US Box Office June 6-8, 2014
(แปล-เรียบเรียงจาก
www.boxofficemojo.com)
เป็นสุดสัปดาห์ที่สาวรุ่นแสดงพลัง กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้หนังโรแมนซ์วัยทีน The Fault in our Stars คว้าอันดับ 1 หนังทำเงินมาครองได้อย่างสบายๆ ด้วยรายได้เปิดตัว 48 ล้านเหรียญ ขณะที่ Edge of Tomorrow จะมาพร้อมกับคำวิจารณ์ที่ดี แต่ก็เปลี่ยนให้กลายเป็นความสำเร็จไม่ได้
The Fault in our Stars เปิดตัวได้สูงกว่าหนังโรแมนติคฮิตอีกเรื่อง The Vow (41.2 ล้านเหรียญ) และ Dear John (30.5 ล้านเหรียญ) หนังมีแววดีเอามากๆ เมื่อทำรายได้ในวันศุกร์ได้สวย แต่พอรวมรายได้สุดสัปดาห์แล้ว หนังเปิดตัวได้ต่ำกว่า Divergent หนังอีกเรื่องของไชลีน์ วุดลีย์ ที่ทำรายได้ไป 54 ล้านเหรียญ กับยอดขายนิยายเรื่องนี้ของจอห์น กรีนกว่า 10 ล้านก็อปปี ทำให้หนัง The Fault in our Stars กลายเป็นหนึ่งในนิยายฮิตในช่วงระยะเวลานี้ ขณะที่แฟนๆ เองก็ปลื้มกับตัวอย่างที่ได้ชม ซึ่งนำเสนอภาพเรื่องราวความรักของวัยรุ่น 2 คนที่พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ขณะที่ฟ็อกซ์ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่าย ก็ระดมแฟนๆ ด้วยการทำการตลาดที่เน้นหนักไปที่บรรดาสังคมออนไลน์ทั้งหลาย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ หนังได้คนดูวัยรุ่นสาวมาเพียบถึง 82% และ 79% อายุต่ำกว่า 25 ปี โดยที่รีบไปดูกันตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ ที่มีการจัดงาน The Night Before Our Stars ต่อเนื่องมาจนถึงวันศุกร์ จนทำรายได้ถึง 26.1 ล้านเหรียญ โชคไม่ดีที่หนังทำรายได้ตกลงอย่างรวดเร็วในช่วงวันหยุด โดยรายได้จากวันศุกร์-เสาร์ลดลงถึง 51% ถือเป็นหนึ่งในหนังที่รายได้หล่นมากที่สุดตลอดกาลก็ว่าได้
ท้ายที่สุดกับรายได้วันศุกร์ที่มากถึง 54% ของรายได้รวมทั้งหมดในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในหนังที่มีรายได้วันแรกๆ สูงเอามากๆ โดยสูงกว่าหนังชุด Twilight เสียอีก และแม้จะได้คะแนนปากต่อปากที่ดี กับคะแนน A ของซีนีมาสกอร์ แต่หนังก็น่าจะทำรายได้หล่นอย่างรสดเร็ ถึงจะเป็นอย่างนั้น หนังก็คงทำเงินผ่าน 100 ล้านไปได้หากไม่มากนัก
อันดับ 2 เป็นหนัง Maleficent ที่รายได้ตก 51% ทำเงินไปอีก 34.3 ล้านเหรียญ ถือเป็นหนังซัมเมอร์ที่ยืนระยะได้ดีมากๆ แล้วหากเทียบกับหนังในกลุ่มเดียวกัน Show White and the Huntsman รายได้ตก 59% ในสัปดาห์เดียวกันนี้ของปี 2012 ตอนนี้ Maleficent ทำรายได้รวมไปแล้ว 128.2 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวด้วยรายได้ใกล้ๆ 200 ล้านเหรียญ
Edge of Tomorrow ทำได้แค่อันดับ 3 ด้วยรายได้เปิดตัว 28.8 ล้านเหรียญ ต่ำกว่าหนังไซ-ไฟอย่าง Elysium (29.8 ล้านเหรียญ) และ John Carter (30.2 ล้านเหรียญ) ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทางวอร์เนอร์หวังเอาไว้กับหนังทุนสูงแบบนี้แน่ๆ ที่สำคัญยังต่ำกว่าหนังไซ-ไฟ ทอม ครูซเล่นอย่าง Oblivion และ Pacific Rim ที่ต่างเปิดตัวได้เกิน 37 ล้านเหรียญทั้งคู่
หนังได้คำชมจากหนังวิจารณ์อย่างมาก ในแง่ความสด ใหม่ ของเรื่อง แต่การตลาดไม่สามารถดึงคนดูหนังทั่วๆ ไปมาเข้าชมได้ แถมยังดูเป็นเพียงหนังขายเอ็ฟเฟ็คท์ มนุษย์ต่างดาวบุกโลกอีกเรื่อง ซึ่งมีให้ชมกันทุกปี แล้วคนดูยังรู้สึกเดจา วูกับภาพของครูซ และภาพของหนังที่ใกล้เคียงกับใน Oblivion ยิ่งไปกว่านั้นชุดแบบที่ใส่ในหนังคนดูก็เห็นกันมาแล้วจาก Elysium อีกต่างหาก ไม่แปลกที่ในเรื่องของ “ภาพ” Edge of Tomorrow จะดูเป็นหนังซ้ำซาก คนดูหนัง 61% เป็นผู้ชาย และ 73% อายุมากกว่า 25 รายได้จาก 3 มิติคิดเป็น 47% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนรายได้จากโรงไอแมกซ์อยู่ที่ 4.2 ล้านเหรียญ นักวิจารณ์รักหนังเรื่องนี้ โดยได้คะแนน 89% จากเว็บมะเขือเน่า แต่คนดูไม่โดนสักเท่าไหร่ ทำให้ได้แค่ B+ จากซีนีมาสกอร์ หนังน่าจะยืนระยะได้ดี แต่คงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจถ้าทำรายได้ในระดับแตะ 100 ล้านเหรียญ
X-Men: Days of Future Past รายได้ตกอีก 53% ทำรายได้ไป 15.2 ล้านเหรียญ รายได้รวม 17 วันอยู่ที่ 189.6 ล้านเหรียญ ดูแล้วหนัง X-Men เรื่องที่ 7 น่าจะทำรายได้แถว 220 ล้านเหรียญเมื่อปิดโปรแกรม
ส่วนหนังเซ็ธ แม็คฟาร์แลนด์ A Million Ways to Die in the West ยังไม่หลุดจากท็อปไฟว์ ทำเงินไปอีก 7.3 ล้านเหรียญ ตกลงจากเดิม 56% ถือเป็นรายได้ที่ตกแบบกราวรูดสำหรับหนังเบาสมอง หนังทำเงินไปแล้ว 30.3 ล้านเหรียญ และคงจะทำได้ดีที่สุดราวๆ 50 ล้านเหรียญ
กับตลาดนอกอเมริกา Edge of Tomorrow เปิดตัวอย่างงดงาม หนังทำรายได้ถึง 82 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งในจำนวนนั้นคือรายได้เปิดตัว 25 ล้านเหรียญในจีน กลายเป็นหนังทอม ครูซเปิดตัวสูงสุดที่นี่ รวมทั้งทำรายได้เป็นกอบเป็นกำที่เกาหลีใต้ 16.6 ล้านเหรียญ และไปได้ดีที่รัสเซีย 8.6 ล้านเหรียญ แต่ที่อื่นๆ หนังดูจะเปิดตัวไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ ที่ฝรั่งเศสหนังเปิดตัว 3.2 ล้านเหรียญ, 3.1 ล้านเหรียญที่เม็กซิโก และ 2.8 ล้านเหรียญที่ออสเตรเลีย หนังจะเปิดตัวที่ญี่ปุ่นวันที่ 4 กรกฎาคม ท้ายที่สุดหนังน่าจะทำรายได้มากกว่า 250 ล้านเหรียญ
Maleficent ได้เงินอีก 59.7 ล้านเหรียญ พารายได้รวมนอกอเมริกาขยับเป็น 208.1 ล้านเหรียญ โดยทำรายได้มากสุดที่เม็กซิโก 30 ล้านเหรียญ หนังยังไม่เปิดตัวที่จีน และญี่ปุ่น โดยคาดหวังถึงรายได้ระดับ 400 ล้านเหรียญได้ ส่วน X-Men: Days of Future Past ทำรายได้อีก 42.1 ล้านเหรียญ ในจีนหนังได้เงิน 7.5 ล้านเหรียญ พารายได้ะลุร้อยล้านที่นี่ไปแล้ว ตอนนี้หนังทำรายได้ในตลาดต่างประเทศไป 421 ล้านเหรียญ รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 610 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวที่กว่า 700 ล้านเหรียญทั่วโลก
ขณะที่หนังสร้างจากนิยายของจอห์น กรีน The Fault in our Stars ก็ทำได้สวยเช่นกันในตลาดนอกอเมริกา หนังได้เงิน 17.1 ล้านเหรียญ ซึ่งต้องให้เครดิตกับการเปิดตัวที่แข็งแรงที่ บราซิล (5.9 ล้านเหรียญ), เม็กซิโก (4 ล้านเหรียญ) และ ออสเตรเลีย (3.7 ล้านเหรียญ) สุดสัปดาห์หน้าหนังจะขยายไปอีก 19 ตลาด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเยอรมันนีรวมอยู่ด้วย
อีกหนึ่งสัปดาห์จะเปิดตัวในอเมริกา 22 Jump Street หยั่งเชิงไปก่อนที่อังกฤษ ทำรายได้ 8.1 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ารายได้เปิดตัวของภาคแรก 21 Jump Street และพอมองได้ว่าหนังภาคนี้น่าจะไปได้ไกลกว่าด้วยเช่นกัน
อ่านคำวิจารณ์ของ Edge Of Tomorrow ได้ที่
http://bit.ly/1oYbRNi
คลิกไลค์ให้กำลังใจได้ที่
www.facebook.com/Sadaos อ่านข่าวคราว-บทวิจารณ์หนังและเพลง ชมตัวอย่างภาพยนตร์และมิวสิค วิดีโอได้ที่
www.sadaos.com
หนังทำเงินอเมริกาสัปดาห์นี้หนังโรแมนติค The Fault in our Stars มาแรง หนังครูซ Edge of Tomorrow ดับ
(แปล-เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
เป็นสุดสัปดาห์ที่สาวรุ่นแสดงพลัง กลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้หนังโรแมนซ์วัยทีน The Fault in our Stars คว้าอันดับ 1 หนังทำเงินมาครองได้อย่างสบายๆ ด้วยรายได้เปิดตัว 48 ล้านเหรียญ ขณะที่ Edge of Tomorrow จะมาพร้อมกับคำวิจารณ์ที่ดี แต่ก็เปลี่ยนให้กลายเป็นความสำเร็จไม่ได้
The Fault in our Stars เปิดตัวได้สูงกว่าหนังโรแมนติคฮิตอีกเรื่อง The Vow (41.2 ล้านเหรียญ) และ Dear John (30.5 ล้านเหรียญ) หนังมีแววดีเอามากๆ เมื่อทำรายได้ในวันศุกร์ได้สวย แต่พอรวมรายได้สุดสัปดาห์แล้ว หนังเปิดตัวได้ต่ำกว่า Divergent หนังอีกเรื่องของไชลีน์ วุดลีย์ ที่ทำรายได้ไป 54 ล้านเหรียญ กับยอดขายนิยายเรื่องนี้ของจอห์น กรีนกว่า 10 ล้านก็อปปี ทำให้หนัง The Fault in our Stars กลายเป็นหนึ่งในนิยายฮิตในช่วงระยะเวลานี้ ขณะที่แฟนๆ เองก็ปลื้มกับตัวอย่างที่ได้ชม ซึ่งนำเสนอภาพเรื่องราวความรักของวัยรุ่น 2 คนที่พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ขณะที่ฟ็อกซ์ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่าย ก็ระดมแฟนๆ ด้วยการทำการตลาดที่เน้นหนักไปที่บรรดาสังคมออนไลน์ทั้งหลาย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ หนังได้คนดูวัยรุ่นสาวมาเพียบถึง 82% และ 79% อายุต่ำกว่า 25 ปี โดยที่รีบไปดูกันตั้งแต่คืนวันพฤหัสฯ ที่มีการจัดงาน The Night Before Our Stars ต่อเนื่องมาจนถึงวันศุกร์ จนทำรายได้ถึง 26.1 ล้านเหรียญ โชคไม่ดีที่หนังทำรายได้ตกลงอย่างรวดเร็วในช่วงวันหยุด โดยรายได้จากวันศุกร์-เสาร์ลดลงถึง 51% ถือเป็นหนึ่งในหนังที่รายได้หล่นมากที่สุดตลอดกาลก็ว่าได้
ท้ายที่สุดกับรายได้วันศุกร์ที่มากถึง 54% ของรายได้รวมทั้งหมดในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในหนังที่มีรายได้วันแรกๆ สูงเอามากๆ โดยสูงกว่าหนังชุด Twilight เสียอีก และแม้จะได้คะแนนปากต่อปากที่ดี กับคะแนน A ของซีนีมาสกอร์ แต่หนังก็น่าจะทำรายได้หล่นอย่างรสดเร็ ถึงจะเป็นอย่างนั้น หนังก็คงทำเงินผ่าน 100 ล้านไปได้หากไม่มากนัก
อันดับ 2 เป็นหนัง Maleficent ที่รายได้ตก 51% ทำเงินไปอีก 34.3 ล้านเหรียญ ถือเป็นหนังซัมเมอร์ที่ยืนระยะได้ดีมากๆ แล้วหากเทียบกับหนังในกลุ่มเดียวกัน Show White and the Huntsman รายได้ตก 59% ในสัปดาห์เดียวกันนี้ของปี 2012 ตอนนี้ Maleficent ทำรายได้รวมไปแล้ว 128.2 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวด้วยรายได้ใกล้ๆ 200 ล้านเหรียญ
Edge of Tomorrow ทำได้แค่อันดับ 3 ด้วยรายได้เปิดตัว 28.8 ล้านเหรียญ ต่ำกว่าหนังไซ-ไฟอย่าง Elysium (29.8 ล้านเหรียญ) และ John Carter (30.2 ล้านเหรียญ) ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทางวอร์เนอร์หวังเอาไว้กับหนังทุนสูงแบบนี้แน่ๆ ที่สำคัญยังต่ำกว่าหนังไซ-ไฟ ทอม ครูซเล่นอย่าง Oblivion และ Pacific Rim ที่ต่างเปิดตัวได้เกิน 37 ล้านเหรียญทั้งคู่
หนังได้คำชมจากหนังวิจารณ์อย่างมาก ในแง่ความสด ใหม่ ของเรื่อง แต่การตลาดไม่สามารถดึงคนดูหนังทั่วๆ ไปมาเข้าชมได้ แถมยังดูเป็นเพียงหนังขายเอ็ฟเฟ็คท์ มนุษย์ต่างดาวบุกโลกอีกเรื่อง ซึ่งมีให้ชมกันทุกปี แล้วคนดูยังรู้สึกเดจา วูกับภาพของครูซ และภาพของหนังที่ใกล้เคียงกับใน Oblivion ยิ่งไปกว่านั้นชุดแบบที่ใส่ในหนังคนดูก็เห็นกันมาแล้วจาก Elysium อีกต่างหาก ไม่แปลกที่ในเรื่องของ “ภาพ” Edge of Tomorrow จะดูเป็นหนังซ้ำซาก คนดูหนัง 61% เป็นผู้ชาย และ 73% อายุมากกว่า 25 รายได้จาก 3 มิติคิดเป็น 47% ของรายได้ทั้งหมด ส่วนรายได้จากโรงไอแมกซ์อยู่ที่ 4.2 ล้านเหรียญ นักวิจารณ์รักหนังเรื่องนี้ โดยได้คะแนน 89% จากเว็บมะเขือเน่า แต่คนดูไม่โดนสักเท่าไหร่ ทำให้ได้แค่ B+ จากซีนีมาสกอร์ หนังน่าจะยืนระยะได้ดี แต่คงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจถ้าทำรายได้ในระดับแตะ 100 ล้านเหรียญ
X-Men: Days of Future Past รายได้ตกอีก 53% ทำรายได้ไป 15.2 ล้านเหรียญ รายได้รวม 17 วันอยู่ที่ 189.6 ล้านเหรียญ ดูแล้วหนัง X-Men เรื่องที่ 7 น่าจะทำรายได้แถว 220 ล้านเหรียญเมื่อปิดโปรแกรม
ส่วนหนังเซ็ธ แม็คฟาร์แลนด์ A Million Ways to Die in the West ยังไม่หลุดจากท็อปไฟว์ ทำเงินไปอีก 7.3 ล้านเหรียญ ตกลงจากเดิม 56% ถือเป็นรายได้ที่ตกแบบกราวรูดสำหรับหนังเบาสมอง หนังทำเงินไปแล้ว 30.3 ล้านเหรียญ และคงจะทำได้ดีที่สุดราวๆ 50 ล้านเหรียญ
กับตลาดนอกอเมริกา Edge of Tomorrow เปิดตัวอย่างงดงาม หนังทำรายได้ถึง 82 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งในจำนวนนั้นคือรายได้เปิดตัว 25 ล้านเหรียญในจีน กลายเป็นหนังทอม ครูซเปิดตัวสูงสุดที่นี่ รวมทั้งทำรายได้เป็นกอบเป็นกำที่เกาหลีใต้ 16.6 ล้านเหรียญ และไปได้ดีที่รัสเซีย 8.6 ล้านเหรียญ แต่ที่อื่นๆ หนังดูจะเปิดตัวไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ ที่ฝรั่งเศสหนังเปิดตัว 3.2 ล้านเหรียญ, 3.1 ล้านเหรียญที่เม็กซิโก และ 2.8 ล้านเหรียญที่ออสเตรเลีย หนังจะเปิดตัวที่ญี่ปุ่นวันที่ 4 กรกฎาคม ท้ายที่สุดหนังน่าจะทำรายได้มากกว่า 250 ล้านเหรียญ
Maleficent ได้เงินอีก 59.7 ล้านเหรียญ พารายได้รวมนอกอเมริกาขยับเป็น 208.1 ล้านเหรียญ โดยทำรายได้มากสุดที่เม็กซิโก 30 ล้านเหรียญ หนังยังไม่เปิดตัวที่จีน และญี่ปุ่น โดยคาดหวังถึงรายได้ระดับ 400 ล้านเหรียญได้ ส่วน X-Men: Days of Future Past ทำรายได้อีก 42.1 ล้านเหรียญ ในจีนหนังได้เงิน 7.5 ล้านเหรียญ พารายได้ะลุร้อยล้านที่นี่ไปแล้ว ตอนนี้หนังทำรายได้ในตลาดต่างประเทศไป 421 ล้านเหรียญ รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 610 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวที่กว่า 700 ล้านเหรียญทั่วโลก
ขณะที่หนังสร้างจากนิยายของจอห์น กรีน The Fault in our Stars ก็ทำได้สวยเช่นกันในตลาดนอกอเมริกา หนังได้เงิน 17.1 ล้านเหรียญ ซึ่งต้องให้เครดิตกับการเปิดตัวที่แข็งแรงที่ บราซิล (5.9 ล้านเหรียญ), เม็กซิโก (4 ล้านเหรียญ) และ ออสเตรเลีย (3.7 ล้านเหรียญ) สุดสัปดาห์หน้าหนังจะขยายไปอีก 19 ตลาด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเยอรมันนีรวมอยู่ด้วย
อีกหนึ่งสัปดาห์จะเปิดตัวในอเมริกา 22 Jump Street หยั่งเชิงไปก่อนที่อังกฤษ ทำรายได้ 8.1 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ารายได้เปิดตัวของภาคแรก 21 Jump Street และพอมองได้ว่าหนังภาคนี้น่าจะไปได้ไกลกว่าด้วยเช่นกัน
อ่านคำวิจารณ์ของ Edge Of Tomorrow ได้ที่ http://bit.ly/1oYbRNi
คลิกไลค์ให้กำลังใจได้ที่ www.facebook.com/Sadaos อ่านข่าวคราว-บทวิจารณ์หนังและเพลง ชมตัวอย่างภาพยนตร์และมิวสิค วิดีโอได้ที่ www.sadaos.com