โปรดักชั่นยิ่งใหญ่อลังการล้านแปดที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของสยามประเทศ ฉากจบของมหากาพย์ดัน "ตกช้างตาย" ซะงั้น
ในภาคนี้สังเกตได้เลยว่าท่านมุ้ยเน้นเรื่องซีนอารมณ์เยอะมาก มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกจริงๆนะ มากจนรู้ได้เลยว่าตั้งใจเอาใส่ให้คนดูบ่อน้ำตาแตก ซึ่งเราว่ามันแน่นไป น้ำตาหยดที่แล้วยังไม่ทันแห้ง ก็ต้องบีบหยดใหม่ออกมาอีกแล้ว แต่จะบอกว่าประสบความสำเร็จนะ ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกยอมรับว่าน้ำตาคลอเว่อออ เห็นแค่มณีจันทร์เดินจับมือพระนเรศขึ้นจากเรือมาเยี่ยมพระราชมนูที่เรือน ก็รู้ตัวเลยว่าต้องเสียน้ำตาแน่ๆ ซึ่งจะบอกว่ามณีจันทร์คือตัวทำละมุนประจำเรื่องนี้เลยนะ มีนางที่ไหนความละมุนจะบังเกิดในฉากนั้น ทำให้คนดูอย่างโอมได้คลายเครียดจากการรบราฆ่าฟันซึ่งเป็นเมนหลักของเรื่องไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
การดำเนินเรื่องก็ใช้วิธีการเล่าแบบกึ่งๆสารคดี+การแต่งเติมเข้าไป ซึ่งการเล่าแบบสารคดีก็ใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์อ้างอิง ส่วนการแต่งเติมเพิ่มเข้าไปในภาคนี้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ (ถ้าเทียบกับภาคก่อนๆนะ) อันนี้เราไม่ได้ซีเรียส ไม่ได้แอนตี้ เพราะการที่เพิ่มเติมเหตุการณ์การกระทำบางอย่างเรากลับชอบด้วยซ้ำ มันทำให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ขึ้นกว่าการเล่าเพียงแค่เป็นภาพยนตร์สารคดีธรรมดาๆ
มาเรื่องคอสตูม...อุวะฮ่าๆๆๆๆ ที่ไปดูนี่คือไปเซฟรายละเอียดนะ เก็บเข้าหน่วยความจำเรียบร้อยละ รู้ๆกันอยู่ว่าบางชุด บางยูนิฟอร์มในหนังเรื่องนี้ก็มโนขึ้นมาบ้าง แต่เราโอเค เพราะเราเห็นถึงที่มาที่ไป ภูมิหลังของตัวละคร หน้าที่การงาน ฐานันดร ศักดินา ซึ่งถ้าลิงค์มาตั้งแต่สุริโยทัย เราเห็นพัฒนาการของการแต่งกาย การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทรงผม เนื้อผ้าที่นุ่ง ความ Simple ของเครื่องประดับ ในช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคสงคราม แต่งตัวกันน้อยลง ประโคมเครื่องกันน้อยลง เราเห็นว่าทุกคนมีเครื่องประดับประจำตัว อย่างเช่น มณีจันทร์ ก็จะใส่สร้อยลูกไม้เพชรซีกที่แม่มอบไว้ให้, ทัดดอกไม้ไหว ส่วนพระสุพรรณกัลยาก็จะใส่กรองคอเส้นกลม หัวเข็มขัดทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปักปิ่น เป็นต้น ซึ่งช่วยสร้างคาแรคเตอร์และแสดงถึงภูมิหลังของตัวละครให้ชัดเจนมากขึ้น
การใส่ Symbolic เช่น ลายของเสื้อเกราะของพระนเรศที่เปลี่ยนไป แล้วตีความด้วยการใส่ลายพระนารายณ์ทรงสุบรรณเข้าไปสื่อถึงพระมหากษัตริย์ หลังจากที่พระองค์ทรงครองราชย์แล้ว
เสื้อผ้าของมณีจันทร์.....ก็ยังสวยเหมือนเดิม แต่ก็ไม่รู้แล้วว่าสตรีมอญรามัญจริงๆแล้วแต่งกายแบบนี้หรือเปล่า (เราจะข้ามประเด็นนี้ไปก่อน เพราะยังไม่ได้ไปค้นคว้า ฮ่าๆ) สิ่งที่เราแอบหวังไว้สำหรับคอสตูมของมณีจันทร์ก็คือ การพัฒนาเรื่องการออกแบบและตีความเครื่องแต่งกาย เราอยากเห็นการ Apply ความเป็นอยุธยาเข้าไปมิกซ์แอนด์แมทช์บ้างเท่านั้นเอง (เราแอบคิดนะว่าชาวอยุธยาคงรู้สึกขัดตาบ้างล่ะ ที่แม่อยู่หัวของตนยังแต่งมอญอยู่ ทั้งๆที่กลายมาเป็นชาวอยุธยาแบบเต็มตัวแล้ว) เช่น นุ่งผ้าแบบเดิมก็ได้ จะหางไหลๆๆๆๆกี่ไหลก็ไหลไป แต่อาจจะเอาผ้าพิมพ์แบบอยุธยามานุ่งแทนให้เห็นถึงพัฒนาการของการแต่งกายของตัวละครบ้าง
***อันนี้เลย*** ฉากขึ้นครองราชย์..ทุกอย่างดีหมด ขัดตาอย่างเดียว ชุดของพระนางมณีจันทร์นี่แหละ ถ้าเป็นโอมทำคอสตูมเรื่องนี้นะ โอมจะให้นางนุ่งผ้าแบบเดิมของนางนี่แหละ แต่ทรงเครื่องเต็มสตรีมไปเล้ยยย พิธีศักดิ์สิทธิ์ทั้งที ใส่ไปสิกรองคอ มหาสังวาลย์ ทับทรวง พาหุรัด คือไหนๆก็ยอมถอดสร้อยที่แม่มอบไว้ให้ที่มณีจันทร์ใส่มาตลอดทั้งชีวิต มาใส่สร้อยแบบที่ปรากฎในฉากแล้ว ก็ทรงเครื่องนางกษัตริย์แบบอยุธยาไปเล้ยยยย (โอมเชื่อว่าหลายคนก็อยากจะเห็นแอฟแต่งเต็มอย่างที่โอมมโน!! ใช่มั้ย!! พูด!! 555+)
แล้วอีกเรื่องนึงในฉากนี้ที่เราเสียดาย...มณีจันทร์เจ้าขา...เธอจะไม่กราบกรานพระมหากษัตริย์ที่นั่งอยู่บนมหาเศวตฉัตรเลยรึงายยย... โหยยย เลยดูเหมือนว่าพอชีได้สถาปนาตำแหน่งเป็นอัครมเหสีแล้วชีก็เดินเชิ่ดขึ้นบัลลังค์สวยๆเลยจ้า (จริงๆนางอาจจะกราบก็ได้ แต่ถูกตัดออกให้ฉากนั้นดูกระชับขึ้น แต่ก็แอบเสียดายที่ฉากใหญ่โตแต่ได้ปรากฎอยู่ในเรื่องไม่ถึง 2 นาทีเอง(มั้ง)) แถมตอนพราหมณ์เชิญพานมงกุฎกษัตริย์ของพระนเรศดันไม่มีฐานวางซะงั้น แต่ของมณีจันทร์ตอนพราหมณ์ใส่พานถวายดันมีฐานรอง (คือเราไม่ชัวร์ว่าอาจจะเป็นปกติพิธีของอยุธยาก็ได้ เรื่องมีกับไม่มีฐานรอง แต่ในเรื่องของ Common sense แล้วโอมว่ามันดูแปลกๆ)
แล้วก็ฉากที่มณีจันทร์ทรงชุดเกราะแบบเต็มยศ... คือตื่นเต้นมาก รอดูว่านางจะได้บู๊มั้ย อยากเห็นนางควงหอกควงดาบแบบภาค 2 ที่ขี่ม้าข้ามแม่น้ำสะโตง กับฉากที่ค่ายพระนเรศวรโดนลอบทำร้าย นางคว้าหอกมาควง หมุนรอบตัวเองหนึ่งทีแล้วกระซวก วู๊ยยยยย แม่เจ้าประคุณ นางเริ่ดเว่อนะ แต่ปรากฎว่าในภาคนี้อุตส่าห์ทรงเกราะเต็มยศ แต่ดันไม่ได้จอยสงครามซะงั้น เสียดาย...ไม่ใช่อะไรนะ (ความเห็นส่วนตัว 555555+)
เรื่องคอสตูมพอแค่นี้ก่อนโน๊ะะะ.. แค่ของมณีจันทร์คนเดียวก็หลายสิ่งละ 555555+
มาถึงฉากจบเลย................นี่งง แบบงง งงมาก งงนะ งงจริงอะไรจริง งงแบบ ห๊ะ! จบแล้วเหรอ จบแค่เนี้ยยยยยยยย สตั๊นนนน!! มันเหมือนเรื่องใกล้จะไคลแมกซ์ละ ใจจดใจจ่อมากว่าใครจะแพ้จะชนะ (ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าใครชนะ) แต่ก็ยังจะรอดูว่าจะจบยังไง พอถึงตอนจบเท่านั้นแหละ....ห๊ะ! อะไรนะ พระราชมนูกอดศพเลอขิ่น โดยมีป็อป ฐากูรยืนมองแสงทองของวันใหม่ฉายออกมาจากเหลี่ยมเขา แล้วภาพตัดไปเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี ตอนนั้นในใจคือแบบ..ไม่ ไม่ใช่ ไม่นะ โนว์ๆๆๆๆๆท่านมุ้ยอย่าให้หนังเรื่องนี้จบแบบนี้นะ ไม่เอาๆๆๆ(หลอกตัวเองในโรงหนังสุดพลัง) แล้วสุดท้ายก็จบแบบนั้น...แค่นั้น
เสีย’รมณ์เบาๆ...
(แต่แว่วๆมาว่าจะมีภาค 6 ต่อนะ....จะดีมั้ยเนี่ย? รอลุ้นๆๆ)
สรุปรวมๆเลยนะครัช
- ตัวละครฝั่งหงสาวดีแทบทุกตัวเลย มีมิติมากขึ้น มีภูมิหลัง มีที่มาที่ไปของการกระทำ มีเหตุมีผล มีน้ำหนักสำหรับการกระทำในแต่ละเหตุการณ์มากขึ้น จบฉากยุทธหัตถีแล้วเราสงสารมังสามเกียดที่สุดเลย Conflict จากพ่อ(นันทบุเรง) จากตัวเอง จากธรรมชาติแวดล้อม สุดๆครับตัวละครนี้ ไม่ธรรมดา ดูมีมิติสุด
- ตัวละครฝั่งอยุธยาดูเบาๆแบนๆ คือใครอยากทำอะไรก็ทำขึ้นมาเลย น้ำหนักและภูมิหลังมีน้อย ไม่มีน้ำหนัก บางครั้งเลยดูลอยๆ
- คอสตูมตามที่กล่าวข้างต้นเลยครัช โดยรวมชอบมากๆครับ การแต่งกายของแต่ละตัวละครส่วนใหญ่มีที่มาที่ไป
- ฉากยุทธหัตถีดีมากครับ สุดยอดเลย ปากสั่น (เพราะแอร์ในโรงเย็นมาก เย้ยยย ไม่ใช่) ลุ้นจริงๆครับ ใจสั่นปากสั่นเลยจริงๆ
- ภาคนี้มณีจันทร์ดูมีจริตมากขึ้น จริตแบบการใช้สายตา การปรายตามอง การพูดการจา การหมุนหัวไหล่โยกย้ายยักตัว (คหสต.) ดูขัดๆนะบางจุด แต่รวมๆโอเคเลย เห็นพัฒนาการของตัวละครที่ต้องเขยิบฐานะขึ้นมาเป็นแม่อยู่หัวปกครองบ้านเมือง
- Make up production ดีครับ สมบูรณ์ดีงามตามท้องเรื่อง
- ฉากถวายตัว...นี่รอฟินมากเว่อ แต่พอดูจริงๆแล้วมันยาวไป ตอนไซร้ๆนี่แอบเกินงามไปนิดนึง (คหสต.) แต่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ อันนี้เข้าใจ แต่บางทีคนดูก็มีอุดมคติกับตัวละครเน้ออออ (คหสต.)
- บางตัวละครหายไปเสียดาย บางตัวละครที่ปรากฎในเรื่องก็เบาแสนเบา เบาขนาดที่ว่าภาคนี้ไม่ต้องปรากฎตัวมาเลยเนื้อเรื่องก็ไม่เปลี่ยนหรอก
- บางฉากก็ยืดเยื้อเกินไป บางฉากก็สั้นเกินไป เช่น ฉากสวรรคตของพระมหาธรรมราชายาวไปหน่อย ยาวจนต้องลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเสด็จซะที สุดท้ายภาพตัดเฉย อดเห็น ส่วนฉากสถาปนานี่ก็สั้นไป อยากเห็นมากกว่านี้ 555+
- จริงๆคืออยากดูตัวละครฝั่งอยุธยาทรงเครื่องแบบเต็มสตรีม แต่ดูข่าวบอกว่าฉากนี้ถ่ายทำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่แอฟเพิ่งเรียนจบ ป.ตรีใหม่ๆ เพราะเห็นภาพเบื้องหลังแล้วว่าการแต่งกายของนางสนมกำนัลยังไม่อัพเดต บางคนยังทำผมทรงโองโขดงมวยสูงแบบสุริโยทัย ใส่กระบังหน้าอยู่เลย ซึ่งไม่เข้ากับแฟชั่นชาววังในสมัยพระนเรศวรที่ส่วนใหญ่ตีปีกนกปล่อยผมยาว หรือไม่ก็มวยต่ำ เพราะฉะนั้นบางฉากที่เห็นการแต่งกายแบบนั้นจึงต้องถูกตัดออก เลยพอเข้าใจได้ว่าฉากสถาปนาทำไมมันถึงสั้นๆ
- ฉากเรียกน้ำตาแน่นไปจริงๆ ผลิตน้ำตาแทบไม่ทัน ฮ่าๆ
- มาทราบทีหลังว่าต้องตัดหลายๆฉากออกเยอะเลยครับ เพราะความยาวเกิน แอบเสียดายครับ
- ขอเสนอให้ทำเวอร์ชั่น Uncut แบบสุริโยทัยออกมาครับ ดูกันให้ตาแฉะไปเลย
- ชื่อหนังก็บอกอยู่แล้วว่า "ตำนาน" ซึ่ง "ตำนาน" หมายถึง นิยายหรือเรื่องเล่าที่เล่าสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน จนหาต้นตอไม่ได้ และมีเนื้อหาเพื่ออธิบายที่มาของสิ่งต่างๆ หรือสถานที่ต่างๆ ที่คนในสมัยก่อนยังไม่สามารถเข้าใจได้.. ตามนั้นครับ มีเติมแต่งบ้างไม่ใช่เรื่องผิด
- ให้กำลังใจท่านมุ้ยครับ ^^
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ..
ยาวหน่อย แต่ขอบพระคุณที่อ่านจนจบครับผม
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ ช่วยกันเสนอแนะได้นะครับ
[[Spoil]]:::ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 5 ในมุมมองของนักเรียนละครและ Costume Designerคนหนึ่ง
ในภาคนี้สังเกตได้เลยว่าท่านมุ้ยเน้นเรื่องซีนอารมณ์เยอะมาก มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกจริงๆนะ มากจนรู้ได้เลยว่าตั้งใจเอาใส่ให้คนดูบ่อน้ำตาแตก ซึ่งเราว่ามันแน่นไป น้ำตาหยดที่แล้วยังไม่ทันแห้ง ก็ต้องบีบหยดใหม่ออกมาอีกแล้ว แต่จะบอกว่าประสบความสำเร็จนะ ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกยอมรับว่าน้ำตาคลอเว่อออ เห็นแค่มณีจันทร์เดินจับมือพระนเรศขึ้นจากเรือมาเยี่ยมพระราชมนูที่เรือน ก็รู้ตัวเลยว่าต้องเสียน้ำตาแน่ๆ ซึ่งจะบอกว่ามณีจันทร์คือตัวทำละมุนประจำเรื่องนี้เลยนะ มีนางที่ไหนความละมุนจะบังเกิดในฉากนั้น ทำให้คนดูอย่างโอมได้คลายเครียดจากการรบราฆ่าฟันซึ่งเป็นเมนหลักของเรื่องไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
การดำเนินเรื่องก็ใช้วิธีการเล่าแบบกึ่งๆสารคดี+การแต่งเติมเข้าไป ซึ่งการเล่าแบบสารคดีก็ใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์อ้างอิง ส่วนการแต่งเติมเพิ่มเข้าไปในภาคนี้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ (ถ้าเทียบกับภาคก่อนๆนะ) อันนี้เราไม่ได้ซีเรียส ไม่ได้แอนตี้ เพราะการที่เพิ่มเติมเหตุการณ์การกระทำบางอย่างเรากลับชอบด้วยซ้ำ มันทำให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ขึ้นกว่าการเล่าเพียงแค่เป็นภาพยนตร์สารคดีธรรมดาๆ
มาเรื่องคอสตูม...อุวะฮ่าๆๆๆๆ ที่ไปดูนี่คือไปเซฟรายละเอียดนะ เก็บเข้าหน่วยความจำเรียบร้อยละ รู้ๆกันอยู่ว่าบางชุด บางยูนิฟอร์มในหนังเรื่องนี้ก็มโนขึ้นมาบ้าง แต่เราโอเค เพราะเราเห็นถึงที่มาที่ไป ภูมิหลังของตัวละคร หน้าที่การงาน ฐานันดร ศักดินา ซึ่งถ้าลิงค์มาตั้งแต่สุริโยทัย เราเห็นพัฒนาการของการแต่งกาย การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทรงผม เนื้อผ้าที่นุ่ง ความ Simple ของเครื่องประดับ ในช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคสงคราม แต่งตัวกันน้อยลง ประโคมเครื่องกันน้อยลง เราเห็นว่าทุกคนมีเครื่องประดับประจำตัว อย่างเช่น มณีจันทร์ ก็จะใส่สร้อยลูกไม้เพชรซีกที่แม่มอบไว้ให้, ทัดดอกไม้ไหว ส่วนพระสุพรรณกัลยาก็จะใส่กรองคอเส้นกลม หัวเข็มขัดทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปักปิ่น เป็นต้น ซึ่งช่วยสร้างคาแรคเตอร์และแสดงถึงภูมิหลังของตัวละครให้ชัดเจนมากขึ้น
การใส่ Symbolic เช่น ลายของเสื้อเกราะของพระนเรศที่เปลี่ยนไป แล้วตีความด้วยการใส่ลายพระนารายณ์ทรงสุบรรณเข้าไปสื่อถึงพระมหากษัตริย์ หลังจากที่พระองค์ทรงครองราชย์แล้ว
เสื้อผ้าของมณีจันทร์.....ก็ยังสวยเหมือนเดิม แต่ก็ไม่รู้แล้วว่าสตรีมอญรามัญจริงๆแล้วแต่งกายแบบนี้หรือเปล่า (เราจะข้ามประเด็นนี้ไปก่อน เพราะยังไม่ได้ไปค้นคว้า ฮ่าๆ) สิ่งที่เราแอบหวังไว้สำหรับคอสตูมของมณีจันทร์ก็คือ การพัฒนาเรื่องการออกแบบและตีความเครื่องแต่งกาย เราอยากเห็นการ Apply ความเป็นอยุธยาเข้าไปมิกซ์แอนด์แมทช์บ้างเท่านั้นเอง (เราแอบคิดนะว่าชาวอยุธยาคงรู้สึกขัดตาบ้างล่ะ ที่แม่อยู่หัวของตนยังแต่งมอญอยู่ ทั้งๆที่กลายมาเป็นชาวอยุธยาแบบเต็มตัวแล้ว) เช่น นุ่งผ้าแบบเดิมก็ได้ จะหางไหลๆๆๆๆกี่ไหลก็ไหลไป แต่อาจจะเอาผ้าพิมพ์แบบอยุธยามานุ่งแทนให้เห็นถึงพัฒนาการของการแต่งกายของตัวละครบ้าง
***อันนี้เลย*** ฉากขึ้นครองราชย์..ทุกอย่างดีหมด ขัดตาอย่างเดียว ชุดของพระนางมณีจันทร์นี่แหละ ถ้าเป็นโอมทำคอสตูมเรื่องนี้นะ โอมจะให้นางนุ่งผ้าแบบเดิมของนางนี่แหละ แต่ทรงเครื่องเต็มสตรีมไปเล้ยยย พิธีศักดิ์สิทธิ์ทั้งที ใส่ไปสิกรองคอ มหาสังวาลย์ ทับทรวง พาหุรัด คือไหนๆก็ยอมถอดสร้อยที่แม่มอบไว้ให้ที่มณีจันทร์ใส่มาตลอดทั้งชีวิต มาใส่สร้อยแบบที่ปรากฎในฉากแล้ว ก็ทรงเครื่องนางกษัตริย์แบบอยุธยาไปเล้ยยยย (โอมเชื่อว่าหลายคนก็อยากจะเห็นแอฟแต่งเต็มอย่างที่โอมมโน!! ใช่มั้ย!! พูด!! 555+)
แล้วอีกเรื่องนึงในฉากนี้ที่เราเสียดาย...มณีจันทร์เจ้าขา...เธอจะไม่กราบกรานพระมหากษัตริย์ที่นั่งอยู่บนมหาเศวตฉัตรเลยรึงายยย... โหยยย เลยดูเหมือนว่าพอชีได้สถาปนาตำแหน่งเป็นอัครมเหสีแล้วชีก็เดินเชิ่ดขึ้นบัลลังค์สวยๆเลยจ้า (จริงๆนางอาจจะกราบก็ได้ แต่ถูกตัดออกให้ฉากนั้นดูกระชับขึ้น แต่ก็แอบเสียดายที่ฉากใหญ่โตแต่ได้ปรากฎอยู่ในเรื่องไม่ถึง 2 นาทีเอง(มั้ง)) แถมตอนพราหมณ์เชิญพานมงกุฎกษัตริย์ของพระนเรศดันไม่มีฐานวางซะงั้น แต่ของมณีจันทร์ตอนพราหมณ์ใส่พานถวายดันมีฐานรอง (คือเราไม่ชัวร์ว่าอาจจะเป็นปกติพิธีของอยุธยาก็ได้ เรื่องมีกับไม่มีฐานรอง แต่ในเรื่องของ Common sense แล้วโอมว่ามันดูแปลกๆ)
แล้วก็ฉากที่มณีจันทร์ทรงชุดเกราะแบบเต็มยศ... คือตื่นเต้นมาก รอดูว่านางจะได้บู๊มั้ย อยากเห็นนางควงหอกควงดาบแบบภาค 2 ที่ขี่ม้าข้ามแม่น้ำสะโตง กับฉากที่ค่ายพระนเรศวรโดนลอบทำร้าย นางคว้าหอกมาควง หมุนรอบตัวเองหนึ่งทีแล้วกระซวก วู๊ยยยยย แม่เจ้าประคุณ นางเริ่ดเว่อนะ แต่ปรากฎว่าในภาคนี้อุตส่าห์ทรงเกราะเต็มยศ แต่ดันไม่ได้จอยสงครามซะงั้น เสียดาย...ไม่ใช่อะไรนะ (ความเห็นส่วนตัว 555555+)
เรื่องคอสตูมพอแค่นี้ก่อนโน๊ะะะ.. แค่ของมณีจันทร์คนเดียวก็หลายสิ่งละ 555555+
มาถึงฉากจบเลย................นี่งง แบบงง งงมาก งงนะ งงจริงอะไรจริง งงแบบ ห๊ะ! จบแล้วเหรอ จบแค่เนี้ยยยยยยยย สตั๊นนนน!! มันเหมือนเรื่องใกล้จะไคลแมกซ์ละ ใจจดใจจ่อมากว่าใครจะแพ้จะชนะ (ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าใครชนะ) แต่ก็ยังจะรอดูว่าจะจบยังไง พอถึงตอนจบเท่านั้นแหละ....ห๊ะ! อะไรนะ พระราชมนูกอดศพเลอขิ่น โดยมีป็อป ฐากูรยืนมองแสงทองของวันใหม่ฉายออกมาจากเหลี่ยมเขา แล้วภาพตัดไปเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี ตอนนั้นในใจคือแบบ..ไม่ ไม่ใช่ ไม่นะ โนว์ๆๆๆๆๆท่านมุ้ยอย่าให้หนังเรื่องนี้จบแบบนี้นะ ไม่เอาๆๆๆ(หลอกตัวเองในโรงหนังสุดพลัง) แล้วสุดท้ายก็จบแบบนั้น...แค่นั้น
เสีย’รมณ์เบาๆ...
(แต่แว่วๆมาว่าจะมีภาค 6 ต่อนะ....จะดีมั้ยเนี่ย? รอลุ้นๆๆ)
สรุปรวมๆเลยนะครัช
- ตัวละครฝั่งหงสาวดีแทบทุกตัวเลย มีมิติมากขึ้น มีภูมิหลัง มีที่มาที่ไปของการกระทำ มีเหตุมีผล มีน้ำหนักสำหรับการกระทำในแต่ละเหตุการณ์มากขึ้น จบฉากยุทธหัตถีแล้วเราสงสารมังสามเกียดที่สุดเลย Conflict จากพ่อ(นันทบุเรง) จากตัวเอง จากธรรมชาติแวดล้อม สุดๆครับตัวละครนี้ ไม่ธรรมดา ดูมีมิติสุด
- ตัวละครฝั่งอยุธยาดูเบาๆแบนๆ คือใครอยากทำอะไรก็ทำขึ้นมาเลย น้ำหนักและภูมิหลังมีน้อย ไม่มีน้ำหนัก บางครั้งเลยดูลอยๆ
- คอสตูมตามที่กล่าวข้างต้นเลยครัช โดยรวมชอบมากๆครับ การแต่งกายของแต่ละตัวละครส่วนใหญ่มีที่มาที่ไป
- ฉากยุทธหัตถีดีมากครับ สุดยอดเลย ปากสั่น (เพราะแอร์ในโรงเย็นมาก เย้ยยย ไม่ใช่) ลุ้นจริงๆครับ ใจสั่นปากสั่นเลยจริงๆ
- ภาคนี้มณีจันทร์ดูมีจริตมากขึ้น จริตแบบการใช้สายตา การปรายตามอง การพูดการจา การหมุนหัวไหล่โยกย้ายยักตัว (คหสต.) ดูขัดๆนะบางจุด แต่รวมๆโอเคเลย เห็นพัฒนาการของตัวละครที่ต้องเขยิบฐานะขึ้นมาเป็นแม่อยู่หัวปกครองบ้านเมือง
- Make up production ดีครับ สมบูรณ์ดีงามตามท้องเรื่อง
- ฉากถวายตัว...นี่รอฟินมากเว่อ แต่พอดูจริงๆแล้วมันยาวไป ตอนไซร้ๆนี่แอบเกินงามไปนิดนึง (คหสต.) แต่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ อันนี้เข้าใจ แต่บางทีคนดูก็มีอุดมคติกับตัวละครเน้ออออ (คหสต.)
- บางตัวละครหายไปเสียดาย บางตัวละครที่ปรากฎในเรื่องก็เบาแสนเบา เบาขนาดที่ว่าภาคนี้ไม่ต้องปรากฎตัวมาเลยเนื้อเรื่องก็ไม่เปลี่ยนหรอก
- บางฉากก็ยืดเยื้อเกินไป บางฉากก็สั้นเกินไป เช่น ฉากสวรรคตของพระมหาธรรมราชายาวไปหน่อย ยาวจนต้องลุ้นว่าเมื่อไหร่จะเสด็จซะที สุดท้ายภาพตัดเฉย อดเห็น ส่วนฉากสถาปนานี่ก็สั้นไป อยากเห็นมากกว่านี้ 555+
- จริงๆคืออยากดูตัวละครฝั่งอยุธยาทรงเครื่องแบบเต็มสตรีม แต่ดูข่าวบอกว่าฉากนี้ถ่ายทำเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ที่แอฟเพิ่งเรียนจบ ป.ตรีใหม่ๆ เพราะเห็นภาพเบื้องหลังแล้วว่าการแต่งกายของนางสนมกำนัลยังไม่อัพเดต บางคนยังทำผมทรงโองโขดงมวยสูงแบบสุริโยทัย ใส่กระบังหน้าอยู่เลย ซึ่งไม่เข้ากับแฟชั่นชาววังในสมัยพระนเรศวรที่ส่วนใหญ่ตีปีกนกปล่อยผมยาว หรือไม่ก็มวยต่ำ เพราะฉะนั้นบางฉากที่เห็นการแต่งกายแบบนั้นจึงต้องถูกตัดออก เลยพอเข้าใจได้ว่าฉากสถาปนาทำไมมันถึงสั้นๆ
- ฉากเรียกน้ำตาแน่นไปจริงๆ ผลิตน้ำตาแทบไม่ทัน ฮ่าๆ
- มาทราบทีหลังว่าต้องตัดหลายๆฉากออกเยอะเลยครับ เพราะความยาวเกิน แอบเสียดายครับ
- ขอเสนอให้ทำเวอร์ชั่น Uncut แบบสุริโยทัยออกมาครับ ดูกันให้ตาแฉะไปเลย
- ชื่อหนังก็บอกอยู่แล้วว่า "ตำนาน" ซึ่ง "ตำนาน" หมายถึง นิยายหรือเรื่องเล่าที่เล่าสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน จนหาต้นตอไม่ได้ และมีเนื้อหาเพื่ออธิบายที่มาของสิ่งต่างๆ หรือสถานที่ต่างๆ ที่คนในสมัยก่อนยังไม่สามารถเข้าใจได้.. ตามนั้นครับ มีเติมแต่งบ้างไม่ใช่เรื่องผิด
- ให้กำลังใจท่านมุ้ยครับ ^^
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ..
ยาวหน่อย แต่ขอบพระคุณที่อ่านจนจบครับผม
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ ช่วยกันเสนอแนะได้นะครับ