วันนี้ผมมีวิธีแนะนำ การสวดมนต์ ที่ถูกต้องมาบอกครับ จากผู้เขียน เรื่องเล่าผี จากเด็กหนุ่มไฟแรง อายุไม่เกิน 25

ในตอนแรกผมเองเป็นเด็กหนุ่มทั่วไป ไม่มีสัมผัส ไม่เชื่อเรื่องผี จนเมื่อตอนเรียนมหาลัยผมรู้สึกว่าตนเองมีสัมผัสพิเศษขึ้นมา ในตอนแรกผมก็งงและประหลาดใจ แต่หลังจากที่ผมพบเจอมาเรื่อยๆ คิดและพิจารณาในหลายเหตุการณ์ รวมถึงเริ่มปฏิบัติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆและเสมอมา ทำให้รู้ว่าเรื่องที่ผมรับรู้มักเป็นเรื่องจริงที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ว่าผมรู้เรื่องบางอย่าง ความลับหรือเวรกรรมได้อย่างไร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผมค่อนข้างเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง

จึงอยากแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ผมเคยเจอให้กับคนอื่นๆได้ฟังบ้าง เพื่อจะเป็นธรรมทาน ช่วยเป็นเครื่องเตือนจิต สะกิดใจ หรือสำหรับคนไม่เชื่อก็ถือเป็นนิทาน นิยาย เรื่องเล่าขำๆที่ช่วยสร้างความสนุกสนานไปล่ะกันนะครับ

บทสวดมนต์สำหรับผู้เริ่มต้น

รู้จักการสวดมนต์
    การสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า หรือที่เรียกว่า “พุทธคุณ” ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่ามีคุณวิเศษ ความดีงามและความเป็นสิริมงคลอย่างไร
    การสวดมนต์จะสร้างความดีและความพร้อมให้กับผู้สวดมนต์ 3 ประการ คือ กายสงบ, วาจากล่าวถ้อยคำสรรเสริญ และใจเคารพต่อพระรัตนตรัย
    ผลดีที่ตามมา จะช่วยให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น มีความสงบร่มเย็นมากขึ้น เจ้ากรรมนายเวรเข้าใจเราและให้อภัยเรา รวมถึงสิ่งที่สำคัญคือ ช่วยขัดเกลาและยกระดับจิตใจของเราให้เป็นไปในทางที่ดีหรืออาจเรียกได้ว่า เป็นคนดีที่ถึงพร้อมด้วยความสง่างาม ที่สูงส่งด้วยความดีนั่นเอง
    ส่วนผลเสีย ถ้าตามความจริงก็แทบจะไม่มีเลย นอกจากนี้งานวิจัยในต่างประเทศจำนวนนับไม่ถ้วน แสดงผลว่าการสวดมนต์และการนั่งสมาธิเป็นสิ่งที่ดี ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนและการทำงาน หรือก็คือ ทำให้เรามีสมาธิ มีสติ สามารถใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆบนพื้นฐานความเป็นจริงได้นั่นเอง และมีการนำไปอบรมในองค์กรชั้นนำอย่างแพร่หลาย(ค่าตัววิทยากรเป็นล้านๆเลยนะ คิวยาวด้วยนะ)
สิ่งที่ควรรู้
    บทสวดมนต์ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ บทนำ, เนื้อหา, สรุป มีรายละเอียดคือ
    บทนำ เป็นการเตรียมจิตใจให้สงบนิ่งและมีสมาธิก่อนจะเริ่มต้นสวด
    เนื้อหา คือ บทหลักๆที่สำคัญ รวมถึงอาจหาบทเสริมจากที่อื่นๆมาสวดเพิ่มก็ได้
    สรุป คือ การขออโหสิกรรม การแผ่เมตตาและการอุทิศส่วนกุศล ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นกัน นั่นคือ หากเราทำความดีไว้ เราก็ต้องอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย ไม่งั้นก็ไม่ถึงเขานะ
อานิสงส์ของการสวดมนต์
    1.ฝึกหัดจริยา          7.ขับเสนียดยิ้ม
    2.บูชาพระคุณ         8.อวยชัยแก่คนที่รัก
    3.บุญเพิ่มพูน          9.พิทักษ์ตน
    4.เสริมสิริมงคลชีวิต     10.อุทิศบุญกุศล
    5.ชำระดวงจิต         11.ถึงมรรค ผล นิพพาน ในอนาคต
    6.พิชิตโรคภัย
สิ่งที่ต้องทำในการสวดมนต์
    แบ่งเป็น 4 ช่วง คือ ก่อนสวดมนต์, ระหว่างสวดมนต์, ช่วงสรุป และหลังสวดมนต์
1.ก่อนสวดมนต์ ต้องบอกอยู่ 3 อย่าง คือ
    1.1 บอกว่าใครรับได้ ก็มาร่วมกันรับบุญ ร่วมกันสวดมนต์ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีสิ่งต่างๆ รวมถึงเจ้าที่ เทวดา มาร่วมสวดมนต์ด้วย
    1.2 บอกว่าถ้าใครรับไม่ได้ก็ออกไปให้ไกลก่อน เนื่องจากผีบางตนจะร้อนและทนไม่ได้
    1.3 ข้อนี้อาจบอกตามระดับความอยากเห็น เช่น
    - ดิฉันอยากเห็น ขอให้เห็นและรู้สึกมากขึ้น เพื่อจะได้นำไปใช้ในการทำความดีต่อไป หรือ
    - ดิฉันอยากขอให้เห็นและรู้สึกในทางฝันก็พอ แล้วก็ขอมาแบบไม่น่ากลัวด้วย
    - ดิฉันทราบว่าเรื่องนี้มีอยู่จริงและยินดีทำบุญให้ แต่ขออย่ามาปรากฏให้เห็น
    รวมถึงอาจต่อรองในรูปแบบอื่นอีกก็ได้
2.ระหว่างสวดมนต์ ต้องทำอยู่ 3 อย่าง คือ
    2.1 ต้องค่อยๆสวด ไม่เร่งรีบ พยายามออกเสียงให้ถูกอักขระและเสียงดังพอประมาณ เพื่อแสดงความเคารพและให้มีสมาธิ
    2.2 ห้ามคิดวอกแวกเรื่องอื่น เช่น เด๋วต้องไปรีดเสื้อ อาบน้ำ เม้นเฟสบุ๊ค แบบนี้ไม่ได้เลย ต้องกำหนดจิตไว้ที่บทสวดมนต์
    2.3 กำหนดจิตตามบทสวดมนต์ หรือก็คือ คิดตามไปนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด เพราะบทสวดก็คือพระธรรม คำสอน ถ้าเราคิดตามและใช้สติพิจารณาก็จะเกิดผลดีนับไม่ถ้วนและได้อานิสงส์ตามบทสวดนั้นจริงๆ เช่น คาถาชินบัญชร หากเราสามารถสวดจบได้ แต่ไม่เข้าใจความหมายอะไรเลย ไม่ได้คิดตาม คิดแต่ความศักดิ์สิทธิไว้ป้องกันอันตราย ผลคือ อาจได้แค่สมาธิและอาจไม่สามารถใช้ป้องกันได้ แต่ถ้าเราเข้าใจความหมายของบทสวดและคิดตามอานิสงส์ก็จะมาแบบเต็มๆคือ ป้องกันอันตรายได้ตามบทสวดนั้นจริงๆ
    สำหรับการคิดตามในเบื้องต้น ก็คือ ให้เราพยายามคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบทสวดก่อน เช่น เราสวด อะระหัง เราอาจนึกถึงพระพุทธเจ้า ประวัติพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธรูปในวัดที่เราเคยไป, สวากขาโต อาจนึกถึงพระธรรม จากภาพพระไตรปิฏกหรือบทสวดมนต์ต่างๆ, สุปะฏิปันโน อาจนึกถึงพระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาทตอนเช้าก็ดี
    แต่การคิดตามที่ถูกต้องจริงๆนั้นคือ เราจะต้องรู้คำแปลของบทสวดนั่นเอง ซึ่งก็ศึกษาได้หลายวิธี
เช่น ในระหว่างสวด เมื่อสวดส่วนที่เป็นภาษาบาลีจบแล้วก็กวาดตาผ่านๆความหมายภาษาไทย หรือ สวดทั้งความหมายภาษาไทยไปด้วย เหมือนเป็นการเทศนาธรรมแด่ผู้ที่มาฟังธรรม(ซึ่งจะสวดยาวมากขึ้น อาจสวดภาษาไทยตาม ในทุกวันพระก็ได้) หรือ ในเวลาว่างๆ เราอาจหยิบหนังสือสวดมนต์ขึ้นมา แล้วอ่านภาษาไทยก็ได้ ซึ่งก็คล้ายกับการอ่านหนังสือเรียนของเราและคล้ายกับการอ่านนิยายเช่นกัน เพราะมีเรื่องราวปาฏิหาริย์และอิทธิฤทธิ์ต่างๆมากมาย แต่ต่างกันตรงสร้างความเป็นสิริมงคลให้ชีวิตด้วย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการศึกษาธรรมะนั่นเอง  

3.ช่วงสรุป
    ที่ประกอบด้วยการขออโหสิกรรม การแผ่เมตตาและการอุทิศส่วนกุศล ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ส่วนที่ต้องทำ คือ
    3.1 บทขออโหสิกรรม ให้กำหนดจิตไว้ที่ลิ้นปี่ ที่อยู่ประมาณอก เสมือนว่าเราขอโทษ สิ่งที่เราได้ล่วงเกินสิ่งต่างๆ หรือถ้าจะให้ดีก็นั่งสมาธิตอนนี้เลย(ก่อนแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล) แล้วนึกขออโหสิกรรม ขอโทษสิ่งต่างๆไป
    3.2 บทแผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศล
    เริ่มต้นแผ่เมตตาด้วยการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เพื่อนำบารมีท่านมาเปิดทางในการแผ่เมตตา ซึ่งสามารถเปิดได้ทุกพบ ทุกภูมิ โดยอาจสวด นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ อีกรอบก่อนแผ่เมตตาด้วยก็ได้
    ให้กำหนดจิตไปที่ระหว่างคิ้วหรือกลางหน้าผาก เสมือนว่าเรามีดวงตาที่สาม(เหมือนในหนัง) และนึกถึงคุณความดีทั้งหมดที่ทำมาในวันนี้ แล้วให้นึกว่าเราแผ่แสงสีเหลืองทองออกจากหน้าผาก(มีความเชื่อว่ามีตาที่สาม ที่ใช้สัมผัสโลกวิญญาณ) แล้วแผ่แสงออกไปยังสิ่งที่เรากำลังแผ่ให้อยู่
    สรรพสัตว์ หมายถึง พรหม เทพ มาร มนุษย์ เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ที่ยังติดข้องอยู่ในวัฏสงสาร 31 แม้กระทั่งคนที่เป็นศัตรูคู่เวรกัน ให้เขาเหล่านั้นมีความสุข ปราศจากทุกข์กายทุกข์ใจ)
4.หลังสวดมนต์
    ให้เราสวดบทไหว้พ่อแม่ โดยนึกถึงท่านนั่งอยู่ที่บ้านแล้วนึกถึงภาพเราก้มกราบที่เท้าท่านลงไป แล้วก็บอกเชิญเทวดาที่มาร่วมสวดกลับ เป็นอันเสร็จพิธี

มีต่อข้างล่าง อีก 2 ส่วนนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่