ศาลแพ่งจำคุก “อาจารย์ตุ้ม-ทนาย นปช.” ละเมิดอำนาจศาล คนละ 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พาผู้ชุมนุมประท้วง-วางพวงหรีดหน้าศาลแพ่ง ชี้เป็นการกระทำอุกอาจและให้ออกหมายจับ “ดารณี” เบี้ยวไม่มาศาล
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (9 มิ.ย.) ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนการละเมิดอำนาจศาลในคดีที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการศาลแพ่ง กล่าวหานางดารณี กฤตบุญญาลัย หรือเจ๊ดา นักธุรกิจไฮโซ แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นางสุดสงวน สุธีสร หรืออาจารย์ตุ้ม อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ นปช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 กรณีนำกลุ่มมวลชนที่ไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีเพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประมาณ 130 คน มาวางพวงหรีดที่หน้าศาลแพ่ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยทนายความแถลงว่านางดารณีกลัวอำนาจ คสช. เกรงจะได้รับอันตรายจึงไม่มาศาล แต่ศาลเห็นว่ามีเจตนาหลบหนีจึงให้ออกหมายจับ และจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเฉพาะในส่วนของนางดารณีจนกว่าจะจับกุมตัวได้
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000064544
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 ศาลเห็นว่าผู้อำนวยศาลแพ่งได้กล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2557 จำเลยทั้งสามกับพวกประมาณ 130 คนได้เข้ามาวางพวงหรีดเปิดเครื่องขยายเสียงและชูป้ายมีถ้อยคำเสียดสีศาลแพ่ง อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 อนุ 1 และมาตรา 33
ข้อเท็จจริงฟังประกอบการเปิดภาพวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าว มีกลุ่มคน 130 คนมาชูป้ายคัดค้านและเสียดสีศาลแพ่ง กรณีเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกับพวก ให้เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ผู้ถูกล่าวหาทั้งสามกับพวกจึงมาวางพวงหรีดและใช้โทรโข่ง ตะโกนเอะอะเสียงดัง ส่งเสียงอื้ออึง มีป้ายความว่า “แด่ความอยุติธรรม” ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 ยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับคนในภาพ และแถลงขอถอนคำให้การปฏิเสธทั้งหมด กับแถลงรับสารภาพ และอ้างว่าไม่รู้จักกับหญิงชุดดำที่ถือตราชูและปลัดขิก
จึงมีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ลงโทษจำคุก 2 เดือน คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ1 เดือน คดีนี้เป็นการกระทำอุกอาจ ท้าทายศาล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เป็นทนายความ ย่อมมีความรู้ดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติไม่สมควร ทำให้ศาลได้รับความเสื่อมเสีย จึงควรลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ จากนั้นผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจึงยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว
นายพิชาก ล่าวว่า ตนยอมรับว่ามาร่วมอ่านคำแถลงหน้าศาลจริง แต่ทำไปเนื่องจากไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาศาลแพ่งที่ออกข้อกำหนด 9 ข้อให้ความคุ้มครองกลุ่ม กปปส. อย่างไรก็ตามเมื่อศาลมีคำสั่งออกมาก็ยอมรับและจะอุทธรณ์คำสั่งต่อไป โดยได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 5 หมื่นบาทขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี ภายหลังศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวได้
ศาลแพ่งจำคุก “อาจารย์ธรรมศาสตร์ - ทนาย นปช.” คนละ 1 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (9 มิ.ย.) ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวนการละเมิดอำนาจศาลในคดีที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการศาลแพ่ง กล่าวหานางดารณี กฤตบุญญาลัย หรือเจ๊ดา นักธุรกิจไฮโซ แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นางสุดสงวน สุธีสร หรืออาจารย์ตุ้ม อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ นปช. ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-3 กรณีนำกลุ่มมวลชนที่ไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีเพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประมาณ 130 คน มาวางพวงหรีดที่หน้าศาลแพ่ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยทนายความแถลงว่านางดารณีกลัวอำนาจ คสช. เกรงจะได้รับอันตรายจึงไม่มาศาล แต่ศาลเห็นว่ามีเจตนาหลบหนีจึงให้ออกหมายจับ และจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราวเฉพาะในส่วนของนางดารณีจนกว่าจะจับกุมตัวได้
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000064544
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 ศาลเห็นว่าผู้อำนวยศาลแพ่งได้กล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2557 จำเลยทั้งสามกับพวกประมาณ 130 คนได้เข้ามาวางพวงหรีดเปิดเครื่องขยายเสียงและชูป้ายมีถ้อยคำเสียดสีศาลแพ่ง อันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 อนุ 1 และมาตรา 33
ข้อเท็จจริงฟังประกอบการเปิดภาพวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าว มีกลุ่มคน 130 คนมาชูป้ายคัดค้านและเสียดสีศาลแพ่ง กรณีเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกับพวก ให้เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ผู้ถูกล่าวหาทั้งสามกับพวกจึงมาวางพวงหรีดและใช้โทรโข่ง ตะโกนเอะอะเสียงดัง ส่งเสียงอื้ออึง มีป้ายความว่า “แด่ความอยุติธรรม” ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 ยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับคนในภาพ และแถลงขอถอนคำให้การปฏิเสธทั้งหมด กับแถลงรับสารภาพ และอ้างว่าไม่รู้จักกับหญิงชุดดำที่ถือตราชูและปลัดขิก
จึงมีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 และ 3 มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ลงโทษจำคุก 2 เดือน คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ1 เดือน คดีนี้เป็นการกระทำอุกอาจ ท้าทายศาล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 เป็นทนายความ ย่อมมีความรู้ดีว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการประพฤติไม่สมควร ทำให้ศาลได้รับความเสื่อมเสีย จึงควรลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง จึงไม่สมควรรอการลงโทษ จากนั้นผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจึงยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว
นายพิชาก ล่าวว่า ตนยอมรับว่ามาร่วมอ่านคำแถลงหน้าศาลจริง แต่ทำไปเนื่องจากไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาศาลแพ่งที่ออกข้อกำหนด 9 ข้อให้ความคุ้มครองกลุ่ม กปปส. อย่างไรก็ตามเมื่อศาลมีคำสั่งออกมาก็ยอมรับและจะอุทธรณ์คำสั่งต่อไป โดยได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 5 หมื่นบาทขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี ภายหลังศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันตัวได้