เมือง Eridu ประเทศอิรัก สร้างขึ้นราว ปี ๕๐๐๐-๔๐๐๐ ก่อนคริสตกาล
ตอนที่โจนาทาน แกรนซี ผู้รายงานข่าวชาวอังกฤษ ยังหนุ่ม, เขาอยากไปเยี่ยมเมืองโมเสโปเตเมียโบราณ เมือง Eridu , เมืองที่สร้างขึ้นเมื่อเกือบเจ็ดพันปีมาแล้ว ยิ่งตอนที่เขาเข้าไปชม สิ่งของ ที่แสดงในพิพิธภัณฑ์กรุงลอนดอน เขายิ่งตื่นตาตื่นใจ. วันหนึ่งเขาอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ Guardian ของอังกฤษ, แกรนซี จำได้ถึงตอนเดินผ่าน “ห้องโถงสีเทาที่สะท้อนเสียง,...เต็มไปด้วยสมบัติของชาวเมโสโปเตเมีย... วัวมีปีกที่มีหัวเป็นคนมีเคราดูดุร้าย ...แผ่นดินเหนียวตากแห้งจารึกอักษรคิวนิฟอร์ม...ลงไปในแผ่นอิฐ,และภาพจิ๊กซอร์แห่งอารยธรรม.
ปี ๒๐๐๒ ความฝันของแกรนซีเป็นจริง. เขาไปเมโสโปเตเมีย ปัจจุบันคือประเทศอิรัก.พอเขามาถึงเมืองEridu ในประเทศอิรักภาคใต้ เขาแปลกใจว่าทำไมถึง มีความแห้งแล้งและโดดเดี่ยวเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในทะเลทรายที่ร้อน แสงแดดระยิบระยับ.
ยากที่จะคิดว่า ชะง่อนผาและภูมิประเทศแบบทะเลทรายที่Eridu แห่งนี้ เคยเป็นพื้นที่สีเขียว.
แกรนซีบันทึกสิ่งที่เขาพบนั้น ว่า “ ตอนแรกสุด ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นกำแพงความร้อนและลมที่ร้อนยิ่งขึ้นไปอีก. เท้าของเราเหยียบเปลือกหอยทะเล-อายุหลายพันปี”
เปลือกหอยทะเลมาอยู่ในทะเลทรายได้ไง? ชาวเมโสโปเตเมียโบราณ บอกว่า “Eridu เป็นสถานที่ น้ำจากแม่น้ำผสมกับน้ำเกลือของทะเล. ตามเรื่องราวของนักเขียนโบราณประมาณ ๒๐๐๐ ปีกคศ.Eridu เป็นสถานที่"มีน้ำมากมายเหลือเฟือ”
Eridu เป็นเมืองรุ่งเรืองเมืองหนึ่ง ชาวกรีกโบราณ เรียกเมืองเมโสโปเตเมียที่เจริญนี้ว่า Eridu ,ซึ่งหมายความว่า ”แผ่นดินระหว่างแม่น้ำ” ความจริง มีคนจำนวนน้อยมากอาศัยระหว่างแม่น้ำสองสายของเมโสโปเตเมีย,แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส. อากาศตอนนั้น(และตอนนี้)ร้อนและแห้งแล้ง.คนต้องอยู่ติดฝั่งแม่น้ำ เพื่ออาศัยน้ำจากแม่น้ำ.
นักโบราณคดีบอกเราว่า Eridu อยู่ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติสในสมัยโบราณ ทำไมตอนนี้จึงเป็นทะเลทราย, ทรายที่ไม่ใช่น้อยๆ แต่เป็นทรายหลายไมล์ไกลจากแม่น้ำ ตัวแม่น้ำเองรู้คำตอบ.
หลายพันปีมาแล้ว ตอนที่แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ไหลมาทางทิศใต้ , แม่น้ำพาดินมาและทิ้งดินไว้เมื่อกระแสน้ำลดลง. ส่งผลให้ เกิดเนินดินอุดมสมบูรณ์และเป็นทรายกว้าง,เป็นหุบเขาแบนราบระหว่างแม่น้ำ. ส่วนที่ยืดขยายออกไปตอนใต้ของหุบเขานี้ ไม่มีหินข้างใน- ไม่มีอะไรที่แข็งแรงพอที่จะกั้นไม่ให้แม่น้ำไหลผ่านไป.ดังนั้น หลังจากน้ำท่วม.ซึ่งเกิดขึ้นทุกปี, น้ำนั้นไม่ได้ย้อนกลับไปทางเดิมเสมอไป.
โลกตะวันออกใกล้โบราณ:แม่น้ำ ร่องน้ำ วิหาร ไร่นา การทดน้ำและเมือง(2)
ตอนที่โจนาทาน แกรนซี ผู้รายงานข่าวชาวอังกฤษ ยังหนุ่ม, เขาอยากไปเยี่ยมเมืองโมเสโปเตเมียโบราณ เมือง Eridu , เมืองที่สร้างขึ้นเมื่อเกือบเจ็ดพันปีมาแล้ว ยิ่งตอนที่เขาเข้าไปชม สิ่งของ ที่แสดงในพิพิธภัณฑ์กรุงลอนดอน เขายิ่งตื่นตาตื่นใจ. วันหนึ่งเขาอ่านบทความในหนังสือพิมพ์ Guardian ของอังกฤษ, แกรนซี จำได้ถึงตอนเดินผ่าน “ห้องโถงสีเทาที่สะท้อนเสียง,...เต็มไปด้วยสมบัติของชาวเมโสโปเตเมีย... วัวมีปีกที่มีหัวเป็นคนมีเคราดูดุร้าย ...แผ่นดินเหนียวตากแห้งจารึกอักษรคิวนิฟอร์ม...ลงไปในแผ่นอิฐ,และภาพจิ๊กซอร์แห่งอารยธรรม.
ปี ๒๐๐๒ ความฝันของแกรนซีเป็นจริง. เขาไปเมโสโปเตเมีย ปัจจุบันคือประเทศอิรัก.พอเขามาถึงเมืองEridu ในประเทศอิรักภาคใต้ เขาแปลกใจว่าทำไมถึง มีความแห้งแล้งและโดดเดี่ยวเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในทะเลทรายที่ร้อน แสงแดดระยิบระยับ.
ยากที่จะคิดว่า ชะง่อนผาและภูมิประเทศแบบทะเลทรายที่Eridu แห่งนี้ เคยเป็นพื้นที่สีเขียว.
แกรนซีบันทึกสิ่งที่เขาพบนั้น ว่า “ ตอนแรกสุด ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นกำแพงความร้อนและลมที่ร้อนยิ่งขึ้นไปอีก. เท้าของเราเหยียบเปลือกหอยทะเล-อายุหลายพันปี”
เปลือกหอยทะเลมาอยู่ในทะเลทรายได้ไง? ชาวเมโสโปเตเมียโบราณ บอกว่า “Eridu เป็นสถานที่ น้ำจากแม่น้ำผสมกับน้ำเกลือของทะเล. ตามเรื่องราวของนักเขียนโบราณประมาณ ๒๐๐๐ ปีกคศ.Eridu เป็นสถานที่"มีน้ำมากมายเหลือเฟือ”
Eridu เป็นเมืองรุ่งเรืองเมืองหนึ่ง ชาวกรีกโบราณ เรียกเมืองเมโสโปเตเมียที่เจริญนี้ว่า Eridu ,ซึ่งหมายความว่า ”แผ่นดินระหว่างแม่น้ำ” ความจริง มีคนจำนวนน้อยมากอาศัยระหว่างแม่น้ำสองสายของเมโสโปเตเมีย,แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส. อากาศตอนนั้น(และตอนนี้)ร้อนและแห้งแล้ง.คนต้องอยู่ติดฝั่งแม่น้ำ เพื่ออาศัยน้ำจากแม่น้ำ.
นักโบราณคดีบอกเราว่า Eridu อยู่ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติสในสมัยโบราณ ทำไมตอนนี้จึงเป็นทะเลทราย, ทรายที่ไม่ใช่น้อยๆ แต่เป็นทรายหลายไมล์ไกลจากแม่น้ำ ตัวแม่น้ำเองรู้คำตอบ.
หลายพันปีมาแล้ว ตอนที่แม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ไหลมาทางทิศใต้ , แม่น้ำพาดินมาและทิ้งดินไว้เมื่อกระแสน้ำลดลง. ส่งผลให้ เกิดเนินดินอุดมสมบูรณ์และเป็นทรายกว้าง,เป็นหุบเขาแบนราบระหว่างแม่น้ำ. ส่วนที่ยืดขยายออกไปตอนใต้ของหุบเขานี้ ไม่มีหินข้างใน- ไม่มีอะไรที่แข็งแรงพอที่จะกั้นไม่ให้แม่น้ำไหลผ่านไป.ดังนั้น หลังจากน้ำท่วม.ซึ่งเกิดขึ้นทุกปี, น้ำนั้นไม่ได้ย้อนกลับไปทางเดิมเสมอไป.