สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะเพื่อนๆทุกท่าน
วันนี้เอาบุญมาฝาก อันที่จริงจขกท.ไปเที่ยวเขมรมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว
แต่เพิ่งจะได้ฤกษ์ถ่ายไฟล์รูปจากไอแพดลงคอม เลยขออนุญาตนำภาพแปลกตามาฝากเพื่อนๆทุกคนค่ะ
จขกท.จะออกแนวเป็นสาวดิบๆหน่อย เถื่อนๆลุยๆ ไม่ค่อยกลัวอะไร
พอดีรับปากกับพ่อหนุ่มนครธมไว้ เมื่อถึงเวลาก็เลยต้องรักษาคำพูด
เดิมทีขับรถคนเดียวจากสมุยไปลอยกระทงที่อยุธยา ต่อด้วยเยี่ยมคุณพ่อที่สุรินทร์ แล้วพาท่านขับรถไปเที่ยวตาก
หลังจากขับรถกลับมากทม.ก็เลยเก็บกระเป๋าต่อไปเที่ยวเขมร ตอนแรกว่าจะพาคุณพ่อไปเที่ยวด้วย
แต่พาสปอร์ตท่านหมดอายุ ทำใหม่เสร็จไม่ทัน เราเลยต้องบินเดี่ยว เดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในรอบ 7 ปี
มามะไปเที่ยวด้วยกันค่ะ
เริ่มต้นทริปด้วยการไม่วางแผนใดๆทั้งสิ้น เพื่อความตื่นเต้นเร้าใจให้ชีวิต
ตั๋วไม่ได้ซื้อ ตั้งใจว่าจะไปซื้อตั๋วสายการบินประจำชาติเขมร ปรากฏว่าตั๋วแพงมากก
สุดท้ายเลยลงตัวที่ตั๋วของบางกอกแอร์เวย์ค่ะ
รูปภาพอาจจะน้อยสักนิด เพราะเน้นส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือมากกว่าวันละแปดบรรทัดค่ะ
มาถึงเขมรก็ขึ้นตุ๊กๆไปที่พักแถวๆโซนไนท์บาร์ซ่าแล้วก็จองทัวร์ค่ะ
โดยเหมาตุ๊กๆคันที่ไปส่งเรานี่แหล่ะ อันที่จริงแล้วนี่เป็นการมาเยือนเขมรครั้งแรกในชีวิตของเรา
แต่เราไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร มันคุ้นเคยมาก...หรือจะเป็นเพราะเราโตมาจากบ้านนอก พอมาเห็นบ้านเมืองเค้า
เราแค่รู้สึกว่านี่เรากำลังย้อนเวลากลับไปตอนเด็กๆ
ตลอดการเดินทางของเรา เราก็พูดภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาเขมรบ้าง เกิดมาก็ไม่เคยพูดเขมรกะเค้าหรอก
แต่พอไปถึงเขมร แหม๊ พูดคล่องปร๋อตั้งแต่คุยกะตุ๊กๆยันแม่ค้าขายของ ฟังออกเกือบทุกคำประมาณ 80% ของบทสนทนา
ประเภทคุณหมดสิทธิหลอกอิชั้นแน่นอน เพราะอิชั้นฟังออกเด้อค่าเด้อ
อ่อ ลืมบอกไปค่ะว่าเราเติบโตมาแถวๆชายแดนเขมรที่คนในหมู่บ้านเราพูดภาษาขะแมร์ เราฟังเค้าพูดรู้เรื่อง
แต่ไม่เคยคุยกับใครภาษาเขมร เพราะเพื่อนมันชอบล้อว่าสำเนียงไม่ได้ เราก็เลยอาย
พอไปเที่ยวเขมร เราก็เลยไม่สนใจ ไม่อาย สมดังคติประจำใจเรา "ไม่รู้จัก ไม่อาย" อิอิ
เรามาถึงที่พักก็ประมาณสี่โมงเย็นนิดๆ(จำเวลาไม่ค่อยได้ ขออภัยค่ะ )
ห้องพักเราอยู่ตรงข้ามผับดังติดถนนใหญ่ที่ตลาดไนท์ แบบว่าเราตั้งใจเที่ยวทั้งกลางวันและกลางคืน
ขอสำรวจตลาดในฐานะคนอยู่กับงานศิลปะและพวกศิลปิน มาถึงปุ๊บ ก็ไปนวด ดูคาบาเร่ต์ ฟังดนตรี
เดินดูถนนคนเดิน แล้วก็กลับห้องนอนฟังเพลงจากผับที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่บรรเลงโดยนักดนตรีฝรั่ง
ห้องส่วนมากก็ราคาประมาณ 15-20 เหรียญ ห้องที่เราพักราคา 15 เหรียญ แต่เค้าอัพเกรดเราไปอยู่ห้องใหญ่
เพราะพอดีห้องที่เราจองไว้แขกเค้าอยู่ต่อ เราเลยสบายไป ^__^
วันที่สองมาถึง เราก็ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ให้ตุ๊กๆมารับตอนตีห้าไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดตามที่คนทั่วๆไปเค้านิยมกัน
ได้รูปมาฝาก 1 ใบ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไปไม่ถึง (ถ่ายจากไอแพดกะโหลกกะลา เนื่องจากเราแต่งภาพไม่เป็นค่ะ)
ภาพนครวัดที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะไป
สำหรับเรา เราเฉยๆกับนครวัดค่ะ เราชอบปราสาทบันทายศรีที่สุด ไปดูปราสาทหินมาหลายที่ แต่รู้สึกว่าที่นี่แหล่ะโดนใจเรา
เวลาผ่านไปไม่รู้กี่ร้อยปี งานคุณพี่แกลายแกะก็ยังคมกริบ เนื้องานละเอียดมาก เล็กแต่เต็มไปด้วยคุณภาพจริงๆ
ส่วนนครธมเราก็ไป รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะของจริงเล็กกว่าที่จินตนาการไว้
แต่ที่นี่เราสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่น เปี่ยมด้วยมิตรภาพ มีรอยยิ้มเต็มไปหมด
แม้แต่นางอัปสราก็ดูยิ้มแย้มเริงร่า มีความสุข ถ้าหลายๆคนสังเกตหน่อยก็จะรู้สึกคล้ายๆเรา
นางอัปสราที่นครธมรูปร่างหน้าตาจะไม่เหมือนสาวขอมนัก ปากจะบางกว่า บางตนหน้าหมวยก็ยังมี
ส่วนนางอัปสราหน้าดุสุดรู้สึกจะเป็นที่ปราสาทตาพรหมค่ะ ถ้าไปเดินตอนกลางคืนที่นี่ท่าทางจะหลอนๆหน่อย
อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ เราไปเที่ยวแบบไม่อิงประวัติศาสตร์
ใช้ความรู้สึกล้วนๆ เพราะอ่านหนังสือมากมันก็จะทำให้จินตนาการเราหดหาย อรรถรสในการเที่ยวก็จะน้อยลงตามไปด้วย
สู้เที่ยวไปจิ้นไป(เอง)แบบเราก็ไม่ได้
(**เดี๋ยวถ้าว่างเราจะหารูปมาลงเพิ่มเติมให้ดูความแตกต่างของนางอัปสราค่ะ)
สรุปวันนั้น เราไปหลายปราสาทมากจนจำไม่ได้ว่าวัดอะไรเป็นวัดอะไร ไปทุกวัดที่ผ่านเลยก็ว่าได้
เที่ยวตั้งแต่ตีห้ายันหกโมงเย็น แบบประเภทคนขับตุ๊กๆทึ่งในความอึดนรกของเรา
ขออนุญาตข้ามรายละเอียดเที่ยวปราสาทไปก่อนนะคะ
เพราะคิดว่าสถานที่ดังๆ คงมีเพื่อนๆในพันทิพย์โพสต์เอาไว้เยอะแล้ว
วันนี้จะพาทุกๆท่านไปทำบุญที่วัดแถวๆเสียมราฐด้วยกันค่ะ
สำหรับเย็นวันที่สอง
จขกท.ไปทานข้าวแล้วก็ดูโชว์ที่ Smile Angkor ค่ะ
โชว์เค้าออกจะเป็นแนวแฟนตาซีร่วมสมัยหน่อย ไม่เหมาะกับคนที่อยากไปดูโชว์อัปสราแบบดั้งเดิม
เหตุผลที่เราเลือกไปที่นี่ ก็เพราะเรางานส่วนตัวเราอีกงานหนึ่งก็คือทำโชว์ขายฝรั่ง
พอไปที่อื่นก็อยากจะดูโชว์ใหญ่ๆที่บ้านเมืองเค้ามีว่ามันจะอลังการแค่ไหน
การแสดงที่นี่เราให้คะแนน 6/10 แบบว่างงๆกับนางรำเขมร รำอะไรกันแน่ไหงมีรำเวอร์ชั่นเจ้าแม่กวนอิมพันมือด้วย
รู้สึกมันผสมเรื่องกันยังไม่ค่อยลงตัว แต่อย่างน้อยก็ดีที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เราได้ดูด้วย
มาต่อวันสุดท้ายกันค่ะ
ตื่นเช้ามาจขกท.ก็รีบออกไปซื้อกับข้าวและเตรียมของถวายสังฆทาน
อาหารตามสั่งที่นี่เค้าจะเอาแกงตักใส่ถุงก๊อบแก๊บค่ะ ไม่มีถุงร้อนใส่แกงแบบบ้านเรา
พอใส่ถุงก๊อบแก๊บเสร็จพี่เค้าถึงเอาใส่กล่องโฟมอีกที
ช่วงที่เราไปเริ่มจะเข้าฤดูหนาวแล้ว เราเลยเตรียมผ้าห่มไปถวายพระด้วย
ของที่เราซื้อไปถวายก็มีของจำเป็นต้องใช้ อาสนะ ร่ม มุ้ง ผลไม้ แกง ข้าว ไก่ย่าง กบยัดไส้ ผ้าไตร ฯลฯ
อยากจะบอกว่าของใช้แทบทุกอย่างที่นี่ แทบจะทุกอย่าง Made in Thailand จ้า น่าภูมิใจจริงๆ
ที่เห็นเค้าตำๆอยู่นี่เป็นน้ำจิ้มสูตรเขมรค่ะ รู้สึกว่าเค้าจะตำมะขามอ่อนกับอะไรสักอย่าง เราจำไม่ได้
คนที่นี่เค้าทานจืดๆกัน ไม่ค่อยทานเผ็ดแบบบ้านเรา ส่วนที่เห็นปิ้งๆอยู่นี่เป็นปลาร้าเขมรค่ะ
เค้าเรียกอะไรจำไม่ได้ละ กลิ่นจะไม่ฉุนเท่าปลาร้าบ้านเรารสชาติพอทานได้ ไม่ได้อร่อยล้ำอะไร
เดี๋ยวมาต่อด้วยทริปทำบุญที่วัดกันค่ะ
แบกเป้ บินเดี่ยว เที่ยววัด ทัวร์บุญเมืองเขมรค่ะ
วันนี้เอาบุญมาฝาก อันที่จริงจขกท.ไปเที่ยวเขมรมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว
แต่เพิ่งจะได้ฤกษ์ถ่ายไฟล์รูปจากไอแพดลงคอม เลยขออนุญาตนำภาพแปลกตามาฝากเพื่อนๆทุกคนค่ะ
จขกท.จะออกแนวเป็นสาวดิบๆหน่อย เถื่อนๆลุยๆ ไม่ค่อยกลัวอะไร
พอดีรับปากกับพ่อหนุ่มนครธมไว้ เมื่อถึงเวลาก็เลยต้องรักษาคำพูด
เดิมทีขับรถคนเดียวจากสมุยไปลอยกระทงที่อยุธยา ต่อด้วยเยี่ยมคุณพ่อที่สุรินทร์ แล้วพาท่านขับรถไปเที่ยวตาก
หลังจากขับรถกลับมากทม.ก็เลยเก็บกระเป๋าต่อไปเที่ยวเขมร ตอนแรกว่าจะพาคุณพ่อไปเที่ยวด้วย
แต่พาสปอร์ตท่านหมดอายุ ทำใหม่เสร็จไม่ทัน เราเลยต้องบินเดี่ยว เดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในรอบ 7 ปี
มามะไปเที่ยวด้วยกันค่ะ
เริ่มต้นทริปด้วยการไม่วางแผนใดๆทั้งสิ้น เพื่อความตื่นเต้นเร้าใจให้ชีวิต
ตั๋วไม่ได้ซื้อ ตั้งใจว่าจะไปซื้อตั๋วสายการบินประจำชาติเขมร ปรากฏว่าตั๋วแพงมากก
สุดท้ายเลยลงตัวที่ตั๋วของบางกอกแอร์เวย์ค่ะ
รูปภาพอาจจะน้อยสักนิด เพราะเน้นส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือมากกว่าวันละแปดบรรทัดค่ะ
มาถึงเขมรก็ขึ้นตุ๊กๆไปที่พักแถวๆโซนไนท์บาร์ซ่าแล้วก็จองทัวร์ค่ะ
โดยเหมาตุ๊กๆคันที่ไปส่งเรานี่แหล่ะ อันที่จริงแล้วนี่เป็นการมาเยือนเขมรครั้งแรกในชีวิตของเรา
แต่เราไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร มันคุ้นเคยมาก...หรือจะเป็นเพราะเราโตมาจากบ้านนอก พอมาเห็นบ้านเมืองเค้า
เราแค่รู้สึกว่านี่เรากำลังย้อนเวลากลับไปตอนเด็กๆ
ตลอดการเดินทางของเรา เราก็พูดภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาเขมรบ้าง เกิดมาก็ไม่เคยพูดเขมรกะเค้าหรอก
แต่พอไปถึงเขมร แหม๊ พูดคล่องปร๋อตั้งแต่คุยกะตุ๊กๆยันแม่ค้าขายของ ฟังออกเกือบทุกคำประมาณ 80% ของบทสนทนา
ประเภทคุณหมดสิทธิหลอกอิชั้นแน่นอน เพราะอิชั้นฟังออกเด้อค่าเด้อ
อ่อ ลืมบอกไปค่ะว่าเราเติบโตมาแถวๆชายแดนเขมรที่คนในหมู่บ้านเราพูดภาษาขะแมร์ เราฟังเค้าพูดรู้เรื่อง
แต่ไม่เคยคุยกับใครภาษาเขมร เพราะเพื่อนมันชอบล้อว่าสำเนียงไม่ได้ เราก็เลยอาย
พอไปเที่ยวเขมร เราก็เลยไม่สนใจ ไม่อาย สมดังคติประจำใจเรา "ไม่รู้จัก ไม่อาย" อิอิ
เรามาถึงที่พักก็ประมาณสี่โมงเย็นนิดๆ(จำเวลาไม่ค่อยได้ ขออภัยค่ะ )
ห้องพักเราอยู่ตรงข้ามผับดังติดถนนใหญ่ที่ตลาดไนท์ แบบว่าเราตั้งใจเที่ยวทั้งกลางวันและกลางคืน
ขอสำรวจตลาดในฐานะคนอยู่กับงานศิลปะและพวกศิลปิน มาถึงปุ๊บ ก็ไปนวด ดูคาบาเร่ต์ ฟังดนตรี
เดินดูถนนคนเดิน แล้วก็กลับห้องนอนฟังเพลงจากผับที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่บรรเลงโดยนักดนตรีฝรั่ง
ห้องส่วนมากก็ราคาประมาณ 15-20 เหรียญ ห้องที่เราพักราคา 15 เหรียญ แต่เค้าอัพเกรดเราไปอยู่ห้องใหญ่
เพราะพอดีห้องที่เราจองไว้แขกเค้าอยู่ต่อ เราเลยสบายไป ^__^
วันที่สองมาถึง เราก็ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ให้ตุ๊กๆมารับตอนตีห้าไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดตามที่คนทั่วๆไปเค้านิยมกัน
ได้รูปมาฝาก 1 ใบ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าเราไปไม่ถึง (ถ่ายจากไอแพดกะโหลกกะลา เนื่องจากเราแต่งภาพไม่เป็นค่ะ)
ภาพนครวัดที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะไป
สำหรับเรา เราเฉยๆกับนครวัดค่ะ เราชอบปราสาทบันทายศรีที่สุด ไปดูปราสาทหินมาหลายที่ แต่รู้สึกว่าที่นี่แหล่ะโดนใจเรา
เวลาผ่านไปไม่รู้กี่ร้อยปี งานคุณพี่แกลายแกะก็ยังคมกริบ เนื้องานละเอียดมาก เล็กแต่เต็มไปด้วยคุณภาพจริงๆ
ส่วนนครธมเราก็ไป รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะของจริงเล็กกว่าที่จินตนาการไว้
แต่ที่นี่เราสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่น เปี่ยมด้วยมิตรภาพ มีรอยยิ้มเต็มไปหมด
แม้แต่นางอัปสราก็ดูยิ้มแย้มเริงร่า มีความสุข ถ้าหลายๆคนสังเกตหน่อยก็จะรู้สึกคล้ายๆเรา
นางอัปสราที่นครธมรูปร่างหน้าตาจะไม่เหมือนสาวขอมนัก ปากจะบางกว่า บางตนหน้าหมวยก็ยังมี
ส่วนนางอัปสราหน้าดุสุดรู้สึกจะเป็นที่ปราสาทตาพรหมค่ะ ถ้าไปเดินตอนกลางคืนที่นี่ท่าทางจะหลอนๆหน่อย
อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ เราไปเที่ยวแบบไม่อิงประวัติศาสตร์
ใช้ความรู้สึกล้วนๆ เพราะอ่านหนังสือมากมันก็จะทำให้จินตนาการเราหดหาย อรรถรสในการเที่ยวก็จะน้อยลงตามไปด้วย
สู้เที่ยวไปจิ้นไป(เอง)แบบเราก็ไม่ได้
(**เดี๋ยวถ้าว่างเราจะหารูปมาลงเพิ่มเติมให้ดูความแตกต่างของนางอัปสราค่ะ)
สรุปวันนั้น เราไปหลายปราสาทมากจนจำไม่ได้ว่าวัดอะไรเป็นวัดอะไร ไปทุกวัดที่ผ่านเลยก็ว่าได้
เที่ยวตั้งแต่ตีห้ายันหกโมงเย็น แบบประเภทคนขับตุ๊กๆทึ่งในความอึดนรกของเรา
ขออนุญาตข้ามรายละเอียดเที่ยวปราสาทไปก่อนนะคะ
เพราะคิดว่าสถานที่ดังๆ คงมีเพื่อนๆในพันทิพย์โพสต์เอาไว้เยอะแล้ว
วันนี้จะพาทุกๆท่านไปทำบุญที่วัดแถวๆเสียมราฐด้วยกันค่ะ
สำหรับเย็นวันที่สอง
จขกท.ไปทานข้าวแล้วก็ดูโชว์ที่ Smile Angkor ค่ะ
โชว์เค้าออกจะเป็นแนวแฟนตาซีร่วมสมัยหน่อย ไม่เหมาะกับคนที่อยากไปดูโชว์อัปสราแบบดั้งเดิม
เหตุผลที่เราเลือกไปที่นี่ ก็เพราะเรางานส่วนตัวเราอีกงานหนึ่งก็คือทำโชว์ขายฝรั่ง
พอไปที่อื่นก็อยากจะดูโชว์ใหญ่ๆที่บ้านเมืองเค้ามีว่ามันจะอลังการแค่ไหน
การแสดงที่นี่เราให้คะแนน 6/10 แบบว่างงๆกับนางรำเขมร รำอะไรกันแน่ไหงมีรำเวอร์ชั่นเจ้าแม่กวนอิมพันมือด้วย
รู้สึกมันผสมเรื่องกันยังไม่ค่อยลงตัว แต่อย่างน้อยก็ดีที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้เราได้ดูด้วย
มาต่อวันสุดท้ายกันค่ะ
ตื่นเช้ามาจขกท.ก็รีบออกไปซื้อกับข้าวและเตรียมของถวายสังฆทาน
อาหารตามสั่งที่นี่เค้าจะเอาแกงตักใส่ถุงก๊อบแก๊บค่ะ ไม่มีถุงร้อนใส่แกงแบบบ้านเรา
พอใส่ถุงก๊อบแก๊บเสร็จพี่เค้าถึงเอาใส่กล่องโฟมอีกที
ช่วงที่เราไปเริ่มจะเข้าฤดูหนาวแล้ว เราเลยเตรียมผ้าห่มไปถวายพระด้วย
ของที่เราซื้อไปถวายก็มีของจำเป็นต้องใช้ อาสนะ ร่ม มุ้ง ผลไม้ แกง ข้าว ไก่ย่าง กบยัดไส้ ผ้าไตร ฯลฯ
อยากจะบอกว่าของใช้แทบทุกอย่างที่นี่ แทบจะทุกอย่าง Made in Thailand จ้า น่าภูมิใจจริงๆ
ที่เห็นเค้าตำๆอยู่นี่เป็นน้ำจิ้มสูตรเขมรค่ะ รู้สึกว่าเค้าจะตำมะขามอ่อนกับอะไรสักอย่าง เราจำไม่ได้
คนที่นี่เค้าทานจืดๆกัน ไม่ค่อยทานเผ็ดแบบบ้านเรา ส่วนที่เห็นปิ้งๆอยู่นี่เป็นปลาร้าเขมรค่ะ
เค้าเรียกอะไรจำไม่ได้ละ กลิ่นจะไม่ฉุนเท่าปลาร้าบ้านเรารสชาติพอทานได้ ไม่ได้อร่อยล้ำอะไร
เดี๋ยวมาต่อด้วยทริปทำบุญที่วัดกันค่ะ