คำต่อคำ 'เจ๊ติ๋ม' เปิดใจถึงเวลา 'ทีวีพูล' ม้วนเสื่อกลับบ้านหรือยัง?
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 มี.ค. 2559 09:30
เคยอยู่ในยุคที่รุ่งเรือง แต่ในวันนี้ที่ช่องทีวีดิจิตอลต้องปิดตัว พร้อมมีคดีฟ้องร้อง ทำนิตยสารต้องสั่นคลอน "ติ๋ม ทีวีพูล" เจ้าแม่วงการสื่อบันเทิง เตรียมวางแผนรับมืออย่างไร จะหยุดอยู่แค่นี้หรือไปต่อ ไปคุยกับเธอในรายงานพิเศษ
เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล หรือ ติ๋ม พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย เจ้าแม่วงการสื่อที่ถือเป็นรุ่นแรกๆ ที่บุกเบิกตลาดนิตยสารบันเทิง เพราะความแปลกใหม่ในยุคนั้น จึงทำให้ทีวีพูลกลายเป็นนิตยสารบันเทิงที่ติดตลาดของคนไทย หลังการเติบโตของ ทีวีพูล ส่งผลให้มีนิตยสารบันเทิงทยอยเปิดตัว ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด ตามแผงหนังสือมีแต่นิตยสารบันเทิงวางเต็มแผง ยุคเมื่อ 10-15 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นยุคทองของวงการนิตยสารบันเทิง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความทันสมัยของเทคโนโลยีเริ่มก้าวหน้ามากขึ้น อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาท ทำให้ผู้คนหันมาเสพข่าวสารผ่านโลกโซเชียล ด้วยความฉับไว อยากอ่านอะไรก็เพียงใช้นิ้วจิ้มที่หน้าจอมือถือก็สามารถอัพเดตข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว และด้วยธรรมชาติของ "ข่าวบันเทิง" ไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้อง "จ่ายเงิน" เพื่อเสพ ข่าวบันเทิงในนิตยสารบันเทิงจึงถูกตีแตกโดยข่าวบันเทิงออนไลน์เพราะ "อ่านได้ อ่านดี อ่านฟรี ไม่เสียตังค์"
เมื่อผู้อ่านเริ่มลดความนิยมที่จะเสพข่าวบันเทิงจากหนังสือ เป็นเหตุให้นิตยสารบันเทิงหลายๆ หัวเริ่มทยอยปิดตัว เหลือนิตยสารบันเทิงบนแผงเพียงไม่กี่เล่มให้เลือกอ่าน
ตลาดหนังสือเงียบเหงา เจ้าแม่ธุรกิจสื่อใหญ่อย่าง เจ๊ติ๋ม เลยมองการณ์ไกล เพราะเคยมีประสบการณ์จากการทำงานด้านบันเทิงทางหน้าจอมาบ้าง หันมาลุยทีวีดิจิตอลเพื่อเป็นอีก 1 ช่องทางให้ผู้บริโภค หากทำสำเร็จก็จะมีสื่อในมือครบทั้ง สิ่งพิมพ์ และ ทีวี แต่สุดท้ายการหันมาทำธุรกิจทีวีดิจิตอลของเจ๊ติ๋ม กลับขาดทุนจนต้องถอนตัวออกจากการทำทีวี พร้อมทั้งมีคดีการฟ้องร้องพ่วงติดตัวมาด้วย บวกกับกระแสข่าวลือหนาหูว่า เจ้าแม่วงการสื่อบันเทิงกำลังจะล้มละลาย ส่งผลทำให้ธุรกิจด้านสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่ในมือต้องสั่นคลอนตามไปด้วย
เพราะกระแสข่าวลือนี้ รายงานพิเศษโดยบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ จึงต้องนั่งพูดคุยกับเจ้าแม่วงการสื่ออย่าง ติ๋ม ทีวีพูล ผู้คร่ำหวอดผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่า 30 ปี ว่าในวันนี้ "นิตยสารบันเทิง" จะต้องถึงตอนอวสานแล้วหรือ และ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล จะกลายเป็นแค่อดีตเจ้าแม่วงการสื่อที่เคยยิ่งใหญ่ จริงหรือไม่...
ในสายตาเจ้าแม่สื่อบันเทิง มองวงการบันเทิงไทยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป?
"วงการบันเทิงไทยก็ยังไปได้นะคะ ดาราได้เงินค่าอีเวนต์มากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ค่าตัวของดาราเบอร์ 1 ทั้งหลาย ค่าตัวออกอีเวนต์ 250,000 ถึง 350,000 แล้ว ขนาดที่ยืนโชว์ตัวแค่ 1 ชั่วโมง ก็สามารถทำรายได้ 250,000 ถึง 350,000 แล้ว ดูเป็นธุรกิจมากขึ้น เพราะทุกคนมีผู้จัดการหมด ตอนนี้ไม่มีหรอกที่แม่เป็นผู้จัดการ หมดยุคแม่แล้ว (หัวเราะ) วงการบันเทิงไม่ได้ซบเซาค่ะ"
สื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร ทยอยปิดกันไป ทีวีพูลจะยังอยู่ต่อไปใช่หรือไม่?
"ทีวีพูลไม่มีปิดค่ะ หนังสือของเราราคาถูกแค่ 25 บาทเอง อันนี้เป็นข้อดี มันอาจจะถูกกว่าน้ำแก้วนึง จึงตัดสินใจที่จะซื้อง่ายหน่อย อย่างน้อยมันก็ยังมีฟีลลิ่งของการได้สัมผัสอยู่ ทีวีพูลจะผลิตและอยู่ต่อไป ไม่มีคำว่าจะปิดค่ะ ยืนยันว่าทีวีพูลจะยังอยู่เป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิงแน่นอน ไม่มีวันปิด ตอนนี้จะบอกว่าแบรนด์ทีวีพูลของเราจะแข็งแรงและเติบโตต่อไป เพราะลูกๆ ถูกปลูกฝังให้รักในทีวีพูล เค้าจะต้องทุ่มเทให้ทีวีพูลเป็นอันดับ 1 และทุกคนก็เข้ามาช่วย ตอนนี้ขอเวลาให้ลูกๆ ได้ศึกษาเรียนรู้งาน คงไม่น่าจะเกิน 2 ปี ทีวีพูลจะเปลี่ยนไป จะทันสมัยมากขึ้น จะไม่ใช่คนแก่ๆ 60 ปีอย่างเราดูแล เพราะเตรียมจะวางมือแล้ว คนจะสานต่อคือลูกๆ ขอเวลาให้เค้า 2 ปี ทีวีพูลยังเป็นหัวใจของเรา ยังไงก็ยอมให้ล่มสลาย"
เห็นว่า ทีวีพูล เตรียมรุกตลาดออนไลน์มากขึ้น?
"บอกตามตรง การทำหนังสือตอนนี้ก็ลำบาก ตอนนี้การทำวิทยุก็ลำบากขึ้น ดาวเทียมก็ลำบากในอนาคตข้างหน้า เพราะว่าอีกหน่อยคนจะดูทุกอย่างผ่านอินเทอร์เน็ตกันหมด ถึงทำให้พี่หันมารุกตลาดโซเชียลหนักเลย และการทำโซเชียลทุนไม่หนักเลย แต่ต้องใช้สมอง บางเว็บนะ มีคนทำงานคนเดียวคือเจ้าของ ยังสามารถดังได้เลย เพราะว่าเค้าดึงข่าวจากทุกคนมารวมในโซเชียลเค้า ต้องจับทางให้ถูกว่าเด็กสมัยนี้เค้าต้องการอะไร ต้องหยิบและสร้างประเด็นเก่ง"
เจ๊ติ๋ม ประกาศ ทีวีพูลต้องอยู่คู่วงการบันเทิงไทย
เพราะเป็นเจ้าแม่สื่อสิ่งพิมพ์ พอมาจับตลาดทีวีดิจิตอล คนมองว่าไม่ใช่งานถนัดเลยทำให้ไม่รอดต้องปิดสถานีไป รู้สึกอย่างไร?
"มันไม่ต่างกันนะคะ มันเหมือนกันค่ะ สื่อดิจิตอลก็เหมือนสื่อทีวีธรรมดานี่แหละค่ะ และไม่ใช่เราคนเดียวที่มาจากสิ่งพิมพ์แล้วมาจับ หลายๆ คนก็ทำหนังสือมาแล้วเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็เคยทำทีวีมาแล้ว 30 กว่าปีที่ช่อง 5 ก่อนที่ JSL จะเข้ามาทำเป็นเรื่องเป็นราว เราทำมาก่อนเค้าอีก รายการที่เคยทำก็เยอะแยะเลย ช่อง 5 วาไรตี้ ตั้งแต่ เศรษฐา เป็นพิธีกร ตั้งแต่มยุรายังไม่เป็นพิธีกรชิงร้อยชิงล้านเลย ทำมาตั้งแต่ยุคนั้นเลย
และช่องอื่นๆ ก็ยังไม่ใช่คนในวงการ สื่อทีวีก็ไปดึงคนในวงการที่เติบโตจากช่องอื่นมาทำ จริงๆ คนทำเรามีเงินจ้างคนมาได้เราสามารถทำทีวีต่อได้ แต่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องก็เลยเลือกที่จะหยุด ณ ตอนนี้ดีกว่า ดื้อต่อไปก็มีแต่จะขาดทุน หมดตัว จากที่ไม่ล้มละลาย จะล้มละลายเลย (หัวเราะ)"
ต้องมาเสียชื่อเสียง และเสียเงินไปกับการทำทีวีดิจิตอล?
"เสียดายมาก ถ้ารู้อย่างนี้ไม่เอาหรอก ใครทุกคนก็เสียดาย เงินไม่ได้หามาง่ายๆ พี่รู้สึกว่าเราหาเรื่องมากเลย เราเคยฝัน เราเคยเช่าคนอื่นทำ แต่ก่อนที่เช่าเวลาเขาปีนี้ได้ทำ ปีหน้าไม่รู้จะได้ทำรึเปล่า ทุกปีจะต้องตื่นเต้นว่าจะได้ต่อสัญญารึเปล่า พอมาวันนี้เราคิดว่ามันจะต้องมีสถานีตัวเอง เงินที่ได้มาก็ได้มาจากวงการบันเทิง จะเก็บเอาไว้ไปเที่ยวรอบโลก 3 รอบ มันก็คงไม่แฟร์ ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ก็เอาเงินที่ได้จากวงการบันเทิงมาลงทุนทำรายการบันเทิงให้คนดูดีกว่า พี่ก็เลยตัดสินใจขนเงินมาทำ มันเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของพี่"
ซ้าย: ฮ่องเต้ ขวา: โชกุน ลูกชายที่จะมาสานต่อธุรกิจของเจ๊ติ๋ม
โชกุน ลูกชายคนโตของ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล
ฮ่องเต้ ลูกชายคนเล็กของ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล
มีข่าวล้มละลายถาโถมเข้ามาในชีวิต และจะโดนคดีฟ้องร้อง ณ วันนี้ตั้งมือรับกับปัญหาอย่างไร?
"หลายๆ คนพอได้ยินข่าวว่าจะโดนยึด ล้มละลาย หลายคนคิดว่าเราจะไปกระโดดตึกตาย หรือว่ากินยาตาย แต่ด้วยความที่เรามีสติ คนเราคิดซะว่าเกิดมาไม่ได้มีอะไร ที่วันนี้เรามีตรงนี้แล้ว วันหนึ่งมันจะเกิดพลิกล็อกก็ต้องยอมรับ คือพี่เป็นคนเชื่อเรื่องเวรกรรม ก็คิดซะว่ามันเป็นกรรมที่เราเคยทำกับเขาไว้เมื่อชาติก่อนๆ"
มองว่าสิ่งที่เกิดในครั้งนี้เป็นคราวเคราะห์มั้ย?
"ใช่ คิดว่าเป็นอย่างนั้น 2 ปีที่ผ่านมาคิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรตามมาอย่างรุนแรง คิดว่าหลังจากนี้ไม่มีแล้วค่ะ เพราะคิดว่าอันนี้เป็นฉากสุดท้ายแล้วของการต่อสู้ เรื่องคดีก็ว่ากันไป เราอย่าไปทุกข์กับมัน เหมือนเราทำร้ายตัวเอง อย่าไปคิดถึงมัน มีอะไรก็ทำ ก็ช่วยสอนงานลูก ช่วยบริหารกิจการที่เขาใหญ่ ก็สอนลูกว่าทำธุรกิจไม่ยาก แค่ดู 2 ช่อง รายได้กับรายจ่าย ก็ต้องพยายามดูให้รายได้มันมากที่สุด แต่ถ้ารายได้มันไปไม่ได้ ก็ดูช่องรายจ่าย ทำอย่างไรที่จะลดรายจ่ายเพื่อให้ได้กำไร (ยิ้ม)"
หลังจากวางมือให้วงการ จะไปทำอะไร?
"ก็จะเดินสายสอนหนังสือ สอนเรื่องการตลาด และจะเอาธรรมะเข้าสอดแทรก เพราะถ้าสอนธรรมะอย่างเดียว นักศึกษาคงไม่อยากฟัง และก็ไปบรรยายตามบริษัทใหญ่ๆ ทั้งหลาย ที่เชิญไปก็จะไปฟรี ใครให้สตางค์มาก็จะเข้ากองทุนมูลนิธิ เพราะมีหอสวดมนต์ที่ลำปาง และมีโรงเจทานด้วย"
บางครั้งบาดแผลใหญ่ในชีวิตก็ไม่ได้สร้างแค่ความเจ็บปวด แต่มันกลับสร้างประสบการณ์ที่กล้าแกร่ง "คนเราคิดซะว่าเกิดมาไม่ได้มีอะไร ที่วันนี้เรามีตรงนี้แล้ว วันหนึ่งมันจะเกิดพลิกล็อกก็ต้องยอมรับ" คำพูดนี้ของ "ติ๋ม ทีวีพูล" บ่งบอกได้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมามากมาย มรสุมลูกนี้อาจพัดให้เธอเซ แต่ไม่ได้พัดให้เธอพัง
ต้องจับตาดูว่าหญิงเหล็กคนนี้จะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งไหม หรือที่สุดแล้วเธอจะกลับไปยังจุดเริ่มต้น เริ่มต้น "สู้" ใหม่อีกครั้ง ทำให้ชื่อ "ทีวีพูล" กลับมามี "อิทธิพล" กับดาราเหมือนเดิม.
เจ๊ติ๋มเปิดตัวสองลูกชายหล่อเวอร์ ยันไม่ปิด "ทีวีพูล" เตรียมให้ลูกรันต่อ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 มี.ค. 2559 09:30
เคยอยู่ในยุคที่รุ่งเรือง แต่ในวันนี้ที่ช่องทีวีดิจิตอลต้องปิดตัว พร้อมมีคดีฟ้องร้อง ทำนิตยสารต้องสั่นคลอน "ติ๋ม ทีวีพูล" เจ้าแม่วงการสื่อบันเทิง เตรียมวางแผนรับมืออย่างไร จะหยุดอยู่แค่นี้หรือไปต่อ ไปคุยกับเธอในรายงานพิเศษ
เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล หรือ ติ๋ม พันธุ์ทิพา ศกุณต์ไชย เจ้าแม่วงการสื่อที่ถือเป็นรุ่นแรกๆ ที่บุกเบิกตลาดนิตยสารบันเทิง เพราะความแปลกใหม่ในยุคนั้น จึงทำให้ทีวีพูลกลายเป็นนิตยสารบันเทิงที่ติดตลาดของคนไทย หลังการเติบโตของ ทีวีพูล ส่งผลให้มีนิตยสารบันเทิงทยอยเปิดตัว ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด ตามแผงหนังสือมีแต่นิตยสารบันเทิงวางเต็มแผง ยุคเมื่อ 10-15 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นยุคทองของวงการนิตยสารบันเทิง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความทันสมัยของเทคโนโลยีเริ่มก้าวหน้ามากขึ้น อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาท ทำให้ผู้คนหันมาเสพข่าวสารผ่านโลกโซเชียล ด้วยความฉับไว อยากอ่านอะไรก็เพียงใช้นิ้วจิ้มที่หน้าจอมือถือก็สามารถอัพเดตข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว และด้วยธรรมชาติของ "ข่าวบันเทิง" ไม่มีเหตุผลจำเป็นที่จะต้อง "จ่ายเงิน" เพื่อเสพ ข่าวบันเทิงในนิตยสารบันเทิงจึงถูกตีแตกโดยข่าวบันเทิงออนไลน์เพราะ "อ่านได้ อ่านดี อ่านฟรี ไม่เสียตังค์"
เมื่อผู้อ่านเริ่มลดความนิยมที่จะเสพข่าวบันเทิงจากหนังสือ เป็นเหตุให้นิตยสารบันเทิงหลายๆ หัวเริ่มทยอยปิดตัว เหลือนิตยสารบันเทิงบนแผงเพียงไม่กี่เล่มให้เลือกอ่าน
ตลาดหนังสือเงียบเหงา เจ้าแม่ธุรกิจสื่อใหญ่อย่าง เจ๊ติ๋ม เลยมองการณ์ไกล เพราะเคยมีประสบการณ์จากการทำงานด้านบันเทิงทางหน้าจอมาบ้าง หันมาลุยทีวีดิจิตอลเพื่อเป็นอีก 1 ช่องทางให้ผู้บริโภค หากทำสำเร็จก็จะมีสื่อในมือครบทั้ง สิ่งพิมพ์ และ ทีวี แต่สุดท้ายการหันมาทำธุรกิจทีวีดิจิตอลของเจ๊ติ๋ม กลับขาดทุนจนต้องถอนตัวออกจากการทำทีวี พร้อมทั้งมีคดีการฟ้องร้องพ่วงติดตัวมาด้วย บวกกับกระแสข่าวลือหนาหูว่า เจ้าแม่วงการสื่อบันเทิงกำลังจะล้มละลาย ส่งผลทำให้ธุรกิจด้านสิ่งพิมพ์ที่มีอยู่ในมือต้องสั่นคลอนตามไปด้วย
เพราะกระแสข่าวลือนี้ รายงานพิเศษโดยบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ จึงต้องนั่งพูดคุยกับเจ้าแม่วงการสื่ออย่าง ติ๋ม ทีวีพูล ผู้คร่ำหวอดผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่า 30 ปี ว่าในวันนี้ "นิตยสารบันเทิง" จะต้องถึงตอนอวสานแล้วหรือ และ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล จะกลายเป็นแค่อดีตเจ้าแม่วงการสื่อที่เคยยิ่งใหญ่ จริงหรือไม่...
ในสายตาเจ้าแม่สื่อบันเทิง มองวงการบันเทิงไทยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป?
"วงการบันเทิงไทยก็ยังไปได้นะคะ ดาราได้เงินค่าอีเวนต์มากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ค่าตัวของดาราเบอร์ 1 ทั้งหลาย ค่าตัวออกอีเวนต์ 250,000 ถึง 350,000 แล้ว ขนาดที่ยืนโชว์ตัวแค่ 1 ชั่วโมง ก็สามารถทำรายได้ 250,000 ถึง 350,000 แล้ว ดูเป็นธุรกิจมากขึ้น เพราะทุกคนมีผู้จัดการหมด ตอนนี้ไม่มีหรอกที่แม่เป็นผู้จัดการ หมดยุคแม่แล้ว (หัวเราะ) วงการบันเทิงไม่ได้ซบเซาค่ะ"
สื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร ทยอยปิดกันไป ทีวีพูลจะยังอยู่ต่อไปใช่หรือไม่?
"ทีวีพูลไม่มีปิดค่ะ หนังสือของเราราคาถูกแค่ 25 บาทเอง อันนี้เป็นข้อดี มันอาจจะถูกกว่าน้ำแก้วนึง จึงตัดสินใจที่จะซื้อง่ายหน่อย อย่างน้อยมันก็ยังมีฟีลลิ่งของการได้สัมผัสอยู่ ทีวีพูลจะผลิตและอยู่ต่อไป ไม่มีคำว่าจะปิดค่ะ ยืนยันว่าทีวีพูลจะยังอยู่เป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิงแน่นอน ไม่มีวันปิด ตอนนี้จะบอกว่าแบรนด์ทีวีพูลของเราจะแข็งแรงและเติบโตต่อไป เพราะลูกๆ ถูกปลูกฝังให้รักในทีวีพูล เค้าจะต้องทุ่มเทให้ทีวีพูลเป็นอันดับ 1 และทุกคนก็เข้ามาช่วย ตอนนี้ขอเวลาให้ลูกๆ ได้ศึกษาเรียนรู้งาน คงไม่น่าจะเกิน 2 ปี ทีวีพูลจะเปลี่ยนไป จะทันสมัยมากขึ้น จะไม่ใช่คนแก่ๆ 60 ปีอย่างเราดูแล เพราะเตรียมจะวางมือแล้ว คนจะสานต่อคือลูกๆ ขอเวลาให้เค้า 2 ปี ทีวีพูลยังเป็นหัวใจของเรา ยังไงก็ยอมให้ล่มสลาย"
เห็นว่า ทีวีพูล เตรียมรุกตลาดออนไลน์มากขึ้น?
"บอกตามตรง การทำหนังสือตอนนี้ก็ลำบาก ตอนนี้การทำวิทยุก็ลำบากขึ้น ดาวเทียมก็ลำบากในอนาคตข้างหน้า เพราะว่าอีกหน่อยคนจะดูทุกอย่างผ่านอินเทอร์เน็ตกันหมด ถึงทำให้พี่หันมารุกตลาดโซเชียลหนักเลย และการทำโซเชียลทุนไม่หนักเลย แต่ต้องใช้สมอง บางเว็บนะ มีคนทำงานคนเดียวคือเจ้าของ ยังสามารถดังได้เลย เพราะว่าเค้าดึงข่าวจากทุกคนมารวมในโซเชียลเค้า ต้องจับทางให้ถูกว่าเด็กสมัยนี้เค้าต้องการอะไร ต้องหยิบและสร้างประเด็นเก่ง"
เจ๊ติ๋ม ประกาศ ทีวีพูลต้องอยู่คู่วงการบันเทิงไทย
เพราะเป็นเจ้าแม่สื่อสิ่งพิมพ์ พอมาจับตลาดทีวีดิจิตอล คนมองว่าไม่ใช่งานถนัดเลยทำให้ไม่รอดต้องปิดสถานีไป รู้สึกอย่างไร?
"มันไม่ต่างกันนะคะ มันเหมือนกันค่ะ สื่อดิจิตอลก็เหมือนสื่อทีวีธรรมดานี่แหละค่ะ และไม่ใช่เราคนเดียวที่มาจากสิ่งพิมพ์แล้วมาจับ หลายๆ คนก็ทำหนังสือมาแล้วเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็เคยทำทีวีมาแล้ว 30 กว่าปีที่ช่อง 5 ก่อนที่ JSL จะเข้ามาทำเป็นเรื่องเป็นราว เราทำมาก่อนเค้าอีก รายการที่เคยทำก็เยอะแยะเลย ช่อง 5 วาไรตี้ ตั้งแต่ เศรษฐา เป็นพิธีกร ตั้งแต่มยุรายังไม่เป็นพิธีกรชิงร้อยชิงล้านเลย ทำมาตั้งแต่ยุคนั้นเลย
และช่องอื่นๆ ก็ยังไม่ใช่คนในวงการ สื่อทีวีก็ไปดึงคนในวงการที่เติบโตจากช่องอื่นมาทำ จริงๆ คนทำเรามีเงินจ้างคนมาได้เราสามารถทำทีวีต่อได้ แต่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องก็เลยเลือกที่จะหยุด ณ ตอนนี้ดีกว่า ดื้อต่อไปก็มีแต่จะขาดทุน หมดตัว จากที่ไม่ล้มละลาย จะล้มละลายเลย (หัวเราะ)"
ต้องมาเสียชื่อเสียง และเสียเงินไปกับการทำทีวีดิจิตอล?
"เสียดายมาก ถ้ารู้อย่างนี้ไม่เอาหรอก ใครทุกคนก็เสียดาย เงินไม่ได้หามาง่ายๆ พี่รู้สึกว่าเราหาเรื่องมากเลย เราเคยฝัน เราเคยเช่าคนอื่นทำ แต่ก่อนที่เช่าเวลาเขาปีนี้ได้ทำ ปีหน้าไม่รู้จะได้ทำรึเปล่า ทุกปีจะต้องตื่นเต้นว่าจะได้ต่อสัญญารึเปล่า พอมาวันนี้เราคิดว่ามันจะต้องมีสถานีตัวเอง เงินที่ได้มาก็ได้มาจากวงการบันเทิง จะเก็บเอาไว้ไปเที่ยวรอบโลก 3 รอบ มันก็คงไม่แฟร์ ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ก็เอาเงินที่ได้จากวงการบันเทิงมาลงทุนทำรายการบันเทิงให้คนดูดีกว่า พี่ก็เลยตัดสินใจขนเงินมาทำ มันเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของพี่"
ซ้าย: ฮ่องเต้ ขวา: โชกุน ลูกชายที่จะมาสานต่อธุรกิจของเจ๊ติ๋ม
โชกุน ลูกชายคนโตของ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล
ฮ่องเต้ ลูกชายคนเล็กของ เจ๊ติ๋ม ทีวีพูล
มีข่าวล้มละลายถาโถมเข้ามาในชีวิต และจะโดนคดีฟ้องร้อง ณ วันนี้ตั้งมือรับกับปัญหาอย่างไร?
"หลายๆ คนพอได้ยินข่าวว่าจะโดนยึด ล้มละลาย หลายคนคิดว่าเราจะไปกระโดดตึกตาย หรือว่ากินยาตาย แต่ด้วยความที่เรามีสติ คนเราคิดซะว่าเกิดมาไม่ได้มีอะไร ที่วันนี้เรามีตรงนี้แล้ว วันหนึ่งมันจะเกิดพลิกล็อกก็ต้องยอมรับ คือพี่เป็นคนเชื่อเรื่องเวรกรรม ก็คิดซะว่ามันเป็นกรรมที่เราเคยทำกับเขาไว้เมื่อชาติก่อนๆ"
มองว่าสิ่งที่เกิดในครั้งนี้เป็นคราวเคราะห์มั้ย?
"ใช่ คิดว่าเป็นอย่างนั้น 2 ปีที่ผ่านมาคิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรตามมาอย่างรุนแรง คิดว่าหลังจากนี้ไม่มีแล้วค่ะ เพราะคิดว่าอันนี้เป็นฉากสุดท้ายแล้วของการต่อสู้ เรื่องคดีก็ว่ากันไป เราอย่าไปทุกข์กับมัน เหมือนเราทำร้ายตัวเอง อย่าไปคิดถึงมัน มีอะไรก็ทำ ก็ช่วยสอนงานลูก ช่วยบริหารกิจการที่เขาใหญ่ ก็สอนลูกว่าทำธุรกิจไม่ยาก แค่ดู 2 ช่อง รายได้กับรายจ่าย ก็ต้องพยายามดูให้รายได้มันมากที่สุด แต่ถ้ารายได้มันไปไม่ได้ ก็ดูช่องรายจ่าย ทำอย่างไรที่จะลดรายจ่ายเพื่อให้ได้กำไร (ยิ้ม)"
หลังจากวางมือให้วงการ จะไปทำอะไร?
"ก็จะเดินสายสอนหนังสือ สอนเรื่องการตลาด และจะเอาธรรมะเข้าสอดแทรก เพราะถ้าสอนธรรมะอย่างเดียว นักศึกษาคงไม่อยากฟัง และก็ไปบรรยายตามบริษัทใหญ่ๆ ทั้งหลาย ที่เชิญไปก็จะไปฟรี ใครให้สตางค์มาก็จะเข้ากองทุนมูลนิธิ เพราะมีหอสวดมนต์ที่ลำปาง และมีโรงเจทานด้วย"
บางครั้งบาดแผลใหญ่ในชีวิตก็ไม่ได้สร้างแค่ความเจ็บปวด แต่มันกลับสร้างประสบการณ์ที่กล้าแกร่ง "คนเราคิดซะว่าเกิดมาไม่ได้มีอะไร ที่วันนี้เรามีตรงนี้แล้ว วันหนึ่งมันจะเกิดพลิกล็อกก็ต้องยอมรับ" คำพูดนี้ของ "ติ๋ม ทีวีพูล" บ่งบอกได้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมามากมาย มรสุมลูกนี้อาจพัดให้เธอเซ แต่ไม่ได้พัดให้เธอพัง
ต้องจับตาดูว่าหญิงเหล็กคนนี้จะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งไหม หรือที่สุดแล้วเธอจะกลับไปยังจุดเริ่มต้น เริ่มต้น "สู้" ใหม่อีกครั้ง ทำให้ชื่อ "ทีวีพูล" กลับมามี "อิทธิพล" กับดาราเหมือนเดิม.