ่น ไม่นานนักก็คลายออกเมื่อขุนพลมหัทธนะเล่าถวาย ว่าได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าขออภัยโทษแก่บุตรี แต่พระบาทเจ้าสิทธิเสณมิได้อยู่ในพระอารมณ์ปกตินัก ทรงพระพักตร์บึ้งตึงเมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ สุดท้ายก็ตรัสประชดประชัน
“เจ้าไปขอร้องภูวิษะดีกว่า ศรีดาราเป็นคนของมัน เดี๋ยวถ้าข้าปล่อยส่งเดชมันจะมาถอนหงอกข้าเอาได้! ดูแต่มหิตา..มันยังกล้าปากดีว่าข้าเป็นแค่พ่อตา มันสิเป็นผัว ยกให้มันให้ก็เป็นสิทธิ์ของมัน แล้วกระไรกับแม่ศรีดาราลูกสาวเจ้าเล่า เดี๋ยวมันก็ได้ยอกย้อนมาอีกว่าคนของมัน เช่นนั้นเจ้าก็ไปร้องขอแก่มันเถิด ชะ!”
ภูวิษะเจ้าสดับแล้วต้องถอนหทัยออกมาโดยแรง ดูท่าพระสัสสุระยังกริ้วไม่คลาย จึงได้ตรัสประชดประชันเช่นนี้ หากอภัยให้นางศรีดาราตามคำขอโดยมิได้กราบทูล ลางทีอาจจะทำให้พิโรธหนักขึ้นไปอีก
“ท่านภูวิษะ...ทรงกรุณาเถิด กระหม่อมรู้ว่าเรื่องนี้หนักหนาสาหัสนัก แต่กระหม่อมมีนางเป็นบุตรีเพียงคนเดียว กระหม่อมมิอาจทนดูนางต้องตายไปต่อหน้าได้ ขอทรงเห็นใจเถิด...” ขุนพลผู้ชาญศึกมิเคยหวาดหวั่นต่อความตาย แต่เพลานี้นัยน์ตากร้าวคู่นั้นกลับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“เรายังมิเคยมีลูก...แต่เราเข้าใจความทุกข์ของท่าน”
“ท่านหมายความว่า?”
“เอาเถิด...เราจะเข้าเฝ้ากราบทูลขออภัยโทษให้แก่นาง แต่ทั้งนี้สุดแล้วแต่พระบาทเจ้าว่าจะทรงตัดสินเรื่องนี้อย่างไร”
“ขอบพระทัย!” ไม่เคยมีครั้งใดที่ยอดขุนพลก้มลงกราบผู้อื่นที่มิใช่พระบาทเจ้า อย่างเต็มหัวใจเท่าครั้งนี้
ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลเล็กน้อย เห็นทีองค์เองจะต้องเข้าไปกราบขออภัยโทษที่ได้กระทำกระด้างกระเดื่องให้เป็นที่ขุ่นพระทัยเสียก่อน จึงค่อยกราบทูลขออภัยโทษให้แก่ศรีดารา น่าประหลาดที่ในพระทัยเย็นโล่งราวมีลมหอบใหญ่พัดพาเอาตะกอนในใจออกไป ทิฐิมานะทุกประการละลายลงด้วยน้ำตาของบุรุษผู้ยอมลดตัวลงมาเพื่อบุตรีตนเองโดยแท้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 68
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
เบื้องหน้าภูวิษะเจ้า มีบุรุษที่เคยแข็งแกร่งกว่าผู้ใด ท่วงท่าก็ห้าวหาญเป็นที่น่าเกรงขามแก่ผู้คนนัก มหัทธนะ เป็นขุนพลใหญ่ในแว่นแคว้นมาหลายสิบปี รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่สมัยพระบาทเจ้าพระองค์ก่อน จนมาเติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมีในพระบาทเจ้าสิทธิเสณ โปรดแต่งตั้งให้เป็นขุนพลเอกแห่งจุมภะ เป็นบุคคลอันน่านับถือทั้งแก่ข้าราชการทั้งมวลหรือแม้แต่ราชบุตรเขยองค์ต่างๆ ก็ต้องเกรงใจสิงห์เฒ่าผู้นี้
แต่มาบัดนี้มหัทธนะ ได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้าเจ้านาคราช เมื่อถูกเชิญให้ขึ้นนั่งบนตั่งเสมอกันก็ปฏิเสธด้วยมิกล้า ใบหน้าที่เคยดูเข้มแข็งบัดนี้อ่อนระโหย แววตาดุดันเป็นที่กริ่งเกรงของผู้คนเสมอมายามนี้สะท้อนแต่แววละอายและสิ้นความหวัง
“มหัทธนะ ท่านอย่าทำให้เราลำบากใจ มีสิ่งใดให้เราช่วยก็กล่าวมาเถิด ” คำตรัสของภูวิษะเจ้านั้นทำให้ขุนพลเฒ่ามีกำลังใจขึ้นอักโข อย่างน้อยๆ ราชบุตรเขยยังมีความเกรงใจมอบให้
“กระหม่อมมิกล้า กระหม่อมรู้ว่ามิควรมาที่นี่เสียด้วยซ้ำ แต่..อย่างไรกระหม่อมก็บิดาของศรีดารา แม้นางจะก่อเรื่องชั่วช้าอย่างไร กระหม่อมก็ยังเป็นบิดาของนาง....”
ภูวิษะเจ้านั่งนิ่งมิได้ตรัสคำใดออกมาอีก ทรงเข้าพระทัยจุดประสงค์ของขุนพลมหัทธนะ เป็นอย่างดี เบื้องหน้าพระองค์บุรุษผู้นี้มิได้เป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเพียงบิดาที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือแก่บุตรีของตนเท่านั้น เจ้านาคราชทอดพระเนตรแล้วก็ทอดถอนหทัย เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วันจากที่พบกันครั้งสุดท้าย ขุนพลเอกกลับดูแก่ชราลงหลายปี แววตานั้นหม่นหมอง ผมสีดอกเลาขึ้นปกคลุมศีรษะจากเดิมที่เพียงขึ้นแซมเล็กน้อยเท่านั้น ไหล่อันผึ่งผายนั้นก็ลู่ลงยามเมื่อมาขอความเห็นใจจากนาคเจ้า
“เป็นกระหม่อมเองที่อบรมนางไม่ดี ถึงได้ใฝ่ต่ำ คิดชั่ว แนะนำทางร้ายให้กับพระเทวี นางสมควรถูกประหารตามอาญาบ้านเมือง...แต่..” ขุนพลเฒ่าเสียงเครือลงเป็นอันมาก จนผู้ฟังรับรู้ถึงอารมณ์อันรวดร้าวของบิดาผู้กำลังจะสูญเสียบุตรีไป
“แม่ของนางตายเสียแต่นางยังเล็กนัก กระหม่อมเองก็มีงานมากมาย จึงปล่อยปละละเลยนางเสียจนไม่รู้จักคิด สิ่งที่นางกระทำไปกระหม่อมเองก็สมควรได้รับโทษร่วมกับนาง ฐานที่มิได้อบรมบ่มเพาะนางมาให้ดี”
“มหัทธนะท่านอย่าได้กล่าวโทษตนเองเช่นนั้น สิ่งใดที่ศรีดาราทำไปนางก็มิได้เคยปรึกษาท่าน อีกอย่าง...นางก็แค่ หญิงสิ้นคิด...นางเป็นแค่สตรีเท่านั้น จะคิดอ่านใช่ว่าจะกว้างไกลเท่าบุรุษ”
“ถึงเป็นเช่นนั้นก็เถิด อย่างไรก็ยังเป็นความผิดของข้าพระองค์อยู่ดี ท่านภูวิษะหากเห็นแก่ความดีความชอบที่กระหม่อมเคยกระทำไว้แก่บ้านเมือง ขอได้ทรงโปรด...เว้นโทษตายให้นางสักครั้ง” กล่าวจบขุนพลผู้องอาจก็ก้มลงกราบแทบพระบาทเจ้านาคราช
“มหัทธนะ...ลุกขึ้นเถิดอย่าได้ทำเช่นนี้ เรามิได้เป็นผู้มีอำนาจจะสั่งการเรื่องนี้ได้ ทุกชีวิตในจุมภะล้วนแต่ขึ้นกับพระบาทเจ้า ท่านไปกราบทูลขออภัยโทษเถิด เราเชื่อว่าด้วยความดีความชอบแต่หนหลัง พระบาทเจ้าจะทรงเมตตา” เมื่อตรัสแล้วก็ก้มลงประคองขุนพลเฒ่าขึ้นมา แต่มหัทธนะยังขืนตัวมิกล้าขึ้นนั่งเสมอ
“ราชบุตรเขยขอบพระทัยที่ทรงพระกรุณา แต่เรื่องนี้พระบาทเจ้าตรัสว่าแล้วแต่ท่าน กระหม่อมจึงได้แบกหน้ามาขอให้ทรงกรุณาพะยะค่ะ”
เมื่อได้สดับพระขนงก็ขมวดมุ่น ไม่นานนักก็คลายออกเมื่อขุนพลมหัทธนะเล่าถวาย ว่าได้เข้าเฝ้าทูลเกล้าขออภัยโทษแก่บุตรี แต่พระบาทเจ้าสิทธิเสณมิได้อยู่ในพระอารมณ์ปกตินัก ทรงพระพักตร์บึ้งตึงเมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ สุดท้ายก็ตรัสประชดประชัน
“เจ้าไปขอร้องภูวิษะดีกว่า ศรีดาราเป็นคนของมัน เดี๋ยวถ้าข้าปล่อยส่งเดชมันจะมาถอนหงอกข้าเอาได้! ดูแต่มหิตา..มันยังกล้าปากดีว่าข้าเป็นแค่พ่อตา มันสิเป็นผัว ยกให้มันให้ก็เป็นสิทธิ์ของมัน แล้วกระไรกับแม่ศรีดาราลูกสาวเจ้าเล่า เดี๋ยวมันก็ได้ยอกย้อนมาอีกว่าคนของมัน เช่นนั้นเจ้าก็ไปร้องขอแก่มันเถิด ชะ!”
ภูวิษะเจ้าสดับแล้วต้องถอนหทัยออกมาโดยแรง ดูท่าพระสัสสุระยังกริ้วไม่คลาย จึงได้ตรัสประชดประชันเช่นนี้ หากอภัยให้นางศรีดาราตามคำขอโดยมิได้กราบทูล ลางทีอาจจะทำให้พิโรธหนักขึ้นไปอีก
“ท่านภูวิษะ...ทรงกรุณาเถิด กระหม่อมรู้ว่าเรื่องนี้หนักหนาสาหัสนัก แต่กระหม่อมมีนางเป็นบุตรีเพียงคนเดียว กระหม่อมมิอาจทนดูนางต้องตายไปต่อหน้าได้ ขอทรงเห็นใจเถิด...” ขุนพลผู้ชาญศึกมิเคยหวาดหวั่นต่อความตาย แต่เพลานี้นัยน์ตากร้าวคู่นั้นกลับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“เรายังมิเคยมีลูก...แต่เราเข้าใจความทุกข์ของท่าน”
“ท่านหมายความว่า?”
“เอาเถิด...เราจะเข้าเฝ้ากราบทูลขออภัยโทษให้แก่นาง แต่ทั้งนี้สุดแล้วแต่พระบาทเจ้าว่าจะทรงตัดสินเรื่องนี้อย่างไร”
“ขอบพระทัย!” ไม่เคยมีครั้งใดที่ยอดขุนพลก้มลงกราบผู้อื่นที่มิใช่พระบาทเจ้า อย่างเต็มหัวใจเท่าครั้งนี้
ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลเล็กน้อย เห็นทีองค์เองจะต้องเข้าไปกราบขออภัยโทษที่ได้กระทำกระด้างกระเดื่องให้เป็นที่ขุ่นพระทัยเสียก่อน จึงค่อยกราบทูลขออภัยโทษให้แก่ศรีดารา น่าประหลาดที่ในพระทัยเย็นโล่งราวมีลมหอบใหญ่พัดพาเอาตะกอนในใจออกไป ทิฐิมานะทุกประการละลายลงด้วยน้ำตาของบุรุษผู้ยอมลดตัวลงมาเพื่อบุตรีตนเองโดยแท้