ท่านอาจารย์ปรารภกับลูกศิษย์ว่า ท่านรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเวลาได้ยินพ่อแม่ปู่ย่าตายายชมลูกสาวหลานสาวว่าสวย
ท่านว่าการชมเด็กๆ ว่าสวยอยู่บ่อยๆ นั้น มีส่วนส่งเสริมความเสื่อมสติปัญญาของสตรี เด็กผู้หญิงสวยๆ ต้องได้ยินคำชมว่าสวย
ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งกว่าจะเติบโตขึ้นมา แม้เด็กผู้หญิงที่ไม่สวยก็ยังต้องทนฟังคำชมคนอื่น แล้วยังเด็กผู้ชายที่ได้ยินคำชมเหล่านั้นอีกเล่า
มันเป็นการล้างสมองเด็กๆ ให้เข้าใจผิดว่า คุณค่าชีวิตของผู้หญิงอยู่ที่หน้าตาและร่างกาย ทำให้เกิดความหลงใหลในความสวยงาม
ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เล่าเรื่องพระนางเขมาแสนสวย ผู้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ในสมัยพุทธกาล
ในแนวสนุกๆ ว่า พระนางหลงใหลในความสวยงามของตัวเองมาก ต้องการจะเป็นคนที่สวยที่สุดเหมือนราชินีในเทพนิยายฝรั่งที่ส่องกระจกแล้วถามว่า
“Mirror! mirror on the wall, who is the fairest of them all?... กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครสวยเลิศในปฐพี” พระนางหวังจะได้คำตอบว่า
“พระนางเขมาสวยเลิศในปฐพี” แต่ถ้ากระจกวิเศษกลับบอกว่า “สโนไวท์สวยเลิศในปฐพี” พระนางจะทนไม่ได้ที่มีใครสวยกว่า แม้พระนาง
จะสวยที่สุดในอินเดีย ซึ่งอาจจะมีประชากรหลายล้านคนในยุคนั้น แต่หากมีคนสวยกว่าพระนางเพียงคนเดียวในโลกนี้ พระนางก็รับไม่ได้
พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีเป็นพระโสดาบัน และเป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ค่อยปลื้มนักที่มเหสีของท่าน
เอาแต่หลงใหลในความสวยงามของตน ไม่ยอมเข้าวัดเข้าวา ชักชวนให้ไปด้วยทุกครั้งแต่พระนางก็ไม่ยอมไป เพราะพระนางได้ยินข่าวว่า
พระพุทธเจ้าชอบสอนเรื่องอสุภะความไม่สวยไม่งาม ซึ่งไม่ถูกจริตนิสัยของพระนาง
พระเจ้าพิมพิสารพยายามคิดหาอุบายพามเหสีเข้าวัด ในที่สุดท่านคิดได้ว่าต้องใช้เรื่องความสวยความงามเป็นเครื่องล่อ
ท่านให้กวีเอกแต่งกลอนพรรณนาความสวยงามของเวฬุวนารามที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ แล้วให้นักดนตรีแต่งเป็นเพลงไพเราะไปดีดพิณ
ร้องให้พระนางเขมาฟัง เมื่อได้ฟังเพลงนั้น พระนางเกิดความรู้สึกอยากจะไปดูความสวยงามของเวฬุวนารามทันที พระนางบอกพระสวามี
ซึ่งท่านก็รีบอนุญาต แล้วท่านก็กระซิบกำชับมหาดเล็กให้หาทางพาพระมเหสีไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้จงได้
ที่เวฬุวนาราม พระนางเขมาเดินชมความงามของราชอุทยานโดยพยายามเลี่ยงไปให้ไกลจากเขตสงฆ์มากที่สุด
แต่มหาดเล็กก็พยายามหลอกล่อจนสุดความสามารถ กึ่งเชิญชวนกึ่งบังคับให้พระนางเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าจนสำเร็จ
แม้พระนางไม่เต็มใจเลยก็ตาม
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นพระนางเขมาเดินเข้ามา พระองค์ทรงเนรมิตหญิงงามขึ้นมาคนหนึ่ง ซึ่งสวยงามชนิดหาที่เปรียบมิได้
พอพระนางเขมาเดินเข้ามา สายตาพลันปะทะเข้าที่หญิงงาม ท่านอาจารย์เล่าว่า สมองของพระนางทำงานราวกับเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
สแกนข้อมูลทั้งหมด ทั้งหน้าตา ผมเผ้า การแต่งกาย กิริยามารยาท ตึ๊ด! ตึ๊ด! ตึ๊ด! ภายในเศษส่วนวินาที พระนางก็ต้องทำใจยอมรับความจริงว่า
หญิงงามที่กำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยถวายงานพัดแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวยงามกว่าพระนางมาก โดยไม่ทราบว่านางงามคนนั้น
เป็นเพียงสิ่งที่พระพุทธองค์เนรมิตขึ้นมาเพื่อให้บทเรียนแก่พระนางเท่านั้น ดังนั้นพระนางจึงเกิดความอิจฉาขึ้นมาอย่างรุนแรง ผู้หญิงคนนี้
ทั้งสวยงามเลอเลิศ ทั้งเข้าวัดก่อน แล้วยังได้อุปัฏฐากใกล้ชิดถวายงานพัดแด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของพระเจ้าพิมพิสาร
และชาวกรุงราชคฤห์ทั้งหลาย
เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญานว่าพระนางเขมากำลังรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง ก็ทรงเนรมิตให้หญิงงามคนนั้นค่อยๆ
เปลี่ยนโฉมจากความงดงามอย่างสาวรุ่นที่เรียกว่าปฐมวัย แก่ขึ้นๆ เข้าสู่วัยกลางคน หรือมัชฌิมวัย แล้วในที่สุดก็แก่ลงๆ เข้าสู่บั้นปลายชีวิต
หรือปัจฉิมวัย ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ฟันฟางหักหมด หลังค่อม เดินไปด้วยความงกๆ เงิ่นๆ แล้วในที่สุดก็หมดลมตายอยู่ตรงนั้น
ด้วยบุญบารมีที่เคยสั่งสมมาหลายภพหลายชาติ พระนางเขมาเห็นแล้วเกิดความสลดสังเวช เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร
จะสวยเลอเลิศขนาดไหนก็ต้องแก่ต้องตาย นึกน้อมเข้ามาถึงตัวพระนางเองว่า วันหนึ่งข้างหน้าก็จะหนีความแก่ความตายไม่พ้นเช่นกัน
ปัญญาจึงเกิดขึ้นและพระนางก็บรรลุโสดาบันในบัดนั้นเอง ในที่สุดพระนางได้ออกบวชเป็นภิกษุณี และได้เป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา
ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา คู่กับพระสารีบุตร ซึ่งเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาผู้เลิศในทางปัญญา
พระพุทธองค์ตรัสว่า คนที่หลงความสวยความงามเหมือนแมงมุมที่ติดอยู่ในข่ายใหญ่ของตัวเอง สร้างขึ้นมาเอง หลงเอง และทุกข์เอง
--
ที่มา: 'เรื่องท่านเล่า' หนังสือรวมนิทานที่พระอาจารย์ชยสาโรเมตตาเล่าไว้ เรียบเรียงโดย ศรีวรา อิสสระ
สวยเลิศในปฐพี
ท่านว่าการชมเด็กๆ ว่าสวยอยู่บ่อยๆ นั้น มีส่วนส่งเสริมความเสื่อมสติปัญญาของสตรี เด็กผู้หญิงสวยๆ ต้องได้ยินคำชมว่าสวย
ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งกว่าจะเติบโตขึ้นมา แม้เด็กผู้หญิงที่ไม่สวยก็ยังต้องทนฟังคำชมคนอื่น แล้วยังเด็กผู้ชายที่ได้ยินคำชมเหล่านั้นอีกเล่า
มันเป็นการล้างสมองเด็กๆ ให้เข้าใจผิดว่า คุณค่าชีวิตของผู้หญิงอยู่ที่หน้าตาและร่างกาย ทำให้เกิดความหลงใหลในความสวยงาม
ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์เล่าเรื่องพระนางเขมาแสนสวย ผู้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ในสมัยพุทธกาล
ในแนวสนุกๆ ว่า พระนางหลงใหลในความสวยงามของตัวเองมาก ต้องการจะเป็นคนที่สวยที่สุดเหมือนราชินีในเทพนิยายฝรั่งที่ส่องกระจกแล้วถามว่า
“Mirror! mirror on the wall, who is the fairest of them all?... กระจกวิเศษบอกข้าเถิดใครสวยเลิศในปฐพี” พระนางหวังจะได้คำตอบว่า
“พระนางเขมาสวยเลิศในปฐพี” แต่ถ้ากระจกวิเศษกลับบอกว่า “สโนไวท์สวยเลิศในปฐพี” พระนางจะทนไม่ได้ที่มีใครสวยกว่า แม้พระนาง
จะสวยที่สุดในอินเดีย ซึ่งอาจจะมีประชากรหลายล้านคนในยุคนั้น แต่หากมีคนสวยกว่าพระนางเพียงคนเดียวในโลกนี้ พระนางก็รับไม่ได้
พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีเป็นพระโสดาบัน และเป็นอัครอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ค่อยปลื้มนักที่มเหสีของท่าน
เอาแต่หลงใหลในความสวยงามของตน ไม่ยอมเข้าวัดเข้าวา ชักชวนให้ไปด้วยทุกครั้งแต่พระนางก็ไม่ยอมไป เพราะพระนางได้ยินข่าวว่า
พระพุทธเจ้าชอบสอนเรื่องอสุภะความไม่สวยไม่งาม ซึ่งไม่ถูกจริตนิสัยของพระนาง
พระเจ้าพิมพิสารพยายามคิดหาอุบายพามเหสีเข้าวัด ในที่สุดท่านคิดได้ว่าต้องใช้เรื่องความสวยความงามเป็นเครื่องล่อ
ท่านให้กวีเอกแต่งกลอนพรรณนาความสวยงามของเวฬุวนารามที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ แล้วให้นักดนตรีแต่งเป็นเพลงไพเราะไปดีดพิณ
ร้องให้พระนางเขมาฟัง เมื่อได้ฟังเพลงนั้น พระนางเกิดความรู้สึกอยากจะไปดูความสวยงามของเวฬุวนารามทันที พระนางบอกพระสวามี
ซึ่งท่านก็รีบอนุญาต แล้วท่านก็กระซิบกำชับมหาดเล็กให้หาทางพาพระมเหสีไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้จงได้
ที่เวฬุวนาราม พระนางเขมาเดินชมความงามของราชอุทยานโดยพยายามเลี่ยงไปให้ไกลจากเขตสงฆ์มากที่สุด
แต่มหาดเล็กก็พยายามหลอกล่อจนสุดความสามารถ กึ่งเชิญชวนกึ่งบังคับให้พระนางเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าจนสำเร็จ
แม้พระนางไม่เต็มใจเลยก็ตาม
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นพระนางเขมาเดินเข้ามา พระองค์ทรงเนรมิตหญิงงามขึ้นมาคนหนึ่ง ซึ่งสวยงามชนิดหาที่เปรียบมิได้
พอพระนางเขมาเดินเข้ามา สายตาพลันปะทะเข้าที่หญิงงาม ท่านอาจารย์เล่าว่า สมองของพระนางทำงานราวกับเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
สแกนข้อมูลทั้งหมด ทั้งหน้าตา ผมเผ้า การแต่งกาย กิริยามารยาท ตึ๊ด! ตึ๊ด! ตึ๊ด! ภายในเศษส่วนวินาที พระนางก็ต้องทำใจยอมรับความจริงว่า
หญิงงามที่กำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยถวายงานพัดแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวยงามกว่าพระนางมาก โดยไม่ทราบว่านางงามคนนั้น
เป็นเพียงสิ่งที่พระพุทธองค์เนรมิตขึ้นมาเพื่อให้บทเรียนแก่พระนางเท่านั้น ดังนั้นพระนางจึงเกิดความอิจฉาขึ้นมาอย่างรุนแรง ผู้หญิงคนนี้
ทั้งสวยงามเลอเลิศ ทั้งเข้าวัดก่อน แล้วยังได้อุปัฏฐากใกล้ชิดถวายงานพัดแด่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของพระเจ้าพิมพิสาร
และชาวกรุงราชคฤห์ทั้งหลาย
เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญานว่าพระนางเขมากำลังรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง ก็ทรงเนรมิตให้หญิงงามคนนั้นค่อยๆ
เปลี่ยนโฉมจากความงดงามอย่างสาวรุ่นที่เรียกว่าปฐมวัย แก่ขึ้นๆ เข้าสู่วัยกลางคน หรือมัชฌิมวัย แล้วในที่สุดก็แก่ลงๆ เข้าสู่บั้นปลายชีวิต
หรือปัจฉิมวัย ผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ฟันฟางหักหมด หลังค่อม เดินไปด้วยความงกๆ เงิ่นๆ แล้วในที่สุดก็หมดลมตายอยู่ตรงนั้น
ด้วยบุญบารมีที่เคยสั่งสมมาหลายภพหลายชาติ พระนางเขมาเห็นแล้วเกิดความสลดสังเวช เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร
จะสวยเลอเลิศขนาดไหนก็ต้องแก่ต้องตาย นึกน้อมเข้ามาถึงตัวพระนางเองว่า วันหนึ่งข้างหน้าก็จะหนีความแก่ความตายไม่พ้นเช่นกัน
ปัญญาจึงเกิดขึ้นและพระนางก็บรรลุโสดาบันในบัดนั้นเอง ในที่สุดพระนางได้ออกบวชเป็นภิกษุณี และได้เป็นอัครสาวิกาฝ่ายขวา
ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางปัญญา คู่กับพระสารีบุตร ซึ่งเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวาผู้เลิศในทางปัญญา
พระพุทธองค์ตรัสว่า คนที่หลงความสวยความงามเหมือนแมงมุมที่ติดอยู่ในข่ายใหญ่ของตัวเอง สร้างขึ้นมาเอง หลงเอง และทุกข์เอง
--
ที่มา: 'เรื่องท่านเล่า' หนังสือรวมนิทานที่พระอาจารย์ชยสาโรเมตตาเล่าไว้ เรียบเรียงโดย ศรีวรา อิสสระ
ที่มา
ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
https://th-th.facebook.com/jayasaro.panyaprateep.org
ดาวน์โหลดหนังสือ เรื่องท่านเล่า ฟรี ได้ที่นี่
http://www.ebooks.in.th/ebook/468/เรื่องท่านเล่า/