ถ้าพูดถึง “เจ้าแม่สื่อ” ในวงการบันเทิงไทย ชื่อของ “ติ๋ม-พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย" หรือชื่อเดิม “ พรรทิภา สกุลชัย” คงถูกนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ ชื่อเสียงของเธอ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เมื่อครั้งร่วมกับอดีตสามี “ต้อย แอ็คเน่อร์” บุกเบิกนิตยสารบันเทิง “ทีวีพูล” เมื่อปี 2533 ด้วยความโด่งดัง และยอดจำหน่ายที่ถล่มทลาย ทำให้เธอในฐานะเจ้าของ บริษัทโน้ต พับลิชชิ่ง จำกัด กลายเป็น “บุคคลผู้ทรงอิทธิพล” ในวงการบันเทิง ที่ดาราน้อยใหญ่ ตลอดจนผู้จัด ผู้ผลิต รวมไปถึงผู้บริหารทั้งองค์กรเล็ก-ใหญ่ ล้วนให้ความเคารพนับถือ และยำเกรงในบารมี
ชนิดที่ว่าทุกครั้งที่ “ทีวีพูล” จัดงาน ทั้งงานฉลองครบรอบ หรืองานประกาศผลรางวัลต่างๆ บุคคลทั่วทั้งวงการ จะพร้อมใจกันมาร่วมงานชนิดมืดฟ้ามัวดิน โดยไม่มีการแบ่งก๊ก แบ่งเหล่า แบ่งค่าย หรือแบ่งสังกัด หลายครั้งเราจึงมีโอกาสได้เห็นนักแสดงสังกัดช่อง 3 และช่อง 7 ร่วมอยู่ในโชว์เดียวกัน เรียกว่าใครก็ทำไม่ได้ ถ้าบารมีไม่ถึง
จากแวดวงนิตยสาร ทั้งทีวีพูล , Spicy , สตาร์นิวส์ กระโจนสู่วงการทีวี มีรายการทีวีพูล ไลฟ์ และทีวีพูล ทูไนท์ ที่ยึดหัวหาดทางช่อง 5 มานานปี จนถึงยุคทองของทีวีดาวเทียม ก็มีช่อง ทีวีพูล แชแนล ที่นำเสนอข่าวบันเทิงเป็นหลัก รวมถึงมิวสิก แชแนล ที่เน้นจับกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง
และในโมงยามที่คนบันเทิงหายใจเข้าหายใจออก เป็นทีวีดิจิตอล แม่ทัพหญิงอย่าง “ติ๋ม ทีวี พูล” ก็ไม่รั้งรอที่จะลงสนามสู้ศึกการประมูล กระทั่งได้เป็นเจ้าของสัมปทานทีวีดิจิตอลถึง 2 ช่อง ในนาม บริษัท ไทยทีวี จำกัด นั่นคือ ช่องข่าว THV (ทีเอชวี) และช่องเด็ก LOCA (โลก้า) โดยได้เริ่มทดลองออกอากาศในวันที่ 1 เมษายน และเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ทั้งนี้ ตั้งเป้ารายได้ทั้ง 2 ช่อง ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทในปีแรก และจะเป็นอันดับ 1 ภายใน 5 ปีนับจากนี้
โดยช่องเด็ก LOCA นั้น ดึงตัว “ภิญโญ รู้ธรรม” อดีตคีย์แมนคนสำคัญของค่ายเพลงย่านอโศกมาเป็นกำลังหลัก มุ่งหวังให้เป็นทีวีสีขาวแห่งแรกของประเทศไทย ชูจุดเด่นรายการที่ปราศจากอบายมุขและความรุนแรง เน้นรายการส่งเสริมสังคม และดูกันได้ทั้งครอบครัวเป็นหลัก ขณะที่ช่องข่าว THV (ทีเอชวี) นั้น ถูกแบ่งสัดส่วนเป็นรายการข่าว 50% และรายการบันเทิง , ละคร , วาไรตี้ทั่วไป 50% โดยใน 50 % ของรายการข่าวนั้น ก็ถูกจัดสรรออกเป็นข่าวบันเทิง 30 % และข่าวทั่วไป 20 %
ในภาคข่าวบันเทิงนั้น ไม่มีปัญหา เพราะทีมงานของ “ทีวีพูล” ล้วนเชี่ยวชาญทางนี้เป็นทุนเดิม อีกทั้งยังมีนักข่าว หลายคน ที่ถูกพัฒนามาเป็นพิธีกร และแจ้งเกิดมาตั้งแต่สมัยทำรายการทีวี แต่ในส่วนของข่าวทั่วไปนั้น ด้วยความที่ “ทีวีพูล” ไม่มีความสันทัดจัดเจน จึงต้องมองหาพันธมิตรมาร่วมผลิต โดยเบื้องต้นนั้น มอบหมายให้ บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) รับหน้าที่ดังกล่าวไป ซึ่งก็ถือเป็นการผนวกจุดแข็งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เมื่อตกปากรับคำเข้ามาเป็นผู้ผลิตรายการข่าวให้กับช่องไทยทีวีแล้ว ทาง บ.โพสต์ฯ ได้ยกเลิกผลิตรายการข่าวในช่องต่างๆ ออกไปจนหมด ไม่ว่าจะเป็นทางช่อง 11 หรือช่อง 5 โดยวาดหวังว่าจะมีการต่อยอดความร่วมมือกันมากขึ้น และมองไกลไปถึงการที่ บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) จะเข้าไปร่วมถือหุ้นในไทยทีวีในอนาคตด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่นั่นเป็นเพียงการวาดวิมานกลางอากาศในก้าวแรก หากเมื่อมีการลงมือทำกันจริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตข่าวทั่วไป ทาง บ.โพสต์ฯ กลับตกอยู่ในสภาพหวานอม ขมกลืน
เมื่อเจ้าของสัมปทานช่อง มีดำริที่จะให้บรรดา “ลูกหม้อ” ของตัวเอง ที่ส่วนใหญ่เป็นเก้งกวาง มาเป็นผู้ประกาศข่าว ซึ่งถ้ามองในฐานะ “เจ้านาย” ก็ถือว่า “ติ๋ม ทีวีพูล” เป็นผู้หยิบยื่นโอกาส และความก้าวหน้าให้กับลูกน้องในสังกัด ชนิดไม่แบ่งเพศ แบ่งวัย หากในเรื่องของความถูกต้อง เหมาะสมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องนำมาใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ ไม่ใช่ว่านักข่าว หรือพิธีกร ของ “ทีวีพูล” ไม่เก่ง แต่เก่งในหมวดของข่าวบันเทิง ขณะที่ความถนัด จัดเจนในการเล่าข่าวทั่วไป ที่ต้องเน้นเนื้อหาสาระนั้น ยังถือว่าห่างชั้น ยังไม่นับรวมถึงบุคลิกภาพ และความน่าเชื่อถือในฐานะของผู้ประกาศข่าว ที่ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามด้วย
และในที่สุด เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็เป็นวันสุดท้าย ที่ บ.โพสต์ฯ รับผิดชอบการผลิตข่าวทั่วไปให้กับช่องไทยทีวี ก่อนจะหยุดการส่งสัญญาณภาพไปยังช่องดังกล่าว นับเป็นการสิ้นสุดการทำงานร่วมกันฉันพันธมิตร ระหว่างช่องไทยทีวี ของ “ทีวีพูล” และ บ.โพสต์ฯ นับเนื่องจากบัดนั้น กลายเป็นประเด็นฮอต ที่คนทั้งวงการพากันวิพากษ์วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็ตอบคำถามกันไปคนละทิศ คนละทาง
ทางด้าน “ติ๋ม ทีวีพูล” บอกกล่าวถึงสาเหตุของการที่ต้องล้มเลิกการทำงานร่วมกันกลางคัน เป็นเพราะความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เป็นหลักใหญ่ เนื่องจากทีวีพูลต้องการผลิตข่าวเจาะตลาดทั่วไปเป็นหลัก อีกทั้งต้องการให้ข่าวที่ออกมามีความเป็นทีวีพูลมากที่สุด โดยถืออภิสิทธิ์ในฐานะของเจ้าของช่องเป็นสำคัญ
ขณะที่ทางฟากฝั่งของ บ.โพสต์ฯ ก็ระบุถึงสาเหตุหลักของการแตกหักในครั้งนี้ ว่าเกิดจากการที่ทางไทยทีวี ทำผิดข้อตกลง (เอ็มโอยู) ที่เดิมตกลงกันในลักษณะไทม์แชริ่ง (Time Sharing) แบ่งรายได้โดยไม่คิดค่าเช่าเวลา (Air Time) แต่ภายหลัง เมื่อพบว่าทาง บ. โพสต์ฯ มียอดรายได้จากการหาโฆษณาได้มากกว่า ทางไทยทีวีตัดสินใจเปลี่ยนข้อตกลงจากเดิม เป็นการให้เช่าเวลาแทน อีกทั้งยังได้ปรับลดรายการข่าววันเสาร์-อาทิตย์ เหลือเพียงแค่ข่าวในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ทาง บ.โพสต์ฯ รับไมได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทาง
บ. โพสต์ฯ กำลังเปิดห้องเจรจากับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลรายอื่น เพื่อร่วมผลิตรายการข่าวอย่างน้อย 3 ค่าย คือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, โมโนทีวี และ เวิร์คพอยท์ทีวี โดย คาดว่าจะมีข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของฝั่ง ไทยทีวีหรือ “ทีวีพูล”นั้น มีข่าวว่าแม่ทัพหญิง อย่าง “ติ๋ม ทีวีพูล” ถึงขนาดยอมเปิดห้องให้บรรดากระจอกข่าวได้สัมภาษณ์กันแบบเจาะลึกถึงข้อเท็จจริงกันเลยทีเดียว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการประสานงานเรื่องคิวอยู่ คืบหน้าอย่างไร จะนำมารายงานกันอีกครั้ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนในภาครายการบันเทิงอีก 50% ของทางไทยทีวีนั้น ยามนี้ก็ระดมเปิดกล้องละครเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็น “สาวน้อยคาเฟ่” ที่ได้ราชินีขาแดนซ์ “แคทรียา อิงลิช” มารับบทเดียวกับที่เคยสร้างชื่อให้ “จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค” เมื่อกาลก่อน รวมไปถึง “นางโชว์” ที่ได้ “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” ที่ครองตลาดละครเคเบิล มาห้ำหั่นกับ “คลาวเดีย จักรพันธ์”ที่ผันมาเล่นร้ายเป็นครั้งแรก
เรียกว่างานนี้ ช่องไทยทีวี ของ “ติ๋ม ทีวีพูล”ต้องสู้ศึกรอบทิศ ทั้งในส่วนของรายการข่าว ที่ต้องฟาดฟันกับช่องดิจิตอล ของช่อง 3 และช่อง 7 ขณะที่ละคร ก็ต้องแย่งชิงเรตติ้งกับช่อง 8 ของอาร์เอส. ที่ยกสถานะจากทีวีดาวเทียวมาเป็นทีวีดิจิตอล ยังไม่รวมถึงช่องแกรมมี่ ดิจิตอล ที่มีค่ายเอ็กแซ็กท์เป็นกำลังหลักในการผลิตละคร แถมแว่วมาว่าเตรียมโปรเจ็กต์ละครใหญ่ยักษ์ไว้รอถล่มคู่ต่อสู้ชนิดไม่ให้หายใจกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะการกลับมาของ“บัลลังก์เมฆ” การประชันบทบาทครั้งสำคัญของ “หนุ่ม-ศรราม เทพพิทักษ์”, “เต๋า-สมชาย เข็มกลัด” รวมถึง “อ้อม-พิยดา จุฑารัตนกุล” ในบท “ปานรุ้ง”
แต่เชื่อเหอะว่าแม่ทัพหญิงอย่าง “ติ๋ม ทีวีพูล” หรือ “พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย” สู้ไม่ถอยอยู่แล้ว
ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผู้หญิงตัวคนเดียวคนนี้ ถึงได้หาญกล้าที่จะกระโจนเข้าสู่สมรภูมิทีวีดิจิตอลที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด แถมยังการันตีได้ยากยิ่งว่าอนาคตนั้นจะมีสักกี่ช่องทีวี สักกี่รายการกัน ที่จะมีรายได้เหลือเป็นกำไรจากต้นทุนทั้งตัวเลขจากการประมูลและค่าโปรดักชัน ที่รวมกันแล้วไม่ใช่น้อยๆ
เป็นไปได้ว่าคำตอบนั้นอาจจะอยู่กันที่ “แรงใจ” ชั้นดี เพราะเป็นที่ทราบกันในแวดวงสื่อมวลชนว่าภายหลังจากการเลิกรากับอดีตสามี “ต้อย แอ็คเน่อร์” แล้ว “ติ๋ม ทีวีพูล” ได้อยู่กินเป็นภรรยาของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา หรือ บิ๊กกี่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และเป็นที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 42/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาอีกด้วยนั่นเอง
...
ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 244 วันที่ 7 มิถุนายน - 13 มิถุนายน 2557
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9570000063330
ด้วยแรงใจจากคนข้างหลัง? “ติ๋ม ทีวีพูล” ว่าที่เจ้าแม่ทีวีดิจิตอล (มีเรื่อง POST TV)
ชนิดที่ว่าทุกครั้งที่ “ทีวีพูล” จัดงาน ทั้งงานฉลองครบรอบ หรืองานประกาศผลรางวัลต่างๆ บุคคลทั่วทั้งวงการ จะพร้อมใจกันมาร่วมงานชนิดมืดฟ้ามัวดิน โดยไม่มีการแบ่งก๊ก แบ่งเหล่า แบ่งค่าย หรือแบ่งสังกัด หลายครั้งเราจึงมีโอกาสได้เห็นนักแสดงสังกัดช่อง 3 และช่อง 7 ร่วมอยู่ในโชว์เดียวกัน เรียกว่าใครก็ทำไม่ได้ ถ้าบารมีไม่ถึง
จากแวดวงนิตยสาร ทั้งทีวีพูล , Spicy , สตาร์นิวส์ กระโจนสู่วงการทีวี มีรายการทีวีพูล ไลฟ์ และทีวีพูล ทูไนท์ ที่ยึดหัวหาดทางช่อง 5 มานานปี จนถึงยุคทองของทีวีดาวเทียม ก็มีช่อง ทีวีพูล แชแนล ที่นำเสนอข่าวบันเทิงเป็นหลัก รวมถึงมิวสิก แชแนล ที่เน้นจับกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง
และในโมงยามที่คนบันเทิงหายใจเข้าหายใจออก เป็นทีวีดิจิตอล แม่ทัพหญิงอย่าง “ติ๋ม ทีวี พูล” ก็ไม่รั้งรอที่จะลงสนามสู้ศึกการประมูล กระทั่งได้เป็นเจ้าของสัมปทานทีวีดิจิตอลถึง 2 ช่อง ในนาม บริษัท ไทยทีวี จำกัด นั่นคือ ช่องข่าว THV (ทีเอชวี) และช่องเด็ก LOCA (โลก้า) โดยได้เริ่มทดลองออกอากาศในวันที่ 1 เมษายน และเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ทั้งนี้ ตั้งเป้ารายได้ทั้ง 2 ช่อง ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทในปีแรก และจะเป็นอันดับ 1 ภายใน 5 ปีนับจากนี้
โดยช่องเด็ก LOCA นั้น ดึงตัว “ภิญโญ รู้ธรรม” อดีตคีย์แมนคนสำคัญของค่ายเพลงย่านอโศกมาเป็นกำลังหลัก มุ่งหวังให้เป็นทีวีสีขาวแห่งแรกของประเทศไทย ชูจุดเด่นรายการที่ปราศจากอบายมุขและความรุนแรง เน้นรายการส่งเสริมสังคม และดูกันได้ทั้งครอบครัวเป็นหลัก ขณะที่ช่องข่าว THV (ทีเอชวี) นั้น ถูกแบ่งสัดส่วนเป็นรายการข่าว 50% และรายการบันเทิง , ละคร , วาไรตี้ทั่วไป 50% โดยใน 50 % ของรายการข่าวนั้น ก็ถูกจัดสรรออกเป็นข่าวบันเทิง 30 % และข่าวทั่วไป 20 %
ในภาคข่าวบันเทิงนั้น ไม่มีปัญหา เพราะทีมงานของ “ทีวีพูล” ล้วนเชี่ยวชาญทางนี้เป็นทุนเดิม อีกทั้งยังมีนักข่าว หลายคน ที่ถูกพัฒนามาเป็นพิธีกร และแจ้งเกิดมาตั้งแต่สมัยทำรายการทีวี แต่ในส่วนของข่าวทั่วไปนั้น ด้วยความที่ “ทีวีพูล” ไม่มีความสันทัดจัดเจน จึงต้องมองหาพันธมิตรมาร่วมผลิต โดยเบื้องต้นนั้น มอบหมายให้ บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) รับหน้าที่ดังกล่าวไป ซึ่งก็ถือเป็นการผนวกจุดแข็งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เมื่อตกปากรับคำเข้ามาเป็นผู้ผลิตรายการข่าวให้กับช่องไทยทีวีแล้ว ทาง บ.โพสต์ฯ ได้ยกเลิกผลิตรายการข่าวในช่องต่างๆ ออกไปจนหมด ไม่ว่าจะเป็นทางช่อง 11 หรือช่อง 5 โดยวาดหวังว่าจะมีการต่อยอดความร่วมมือกันมากขึ้น และมองไกลไปถึงการที่ บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) จะเข้าไปร่วมถือหุ้นในไทยทีวีในอนาคตด้วย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่นั่นเป็นเพียงการวาดวิมานกลางอากาศในก้าวแรก หากเมื่อมีการลงมือทำกันจริงๆ ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตข่าวทั่วไป ทาง บ.โพสต์ฯ กลับตกอยู่ในสภาพหวานอม ขมกลืน เมื่อเจ้าของสัมปทานช่อง มีดำริที่จะให้บรรดา “ลูกหม้อ” ของตัวเอง ที่ส่วนใหญ่เป็นเก้งกวาง มาเป็นผู้ประกาศข่าว ซึ่งถ้ามองในฐานะ “เจ้านาย” ก็ถือว่า “ติ๋ม ทีวีพูล” เป็นผู้หยิบยื่นโอกาส และความก้าวหน้าให้กับลูกน้องในสังกัด ชนิดไม่แบ่งเพศ แบ่งวัย หากในเรื่องของความถูกต้อง เหมาะสมนั้น เป็นเรื่องที่ต้องนำมาใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ ไม่ใช่ว่านักข่าว หรือพิธีกร ของ “ทีวีพูล” ไม่เก่ง แต่เก่งในหมวดของข่าวบันเทิง ขณะที่ความถนัด จัดเจนในการเล่าข่าวทั่วไป ที่ต้องเน้นเนื้อหาสาระนั้น ยังถือว่าห่างชั้น ยังไม่นับรวมถึงบุคลิกภาพ และความน่าเชื่อถือในฐานะของผู้ประกาศข่าว ที่ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามด้วย
และในที่สุด เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก็เป็นวันสุดท้าย ที่ บ.โพสต์ฯ รับผิดชอบการผลิตข่าวทั่วไปให้กับช่องไทยทีวี ก่อนจะหยุดการส่งสัญญาณภาพไปยังช่องดังกล่าว นับเป็นการสิ้นสุดการทำงานร่วมกันฉันพันธมิตร ระหว่างช่องไทยทีวี ของ “ทีวีพูล” และ บ.โพสต์ฯ นับเนื่องจากบัดนั้น กลายเป็นประเด็นฮอต ที่คนทั้งวงการพากันวิพากษ์วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริง ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็ตอบคำถามกันไปคนละทิศ คนละทาง
ทางด้าน “ติ๋ม ทีวีพูล” บอกกล่าวถึงสาเหตุของการที่ต้องล้มเลิกการทำงานร่วมกันกลางคัน เป็นเพราะความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เป็นหลักใหญ่ เนื่องจากทีวีพูลต้องการผลิตข่าวเจาะตลาดทั่วไปเป็นหลัก อีกทั้งต้องการให้ข่าวที่ออกมามีความเป็นทีวีพูลมากที่สุด โดยถืออภิสิทธิ์ในฐานะของเจ้าของช่องเป็นสำคัญ
ขณะที่ทางฟากฝั่งของ บ.โพสต์ฯ ก็ระบุถึงสาเหตุหลักของการแตกหักในครั้งนี้ ว่าเกิดจากการที่ทางไทยทีวี ทำผิดข้อตกลง (เอ็มโอยู) ที่เดิมตกลงกันในลักษณะไทม์แชริ่ง (Time Sharing) แบ่งรายได้โดยไม่คิดค่าเช่าเวลา (Air Time) แต่ภายหลัง เมื่อพบว่าทาง บ. โพสต์ฯ มียอดรายได้จากการหาโฆษณาได้มากกว่า ทางไทยทีวีตัดสินใจเปลี่ยนข้อตกลงจากเดิม เป็นการให้เช่าเวลาแทน อีกทั้งยังได้ปรับลดรายการข่าววันเสาร์-อาทิตย์ เหลือเพียงแค่ข่าวในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ทาง บ.โพสต์ฯ รับไมได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทาง บ. โพสต์ฯ กำลังเปิดห้องเจรจากับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลรายอื่น เพื่อร่วมผลิตรายการข่าวอย่างน้อย 3 ค่าย คือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, โมโนทีวี และ เวิร์คพอยท์ทีวี โดย คาดว่าจะมีข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวของฝั่ง ไทยทีวีหรือ “ทีวีพูล”นั้น มีข่าวว่าแม่ทัพหญิง อย่าง “ติ๋ม ทีวีพูล” ถึงขนาดยอมเปิดห้องให้บรรดากระจอกข่าวได้สัมภาษณ์กันแบบเจาะลึกถึงข้อเท็จจริงกันเลยทีเดียว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการประสานงานเรื่องคิวอยู่ คืบหน้าอย่างไร จะนำมารายงานกันอีกครั้ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนในภาครายการบันเทิงอีก 50% ของทางไทยทีวีนั้น ยามนี้ก็ระดมเปิดกล้องละครเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็น “สาวน้อยคาเฟ่” ที่ได้ราชินีขาแดนซ์ “แคทรียา อิงลิช” มารับบทเดียวกับที่เคยสร้างชื่อให้ “จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค” เมื่อกาลก่อน รวมไปถึง “นางโชว์” ที่ได้ “พิ้งกี้-สาวิกา ไชยเดช” ที่ครองตลาดละครเคเบิล มาห้ำหั่นกับ “คลาวเดีย จักรพันธ์”ที่ผันมาเล่นร้ายเป็นครั้งแรก
เรียกว่างานนี้ ช่องไทยทีวี ของ “ติ๋ม ทีวีพูล”ต้องสู้ศึกรอบทิศ ทั้งในส่วนของรายการข่าว ที่ต้องฟาดฟันกับช่องดิจิตอล ของช่อง 3 และช่อง 7 ขณะที่ละคร ก็ต้องแย่งชิงเรตติ้งกับช่อง 8 ของอาร์เอส. ที่ยกสถานะจากทีวีดาวเทียวมาเป็นทีวีดิจิตอล ยังไม่รวมถึงช่องแกรมมี่ ดิจิตอล ที่มีค่ายเอ็กแซ็กท์เป็นกำลังหลักในการผลิตละคร แถมแว่วมาว่าเตรียมโปรเจ็กต์ละครใหญ่ยักษ์ไว้รอถล่มคู่ต่อสู้ชนิดไม่ให้หายใจกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะการกลับมาของ“บัลลังก์เมฆ” การประชันบทบาทครั้งสำคัญของ “หนุ่ม-ศรราม เทพพิทักษ์”, “เต๋า-สมชาย เข็มกลัด” รวมถึง “อ้อม-พิยดา จุฑารัตนกุล” ในบท “ปานรุ้ง”
แต่เชื่อเหอะว่าแม่ทัพหญิงอย่าง “ติ๋ม ทีวีพูล” หรือ “พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย” สู้ไม่ถอยอยู่แล้ว
ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผู้หญิงตัวคนเดียวคนนี้ ถึงได้หาญกล้าที่จะกระโจนเข้าสู่สมรภูมิทีวีดิจิตอลที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด แถมยังการันตีได้ยากยิ่งว่าอนาคตนั้นจะมีสักกี่ช่องทีวี สักกี่รายการกัน ที่จะมีรายได้เหลือเป็นกำไรจากต้นทุนทั้งตัวเลขจากการประมูลและค่าโปรดักชัน ที่รวมกันแล้วไม่ใช่น้อยๆ
เป็นไปได้ว่าคำตอบนั้นอาจจะอยู่กันที่ “แรงใจ” ชั้นดี เพราะเป็นที่ทราบกันในแวดวงสื่อมวลชนว่าภายหลังจากการเลิกรากับอดีตสามี “ต้อย แอ็คเน่อร์” แล้ว “ติ๋ม ทีวีพูล” ได้อยู่กินเป็นภรรยาของ พล.อ.นพดล อินทปัญญา หรือ บิ๊กกี่ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก และเป็นที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 42/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาอีกด้วยนั่นเอง
...
ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 244 วันที่ 7 มิถุนายน - 13 มิถุนายน 2557
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9570000063330