ครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่แอฟริกาใต้ (2005) ทั้งน่ากลัวและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

** หากใครขี้เกียจไล่ดู เชิญที่ >> http://ppantip.com/topic/32210064/story นะคะ : ) **

วันนี้ย้อนดูรูปเก่าๆ เราเลยอยากมาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์ที่ได้รับมาช่วงเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนค่ะ ^^
ไม่รู้ว่าจะมีคนสนใจรึเปล่า แต่อยากเล่า 5555555+

เราเคยไปแลกเปลี่ยนอยู่ 2 ประเทศ ประเทศแรกคือ แอฟริกาใต้ ไปในช่วงปี 2005-2006 ค่ะ
ส่วนประเทศที่ 2 คือ เกาหลี ไปช่วงมหาลัย 2008 ค่ะ แต่ที่มีค่าที่สุดกับเราคงเป็นช่วงที่ไปแอฟริกาใต้ค่ะ
เราเจอปัญหาที่นั่นเยอะมาก เยอะจนสถานทูตที่นั่นต้องลงมายุ่งด้วย แถมเป็นต้นเหตุที่ทำให้โครงการที่ไทยกับที่แอฟริกาใต้ขาดกันเลยค่ะ
ส่วนสาเหตุนั้นขอให้อ่านไปเรื่อยๆนะคะ ^__^" อยากแชร์ให้อ่านเล่นค่ะ

เราไปอยู่ที่แอฟริกาใต้ 8 เดือนค่ะ เปลี่ยนไป 3 host family ทุกที่มีสาเหตุค่า ^__^"
ขอกลับก่อนเพราะว่าเราอยู่ไปก็ไม่ได้วุฒิม.ปลายค่ะ เลยรีบกลับมาทำเรื่องเรียนเพื่อต่อมหาลัย
อีกอย่างคือ 8 เดือนสำหรับเราที่นั่นก็เกินพอแล้วจริงๆ 555+ : )

ก่อนที่เราจะไปแลกเปลี่ยน เราเป็นลูกที่พ่อแม่ห่วงสุดในบ้าน อารมณ์ว่า เอ๋อๆ ซื่อบื้อ ไม่แคร์โลก น่าห่วงมากๆ 5555+
พ่อเปรยๆขึ้นมาว่า เออ ลองไปแลกเปลี่ยนมั้ย เพื่อชีวิตจะดี เราก็ชิลล์ค่ะ ไงก็ได้ หาไปหามาติดทุกที่ที่ไปสอบ
ส่วนตัวอยากไปเยอรมันีค่ะ แต่พอ apply ไปทางโครงการก็บอกว่า เราอายุเกินไป 3 เดือน
(อารมณ์ว่า เด็กแลกเปลี่ยนห้ามอายุเกิน 18) เราเลยอดค่ะ เหลือแค่ 2 choices คือ อเมริกา หรือ แอฟริกาใต้
เราเลยเลือกเองว่าไปแอฟริกาใต้ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนไปดี = =" เหตุผลแค่นั้นจริงๆค่ะ
(แต่ไม่ได้บอกว่า อเมริกาไม่ดีนะคะ แหะๆ)

หลังจากวุ่นวายเอกสารอะไรเสร็จ เราก็เดินทางไปที่นั่น ซึ่งก่อนไปทางโครงการก็ส่งเอกสารเกี่ยวกับบ้าน host family มาให้
แต่ปัญหาคือเราติดต่อไม่ได้ ไม่มีรูปไม่มีอะไรเลย แล้วเมื่อก่อนก็ไม่ได้มี Google earth เลยทำไรไม่ได้สักอย่าง
สรุปว่า เบอร์ติดต่อที่เรามี ทางโครงการพิมพ์มาให้ผิด แต่เรากับที่บ้านก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ ก็เด๋วก้อเจอกัน
ก่อนไปทุกคนก็ห่วงค่ะ เพราะบ้านเมืองที่นั่นก็ยังน่ากลัวในเรื่องของอาชญากรรมและการข่มขืน
แต่ที่บ้านเราก็คิดว่า แหม่ เด็กแลกเปลี่ยนคนไม่ได้เอาไปอยู่ในเขตกันดารน่ากลัวๆหรอก ประเทศเค้าก็มีความเจริญแล้ว
วันที่ไปส่ง พ่อเราที่แข็งๆไม่ค่อยแสดงความรู้สึกถึงกับน้ำตาซึมแล้วเดินหนีเลยค่ะ ตอนเราเดินเข้าด่านต.ม.
เราก็หวั่นๆ แต่ก็แค่ปีเดียวเอง เด๋วก็กลับมาเป็นลูกพ่อลูกแม่แล้ว ">__<"

มีเด็กไทยร่วมชะตากรรมกับเราไปด้วยอีก 3 คน รวมเป็น 4 คนในรุ่นนั้นค่ะ
เดินทางในช่วงกรกฎาคม หนาวมากค่ะที่นั่นช่วงนั้น เมื่อไปถึงก็มีกิจกรรมกับโครงการเล็กน้อยก่อนที่จะได้เจอกับ host family กันค่ะ
ซึ่งวันรับตัวนี้กลายเป็นว่า host มาช้าสุด เรารอประมาณ 4 ชั่วโมงได้ ในขณะที่คนอื่นๆมารับกันไปตั้งแต่ 2 ชั่วโมงแรก
ใจแป้วเลย แต่ในที่สุด host ก็มาพร้อมกับ area rep. ในเขตนั้น สาเหตุคือโฮสเราไม่มีรถ เค้าเลยต้องพามา
อ่อ เราได้อยู่ชานเมือง Johannesburg ค่ะ ใน area ของคนผิวสี คนที่นั่นหลาย rare มาก ซึ่งผิวดำ ผิวสี เค้าจะเรียกแยกกันอีกที

นั่งรถจากสนามบินประมาณ 2 ชั่วโมงเศษๆ เราก็ถึงที่พักค่ะ ซึ่งเราอึ้งมากกับสภาพที่เห็น เราอยู่ใน area ที่ชื่อว่า mid-Ennderdale
ในใบข้อมูลของ host เรา ครอบครัวนั้นจะเป็น single mum ค่ะ มีพี่ชายอีก 2 คน อายุ 29 และ 23 และมีเด็กผู้หญิงคนนึง 3 ขวบ
สภาพบ้านคือ ชั้นเดียวขนาดไม่เกิน 30 ตรม. มี 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ห้องครัวในหลืบ ไฟฟ้ามีไม่ครบทุกห้อง น้ำมีจำกัด (อันนี้เข้าใจอยู่)
เราก็พยายามทำใจสู้ค่ะ ไม่แสดงอาการ พยายามมองว่า เค้าก้อยกห้องที่ดีที่สุดให้เรานะ พยายามมองโลกในแง่ดี ฝืนมากๆเลยวินาทีนั้น
เป็นห้องที่อยู่ด้านหลังของบ้าน ขนาดแทบจะเท่าเตียง มีตู้เสื้อผ้าให้ กระจกหน้าต่างแตก พอยกของเข้าบ้านเสร็จก็พาเราไปร้านชำใกล้ๆ
ปรากฎว่า ทุกคนจ้องเราค่ะ เพราะเราไม่เหมือนเค้า (แหงอ่ะ เพราะเราเป็น asian เหลืองมาแต่ไกล) จ้องแบบ จ้องจริงๆค่ะ ไม่ละสายตา
เราก็พยายามไม่สบตากับใคร ช่วยโฮสมัมถือของ พอกลับบ้านเค้าก็ทำข้าวเย็นให้กิน มื้อแรกเป็นขนมปังกับไส้กรอก + ซอสมะเขือ
เราเงิบอีกครั้งเมื่อเห็นว่า เค้าไม่ล้างจานด้วยน้ำยาหรือแฟ้บอะไรเลย ล้างน้ำเปล่าร้อนกันนี่ล่ะค่ะ แต่ก็เงียบไว้ เก็บข้อมูล

จากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน พอเข้าห้องนอนเท่านั้นแหล่ะ เรากดมือถือโทรหาแม่ที่ไทยทันที (ห่างกัน 6 ชั่วโมง ที่ไทยจะเร็วกว่าค่ะ)
ได้ยินเสียงแม่ เราร้องไห้เลยค่ะ ไม่ได้ร้องธรรมดาด้วย ร้องแบบกลัว กลัวมาก ไม่เคยกลัวมากขนาดนั้นในชีวิต
จะว่า culture shock นิดๆก็ได้ บ้านนี้ดูไม่ปลอดภัยเลย ห้องเราล็อคไม่ได้ หน้าต่างกระจกแตก รั้วบ้านไม่มี บ้านล็อคด้วยแม่กุญแจ 1 อัน
แม่เราตกใจ เค้ารู้ว่าคงต้องแย่จริงๆ เพราะเด็กไม่แคร์โลกที่อะไรก็ได้ไม่บ่นแบบเราถึงกับร้องไห้กระจายแบบนี้ ท่านก็ใจเสีย
แต่ปลอบเราด้วยคำพูดที่ว่า "คิดซะว่า คับที่อยู่ได้ แต่ถ้าคับใจอยู่ไม่ได้นะ" ให้เราอดทนค่ะ ฝึกตัวเอง ถ้าเค้าดีกับเราก็ไม่เป็นไร อย่าทำอะไรเราเป็นพอ
เราก็ฟังค่ะ อดทนนะ ต้องอยู่ให้ได้ แม่เราก็ถามมานะว่า จะกลับมั้ย เพราะว่าเค้าก็ห่วงจริงๆ ประเทศแบบนี้แล้วไปเจอที่พักอย่างนั้นอีก
แต่เราก็ไม่กลับค่ะ เราบอกว่า พ่อเราอุตส่าห์ดีใจที่เราได้มา เค้าเอาไปอวดเพื่อนๆแล้วว่าลูกเค้าจะมา เราจะไม่ทำให้เค้าเสียหน้า เราจะอยู่ต่อ
กลัวมากๆ แต่ตั้งใจแน่วแน่กว่าค่ะว่าจะอยู่ต่อ เพราะพ่อแม่เลยค่ะ (แม้จะรู้ว่าเค้าห่วงมาก แต่ก็รู้สึกว่าเค้าดีใจที่เราได้มา จะสู้ ไม่อยากรีบกลับค่ะ)
คืนแรกของเรานี่คือหลับทั้งน้ำตาเลยค่ะ กลัวแต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน ก่อนนอนเอากระเป๋าเดินทางไปยันประตูไว้ หน้าต่างก็ปิดเท่าที่จะปิดได้ไป

และเราก็ได้เจอกับ host brothers ทั้งสอง คนแรกชื่อ จอห์น อายุ 29 ปี คนนี้น่ารักค่ะ nice มากๆ
อีกคนชื่อเจอโรม อายุ 23 คนนี้เงียบๆ ไม่ค่อยคุยไม่ค่อยมองหน้าเราหรืออะไร ส่วนเด็กผู้หญิง 3 ขวบ ซนมากๆ หัวฟูๆ = ="
ส่วนโฮสมัมอายุ 54 ปี อ้วนๆเตี้ยๆ ผิวเข้มจัดค่ะ typical คนผิวสีแอฟริกาใต้เลย วันแรกๆเค้าก็พาเราไปไหนมาไหนด้วยตลอด แนะนำไปทั่ว
ครอบครัวนี้เป็นคริสเตียนค่ะ (โปแทสแตนท์ - เขียนผิดขอโทษด้วยนะคะ)
ส่วนเราเองก็เป็นคริสต์คาทอลิกค่ะ (เป็นเหตุผลที่ทำไมเค้าเลือกเรามาอยู่กับเค้า เพราะเด็กไทยคนอื่นเป็นพุทธหมดเลย)
คืนแรก ระหว่างเค้าเตรียมขนมปังอะไรไป เราก็ไปยืนดูจะช่วยเค้า (แต่ไม่มีอะไรให้ช่วยเท่าไหร่)

โฮสมัม: เป็นคริสต์คาทอลิกใช่มั้ย เป็นมาตลอดรึเปล่า
เรา: ค่ะ เป็นมาตั้งแต่เกิดเลย
โฮสมัม: เชื่อในพระจิตเจ้ารึเปล่า
เรา: เชื่อค่ะ
โฮสมัม: งั้นเธอก็พูดได้หลายภาษาสิ ที่เวลาแม่พูดภาษาอัฟริคานส์ก็เข้าใจสินะ ดีๆ
*เรายืนเงิบ*

เราไปถึงก่อนที่จะเปิดเรียนประมาณ 3 วันค่ะ มีชื่อโรงเรียนอยู่แล้ว อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตรเศษๆ เดินไปได้ค่ะ
โฮสมัมจึงพาเราไปซื้อเครื่องแบบ เราก็คิดไว้ว่า เสื้อ 3 กระโปรง 2 ถุงเท้า 3 คู่ รองเท้านักเรียน/เนคไท
พอไปถึงร้าน เรายังไม่ทันจะได้เผยอปากบอกค่ะ โฮสมัมเราก็บอกว่า เอาเงินมาเค้าจัดการให้
"เสื้อกับกระโปรงอย่างละตัวก็พอ ค่อยไปซื้อชุดวอร์มเอาที่โรงเรียน" เงิบ เงิบ เงิบ คือคำนี้คำเดียวจริงๆค่ะ
พอเราบอกว่า อย่างน้อยเสื้อมีเยอะกว่านี้ได้มั้ย เค้าก็บอกว่า กลับมาบ้านก็ซักเอาเลย จะเปลืองซื้อเยอะๆไปทำไม
แต่สุดท้ายเราก็ยื้อจนได้เสื้อมา 2 ค่ะ TT___TT

มีบ่ายวันหนึ่งเราก็บอกโฮสมัมว่า เราอยากไปซื้อของใช้ส่วนตัว อยากให้ช่วยพาไปหน่อย ไม่รู้ทาง
โฮสมัมเลยให้ เจอโรม พาเราไป ระหว่างทางก็เลยได้มีโอกาสคุยกันจริงจังครั้งแรก คุยไปเรื่อยเปื่อย
พอไปถึงซุปเปอร์สโตร์ของที่นั่น ซึ่งไกลมากกกกก เราเลยซื้อทั้งของใช้และขนมไปด้วยเลย
ซึ่งเวลาหยิบอะไร เจอโรมก็จะพึมพำๆเรื่องราคา แบบ "นั่นตั้ง 8 แรนเลยนะ" "อันนั้น 13 แรนนะ"
(ตอนที่เราไปช่วงปี 2005 แรนหนึ่งจะตก 7 บาทบ้านเราค่ะ) เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ยอมรับว่าไปวันแรกๆยังไม่คุ้นกับเงินเค้า คือเราพก 300 บาทที่ไทยมันก็ไม่ได้มากใช่มั้ยคะ
เราเลยพกเผื่อทุกครั้ง และแลกไปตั้งแต่อยู่ไทยก็จะได้แบงค์ใหญ่ๆไปซะส่วนมาก
ซึ่งแบงค์ที่เราเอาออกมาจ่ายคือ 200 แรน ซึ่งเป็นแบงค์ใหญ่สุดของที่นั่น (ถ้าเราเข้าใจถูกนะคะ ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง)
พอเจอโรมเห็นเราจ่ายแค่นั้นล่ะ เค้าก็พึมพำๆอะไรอีก เราก็ไม่ได้ทันฟัง ทำอะไรเสร็จก็ตรงกลับบ้านกัน
คุยกันไปเรื่อยๆ สักพักเจอโรมก็เปิดประเด็นค่ะ

เจอโรม: ถามอะไรหน่อยได้รึเปล่า
เรา: เอาสิ
เจอโรม: ขอยืมเงิน 20 แรนได้มั้ย
เรา: *อึ้งแต่เก็บอาการแล้วหันไปยิ้ม* ไม่ได้ค่ะ

พอกลับบ้านเราเครียดเลย เพราะแบบเค้าก็เห็นแล้วว่าเรามีเงินติดตัวอยู่ (ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าสำหรับเค้ามันเยอะขนาดไหน)
เรากลัวโดนขโมย กลัวว่าสักวันเค้าอาจจะไม่ได้แค่ถาม สุดท้ายเลยตัดสินใจบอกโฮสมัมค่ะ
เพราะเค้าบอกว่า ถ้าเราไม่สบายใจอะไรให้บอกเค้า ยิ่งเป็นเรื่องในบ้านยิ่งต้องบอก
พอบอก โฮสมันก็โมโหมาก บอกว่าไม่ถูกนะ ไม่ได้ เค้าจะไปเตือนลูกเค้าเอง เราเลยคิดว่าพึ่งโฮสมัมได้ล่ะ โล่งใจไปนิดนึง
.
.
.
.

ไว้จะมาต่อนะค่ะ หวังว่าจะพอมีคนสนใจบ้าง เราจะได้ไม่โพสเก้อ กลัวเขินค่ะ "><"
ถึงมันจะผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่เราว่ามันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ
ถ้ามีโอกาส ไปเที่ยวประเทศนี้กันนะคะ ยังสวยและมีความเป็นธรรมชาติมากอยู่ค่ะ : )
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่