ไหว้พระสวดมนต์อย่างไรให้ชีวิตดีขึ้นเห็นผลทันตา
หลายคนอาจจะสงสัยว่าได้ไหว้พระสวดมนต์มาตั้งนานทำไมชีวิตไม่ดีขึ้นสักที การจะไหว้พระสวดมนต์และทำให้ชีวิตดีขึ้นนั้น มีหลัก 4 ข้อ คือ1.จิตต้องเป็นสมาธิขณะสวดมนต์ 2.ให้เทวดาร่วมอนุโมทนาบุญในการสวดมนต์และให้พร 3.เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรม 4.บุญกุศลได้ส่งผล เมื่อองค์ประกอบทั้ง 4 ข้อครบถ้วนบริบูรณ์ ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาทันตาเห็น เริ่มจากความทุกข์ค่อย ๆ หายไป ความสุขใจค่อย ๆ เกิดขึ้น จากนั้นความสุขกายสบายใจพร้อมทั้งทรัพย์สิน โชคลาภ ก็จะตามมา
องค์ประกอบหลัก 4 ข้อในการไหว้พระสวดมนต์
1. จิตต้องเป็นสมาธิขณะสวดมนต์
การสวดมนต์ภาวนาทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะกวาดบ้าน ถูบ้าน หรือแม้กระทั้งเปิดเสียงสวดมนต์แล้วสวดตาม ซึ่งกุศลผลบุญนั้นเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะ แต่กำลังผลบุญยังไม่มากพอที่จะแผ่ไปให้ไพศาล ดังนั้นการสวดมนต์ภาวนาที่ได้กำลังบุญมากพอควรจะทำให้จิตเป็นสมาธิขณะสวด ซึ่งการสวดมนต์ก็คลายกับการนั่งสมาธิ ถ้าจิตสงบขณะนั่งสมาธิเพียงชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังได้อานิสงส์ผลบุญมากกว่าตักบาตรถวายสังฆทาน ฉะนั้นการสวดมนต์ภาวนาขณะจิตเป็นสมาธิก็จะได้กุศลผลบุญที่มีกำลังมากกว่าเช่นกัน ขณะสวดมนต์จึงให้จดจ่ออยู่กับอักขระตัวอักษรของบทสวด ไม่วอกแวก ถ้าจิตกำลังคิดก็ให้รู้ว่าคิดแล้วก็ดึงกลับมาที่ตัวอักษรเป็นวิปัสสนา
หลายคนหลายท่านที่สวดมนต์คิดว่าเพียงแค่สวดให้จบบทแค่นั้นจะทำให้ชีวิตดีขึ้น จะได้เจอแต่สิ่งดี ๆ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่แค่นั้น ถึงแม้ว่าจะสวด 108 จบ ก็ยังไม่ได้กุศลเท่ากับสวดเพียงจบเดียวขณะจิตเป็นสมาธิ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่การสวดมนต์ยังไม่ทำให้เกิดผล ผู้ปฏิบัติจึงต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติเป็นประจำ ดังนั้นการสวดมนต์ไม่ใช่แค่ 1 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งแต่ละคนใช้เวลาไม่เหมือนกันที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิได้ในขณะสวดมนต์ ถ้าปฏิบัติก่อนก็ได้เปรียบก่อน เมื่อปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จิตเราก็จะเป็นสมาธิ
2. ให้เทวดาร่วมอนุโมทนาบุญในการสวดมนต์และให้พร
ทุก ๆ ครั้งที่เราสวดมนต์ก็จะมีเทวดาสิ่งศักดิ์มาร่วมอนุโมทนาบุญ เราได้เพิ่มกำลังบุญให้ตัวเองแล้ว เรายังเพิ่มกำลังบุญให้กับเทวดาทั้งหลายอีกด้วย เมื่อท่านทั้งหลายได้รับบุญกุศลเราก็ได้บุญเพิ่มมากขึ้นและท่านก็จะประทานพรให้เราได้สมหวัง แต่ด้วยมนุษย์เหม็นสาบกิเลส เทวดาที่มาร่วนอนุโมทนาบุญกับเราจึงน้อยนัก อย่างมากก็แค่เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใกล้ตัว พรที่ได้รับจึงส่งผลน้อย เราจึงต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์เป็นภาชนะที่สะอาดพร้อมที่จะรองรับสิ่งดีที่จะเข้ามาในชีวิตด้วยการสมาทานศีล 5 และอัญเชิญเทวดาทุกครั้ง เพื่อให้เทพยาดาทั่วสากลโลกมาร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา เมื่อเทวดาที่มีบุญสัมพันธ์กับเราหรือมีกำลังบุญมาก ท่านก็จะประทานพรแก่เราให้เกิดผลได้ทันตา ดังนั้นการไหว้พระสวดมนต์ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
2. ตั้งเทียนที่เชิงเทียนให้เรียบร้อย จากนั้นทำจิตให้สงบ เริ่มจากจุดเทียนทางซ้ายให้ระลึกถึงพระธรรม ทางขวาให้ระลึกถึงพระวินัย นำธูป 3 ดอก จุดไฟจากเทียน จากนั้นปักธูปดอกที่หนึ่งระลึกถึงพระปัญญาธิคุณ ดอกที่สองระลึกถึงพระบริสุทธิคุณ ดอกที่สามระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ (ถ้าไม่สะดวกจุดธูปเทียนก็ไม่เป็นไร แต่ต้องตั้งเทียนและปักธูปไว้) แล้วกราบหนึ่งพระพุทธเจ้า กราบสองพระธรรมเจ้า กราบสามพระสังฆเจ้า
3. บทบูชาพระรัตนตรัย อิมินา สักกาเรนะ
4. บทกราบพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมา
5. บทขอขมาพระรัตนตรัย สัพพัง อะปะราธัง/ วันทามิ พุทธัง
6. คำอาราธนาศีล 5 มะยัง ภันเต
7. คำสมาทานศีล 5 ปาณาติปาตา
เราต้องสมาทานศีลชำระจิตใจให้สะอาดก่อนสร้างบุญกุศลทุกครั้ง กุศลผลบุญนั้นจึงจะส่งผลได้เต็มที่ หลายท่านคิดว่าถือศีลได้ไม่ครบทุกข้อก็เลยไม่สมาทานศีล ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะการสมาทานศีลนั้น เวลาที่เรากำลังทำผิดศีลเราจะระลึกได้และรู้ตัวเองว่ากำลังทำผิดศีล เมื่อเราระลึกได้บ่อย ๆ จิตใจเราจะยกระดับสูงขึ้นทำให้เลี่ยงการทำผิดศีล และจะสามารถถือศีลได้ครบบริบูรณ์ในที่สุด
8. บทชุมนุมเทวดา ผะริตวานะ เมตตัง
บทชุมนุมเทวดานี้เป็นบทที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าได้ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำจะสามารถทำให้พระพุทธรูปที่ไม่ผ่านการพุทธาภิเษกกลายเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเป็นการเชิญเทพยาดามาสถิตหรือปกปักรักษาหรือกราบไหว้พระพุทธรูปองค์นั้น ๆ และยังเป็นการเชิญเทวดามาร่วมอนุโมทนาบุญการไหว้พระสวดมนต์อีกด้วย
9. บทนอบน้อมพระพุทธเจ้า นะโม ตัสสะ
10. บทไตรสรณคมน์ พุทธัง สะระณัง
11. บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิติปิ โส
การไหว้พระสวดมนต์ต้องสวดข้อ 3-5 ตามลำดับก่อนเสมอ ส่วนข้อ 6-11 สามารถสลับลำดับการสวดก่อนหลังได้ หนังสือสวดมนต์แต่ละเล่มเรียงไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครถนัดแบบไหน แต่ต้องสวดให้ครบทุกบท จากนั้นจึงค่อยสวดพระคาถาที่ให้อนุภาพกำลังบุญสูงที่จะสามารถแผ่บุญกุศลได้
12. บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชินบัญชร
พาหุง มหากา มงคลสูตร บารมี 30 ทัศ
กะระณียะเมตตะสุตตัง โพชณังคปริตร ยันทุน
ป้องกันภัย 10 ทิศ มงคลจักรวาล 8 ทิศ มหาจักรพรรดิ ฯลฯ
ถ้าจะสวดบทเดียวก็ให้สวดธัมมจักหรือยอดพระกัณฑ์ แต่บทอื่น ๆ ก็สวดอย่างน้อยครั้งละ 2 บทขึ้นไป เนื่องจากน้อยคนนักที่สวดบทสั้นแล้วจิตเป็นสมาธิ กว่าจิตเราจะนิ่งสงบต้องใช้เวลา ดังนั้นควรจะสวดให้ได้หลาย ๆ บท ครั้งละนาน ๆ
13. อัญเชิญเทวดากลับ ทุกขัปปัตตา
14. บทสัพพมงคลคาถา ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง
15. นั่งสมาธิแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล ปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานได้ยิ่งดี
16. แผ่เมตตาหลังจากออกสมาธิและกรวดน้ำ
3. เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรม
เคยไหมเวลาไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ไม่เคยสมหวังไม่เคยได้โชคเลย แต่ทำไมคนอื่นขอพรถึงได้ตามที่เขาปรารถนา บางคนบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์เทพต่าง ๆ แล้วชีวิตดีขึ้น แต่บางคนบูชาแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นเลย เงินก็ไม่ได้ โชคก็ไม่มี สาเหตุมีอยู่สองอย่างคือ 1.บุญกุศลน้อย 2.เจ้ากรรมนายเวรคอยขัดขวาง ซึ่งทั้งสองสาเหตุมีวิธีแก้ไขดังต่อไปนี้
บุญกุศลน้อยก็แค่ทำบุญเป็นประจำ ไหว้พระสวดมนต์ ทำทานตามกำลังศรัทธา เมื่อได้เงินจากการทำมาหากินก็แบ่งไว้ทำบุญบางส่วน บางคนบุญไม่ยอมทำ บุญเก่าก็ไม่มี แต่ขอให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะประทานพรให้เราได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อได้ทำบุญแล้วเราจะต้องอุทิศให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรากราบไหว้หรือที่เราไปขอพรด้วย เพื่อเชื่อมบุญให้ท่านได้เมตตาประทานพรให้เรา ถ้าที่บ้านบูชาพระพิฆเนศ พญาครุฑ พญานาคาราช หรือนางกวักกุมารทอง แล้วอุทิศบุญให้เสมอ ไม่ว่าจะทำบุญทำทาน ไหว้สวดมนต์ หรือเจริญภาวนาปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อได้ขอพรก็จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่หวัง แต่ไม่ว่าจะยังไงพรจะเกิดผลไม่ได้ถ้าเจ้ากรรมนายเวรยังคอยขัดขวาง
เจ้ากรรมนายเวรยังเป็นอีกสาเหตุที่คอยขัดขวางการเจริญรุ่งเรืองไม่ให้ชีวิตเราดีขึ้น บางคนจึงสงสัยว่าที่ผ่านมาทำบุญใหญ่ตลอด เป็นเจ้าภาพหล่อพระ สร้างโบสถ์วิหาร แต่ทำไมชีวิตยังไม่ดีขึ้นสักที ก็เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอมอโหสิกรรมให้ นอกจากจะทำบุญให้แล้วยังต้องกรวดน้ำให้ถูกต้อง เพราะบางทีเราทำบุญใหญ่ แต่กำลังบุญเราส่งไปไม่ถึงเจ้ากรรมนายเวร บุญที่ได้ทำก็จะเป็นเสบียงบุญรอโอกาสที่จะส่งผลในภายภาคหน้า ดังนั้นจึงต้องส่งผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวรโดยตรงด้วยการกรวดน้ำให้ถูกวิธี การกรวดน้ำส่งผลบุญเราต้องส่งผ่านแม่พระคงคา แม่พระธรณี ให้ท่านเป็นพยานในบุญที่เราสร้าง ด้วยการกรวดน้ำลงดิน นอกจากนั้นให้เชื่อมบุญกับผู้มีวาสนาบารมีสูงอย่างพระโพธิสัตว์ พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เรานับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ท่านได้บำเพ็ญบารมีมามากเพื่อที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต บุญบารมีท่านจึงมีกำลังสูงซึ่งท่านยังทำยังเมตตาโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์อีกด้วย ดังนั้นจึงต้องเชื่อมบุญให้ท่านช่วยแผ่เมตตาไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเรา เมื่อได้กรวดน้ำหลังจากไหว้พระสวดมนต์หรือทำบุญทุกครั้งจนเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ จากนั้นผลบุญทั้งหมดจึงจะส่งผล (บทกรวดน้ำอยู่หน้าสุดท้าย)
4. บุญกุศลได้ส่งผล
การไหว้พระสวดมนต์เป็นการทำให้ผลบุญส่งผลเร็วขึ้น แต่การที่ผลบุญจะส่งผลนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรรมดี และบุญกุศลที่ได้ทำในอดีตและปัจจุบัน ดังนั้นผลบุญของแต่ละคนที่ได้รับจึงไม่เหมือนกัน ถ้าอยากสุขสบายในภายภาคหน้าก็ให้ทำบุญทำทานเยอะ ๆ ซึ่งก็แล้วแต่อานิสงส์ของบุญแต่ละอย่างที่ได้ทำ ผลบุญจะส่งผลแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการจัดสรรของกรรมดีกรรมชั่วแต่ละคน บางคนอาจจะไม่ได้ทรัพย์สินเงินทองแต่ได้ความสุขทางใจ ปราศจากโรคภัย บางคนอาจจะได้มิตรภาพบริวารที่ดี ปัญหาต่าง ๆ คลี่คลาย ดังนั้นจงอย่าน้อยใจในโชคชะตา อย่าโลภในผลบุญที่ได้จนเกินกำลังบุญตัวเอง คิดเสียว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดในพุทธศาสนาที่มีคำสอนให้เราลดทำกรรมชั่ว ให้สร้างแต่กรรมดี
สุดท้ายนี้จากปัจจัยทั้ง 4 ข้อ ลองกลับไปทบทวนดูว่าเป็นเพราะปัจจัยข้อใดที่ทำให้การไหว้พระสวดมนต์ของเรายังไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น การทำให้จิตเป็นสมาธิขณะสวดมนต์ว่ายากแล้ว แต่การทำให้เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรมยากยิ่งกว่า จึงขอเป็นกำลังให้ทุกท่านปฏิบัติต่อไป เมื่อน้ำหยดบนหินทุกวันหินมันยังกร่อน ถ้าเราอุทิศบุญให้เขาทุกวันทำไมเขาจะไม่ยอมให้อภัยเรา
ไหว้พระสวดมนต์ให้ชีวิตดีขึ้นทันตาเห็น
หลายคนอาจจะสงสัยว่าได้ไหว้พระสวดมนต์มาตั้งนานทำไมชีวิตไม่ดีขึ้นสักที การจะไหว้พระสวดมนต์และทำให้ชีวิตดีขึ้นนั้น มีหลัก 4 ข้อ คือ1.จิตต้องเป็นสมาธิขณะสวดมนต์ 2.ให้เทวดาร่วมอนุโมทนาบุญในการสวดมนต์และให้พร 3.เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรม 4.บุญกุศลได้ส่งผล เมื่อองค์ประกอบทั้ง 4 ข้อครบถ้วนบริบูรณ์ ชีวิตก็จะพบแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาทันตาเห็น เริ่มจากความทุกข์ค่อย ๆ หายไป ความสุขใจค่อย ๆ เกิดขึ้น จากนั้นความสุขกายสบายใจพร้อมทั้งทรัพย์สิน โชคลาภ ก็จะตามมา
องค์ประกอบหลัก 4 ข้อในการไหว้พระสวดมนต์
1. จิตต้องเป็นสมาธิขณะสวดมนต์
การสวดมนต์ภาวนาทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะกวาดบ้าน ถูบ้าน หรือแม้กระทั้งเปิดเสียงสวดมนต์แล้วสวดตาม ซึ่งกุศลผลบุญนั้นเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะ แต่กำลังผลบุญยังไม่มากพอที่จะแผ่ไปให้ไพศาล ดังนั้นการสวดมนต์ภาวนาที่ได้กำลังบุญมากพอควรจะทำให้จิตเป็นสมาธิขณะสวด ซึ่งการสวดมนต์ก็คลายกับการนั่งสมาธิ ถ้าจิตสงบขณะนั่งสมาธิเพียงชั่วช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังได้อานิสงส์ผลบุญมากกว่าตักบาตรถวายสังฆทาน ฉะนั้นการสวดมนต์ภาวนาขณะจิตเป็นสมาธิก็จะได้กุศลผลบุญที่มีกำลังมากกว่าเช่นกัน ขณะสวดมนต์จึงให้จดจ่ออยู่กับอักขระตัวอักษรของบทสวด ไม่วอกแวก ถ้าจิตกำลังคิดก็ให้รู้ว่าคิดแล้วก็ดึงกลับมาที่ตัวอักษรเป็นวิปัสสนา
หลายคนหลายท่านที่สวดมนต์คิดว่าเพียงแค่สวดให้จบบทแค่นั้นจะทำให้ชีวิตดีขึ้น จะได้เจอแต่สิ่งดี ๆ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่แค่นั้น ถึงแม้ว่าจะสวด 108 จบ ก็ยังไม่ได้กุศลเท่ากับสวดเพียงจบเดียวขณะจิตเป็นสมาธิ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่การสวดมนต์ยังไม่ทำให้เกิดผล ผู้ปฏิบัติจึงต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติเป็นประจำ ดังนั้นการสวดมนต์ไม่ใช่แค่ 1 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งแต่ละคนใช้เวลาไม่เหมือนกันที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิได้ในขณะสวดมนต์ ถ้าปฏิบัติก่อนก็ได้เปรียบก่อน เมื่อปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จิตเราก็จะเป็นสมาธิ
2. ให้เทวดาร่วมอนุโมทนาบุญในการสวดมนต์และให้พร
ทุก ๆ ครั้งที่เราสวดมนต์ก็จะมีเทวดาสิ่งศักดิ์มาร่วมอนุโมทนาบุญ เราได้เพิ่มกำลังบุญให้ตัวเองแล้ว เรายังเพิ่มกำลังบุญให้กับเทวดาทั้งหลายอีกด้วย เมื่อท่านทั้งหลายได้รับบุญกุศลเราก็ได้บุญเพิ่มมากขึ้นและท่านก็จะประทานพรให้เราได้สมหวัง แต่ด้วยมนุษย์เหม็นสาบกิเลส เทวดาที่มาร่วนอนุโมทนาบุญกับเราจึงน้อยนัก อย่างมากก็แค่เทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใกล้ตัว พรที่ได้รับจึงส่งผลน้อย เราจึงต้องทำให้ตัวเองบริสุทธิ์เป็นภาชนะที่สะอาดพร้อมที่จะรองรับสิ่งดีที่จะเข้ามาในชีวิตด้วยการสมาทานศีล 5 และอัญเชิญเทวดาทุกครั้ง เพื่อให้เทพยาดาทั่วสากลโลกมาร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา เมื่อเทวดาที่มีบุญสัมพันธ์กับเราหรือมีกำลังบุญมาก ท่านก็จะประทานพรแก่เราให้เกิดผลได้ทันตา ดังนั้นการไหว้พระสวดมนต์ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
2. ตั้งเทียนที่เชิงเทียนให้เรียบร้อย จากนั้นทำจิตให้สงบ เริ่มจากจุดเทียนทางซ้ายให้ระลึกถึงพระธรรม ทางขวาให้ระลึกถึงพระวินัย นำธูป 3 ดอก จุดไฟจากเทียน จากนั้นปักธูปดอกที่หนึ่งระลึกถึงพระปัญญาธิคุณ ดอกที่สองระลึกถึงพระบริสุทธิคุณ ดอกที่สามระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ (ถ้าไม่สะดวกจุดธูปเทียนก็ไม่เป็นไร แต่ต้องตั้งเทียนและปักธูปไว้) แล้วกราบหนึ่งพระพุทธเจ้า กราบสองพระธรรมเจ้า กราบสามพระสังฆเจ้า
3. บทบูชาพระรัตนตรัย อิมินา สักกาเรนะ
4. บทกราบพระรัตนตรัย อะระหัง สัมมา
5. บทขอขมาพระรัตนตรัย สัพพัง อะปะราธัง/ วันทามิ พุทธัง
6. คำอาราธนาศีล 5 มะยัง ภันเต
7. คำสมาทานศีล 5 ปาณาติปาตา
เราต้องสมาทานศีลชำระจิตใจให้สะอาดก่อนสร้างบุญกุศลทุกครั้ง กุศลผลบุญนั้นจึงจะส่งผลได้เต็มที่ หลายท่านคิดว่าถือศีลได้ไม่ครบทุกข้อก็เลยไม่สมาทานศีล ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะการสมาทานศีลนั้น เวลาที่เรากำลังทำผิดศีลเราจะระลึกได้และรู้ตัวเองว่ากำลังทำผิดศีล เมื่อเราระลึกได้บ่อย ๆ จิตใจเราจะยกระดับสูงขึ้นทำให้เลี่ยงการทำผิดศีล และจะสามารถถือศีลได้ครบบริบูรณ์ในที่สุด
8. บทชุมนุมเทวดา ผะริตวานะ เมตตัง
บทชุมนุมเทวดานี้เป็นบทที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าได้ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำจะสามารถทำให้พระพุทธรูปที่ไม่ผ่านการพุทธาภิเษกกลายเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเป็นการเชิญเทพยาดามาสถิตหรือปกปักรักษาหรือกราบไหว้พระพุทธรูปองค์นั้น ๆ และยังเป็นการเชิญเทวดามาร่วมอนุโมทนาบุญการไหว้พระสวดมนต์อีกด้วย
9. บทนอบน้อมพระพุทธเจ้า นะโม ตัสสะ
10. บทไตรสรณคมน์ พุทธัง สะระณัง
11. บทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อิติปิ โส
การไหว้พระสวดมนต์ต้องสวดข้อ 3-5 ตามลำดับก่อนเสมอ ส่วนข้อ 6-11 สามารถสลับลำดับการสวดก่อนหลังได้ หนังสือสวดมนต์แต่ละเล่มเรียงไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครถนัดแบบไหน แต่ต้องสวดให้ครบทุกบท จากนั้นจึงค่อยสวดพระคาถาที่ให้อนุภาพกำลังบุญสูงที่จะสามารถแผ่บุญกุศลได้
12. บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ชินบัญชร
พาหุง มหากา มงคลสูตร บารมี 30 ทัศ
กะระณียะเมตตะสุตตัง โพชณังคปริตร ยันทุน
ป้องกันภัย 10 ทิศ มงคลจักรวาล 8 ทิศ มหาจักรพรรดิ ฯลฯ
ถ้าจะสวดบทเดียวก็ให้สวดธัมมจักหรือยอดพระกัณฑ์ แต่บทอื่น ๆ ก็สวดอย่างน้อยครั้งละ 2 บทขึ้นไป เนื่องจากน้อยคนนักที่สวดบทสั้นแล้วจิตเป็นสมาธิ กว่าจิตเราจะนิ่งสงบต้องใช้เวลา ดังนั้นควรจะสวดให้ได้หลาย ๆ บท ครั้งละนาน ๆ
13. อัญเชิญเทวดากลับ ทุกขัปปัตตา
14. บทสัพพมงคลคาถา ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง
15. นั่งสมาธิแล้วแต่จริตของแต่ละบุคคล ปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานได้ยิ่งดี
16. แผ่เมตตาหลังจากออกสมาธิและกรวดน้ำ
3. เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรม
เคยไหมเวลาไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ไม่เคยสมหวังไม่เคยได้โชคเลย แต่ทำไมคนอื่นขอพรถึงได้ตามที่เขาปรารถนา บางคนบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์เทพต่าง ๆ แล้วชีวิตดีขึ้น แต่บางคนบูชาแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นเลย เงินก็ไม่ได้ โชคก็ไม่มี สาเหตุมีอยู่สองอย่างคือ 1.บุญกุศลน้อย 2.เจ้ากรรมนายเวรคอยขัดขวาง ซึ่งทั้งสองสาเหตุมีวิธีแก้ไขดังต่อไปนี้
บุญกุศลน้อยก็แค่ทำบุญเป็นประจำ ไหว้พระสวดมนต์ ทำทานตามกำลังศรัทธา เมื่อได้เงินจากการทำมาหากินก็แบ่งไว้ทำบุญบางส่วน บางคนบุญไม่ยอมทำ บุญเก่าก็ไม่มี แต่ขอให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะประทานพรให้เราได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อได้ทำบุญแล้วเราจะต้องอุทิศให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรากราบไหว้หรือที่เราไปขอพรด้วย เพื่อเชื่อมบุญให้ท่านได้เมตตาประทานพรให้เรา ถ้าที่บ้านบูชาพระพิฆเนศ พญาครุฑ พญานาคาราช หรือนางกวักกุมารทอง แล้วอุทิศบุญให้เสมอ ไม่ว่าจะทำบุญทำทาน ไหว้สวดมนต์ หรือเจริญภาวนาปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อได้ขอพรก็จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่หวัง แต่ไม่ว่าจะยังไงพรจะเกิดผลไม่ได้ถ้าเจ้ากรรมนายเวรยังคอยขัดขวาง
เจ้ากรรมนายเวรยังเป็นอีกสาเหตุที่คอยขัดขวางการเจริญรุ่งเรืองไม่ให้ชีวิตเราดีขึ้น บางคนจึงสงสัยว่าที่ผ่านมาทำบุญใหญ่ตลอด เป็นเจ้าภาพหล่อพระ สร้างโบสถ์วิหาร แต่ทำไมชีวิตยังไม่ดีขึ้นสักที ก็เพราะเจ้ากรรมนายเวรไม่ยอมอโหสิกรรมให้ นอกจากจะทำบุญให้แล้วยังต้องกรวดน้ำให้ถูกต้อง เพราะบางทีเราทำบุญใหญ่ แต่กำลังบุญเราส่งไปไม่ถึงเจ้ากรรมนายเวร บุญที่ได้ทำก็จะเป็นเสบียงบุญรอโอกาสที่จะส่งผลในภายภาคหน้า ดังนั้นจึงต้องส่งผลบุญให้เจ้ากรรมนายเวรโดยตรงด้วยการกรวดน้ำให้ถูกวิธี การกรวดน้ำส่งผลบุญเราต้องส่งผ่านแม่พระคงคา แม่พระธรณี ให้ท่านเป็นพยานในบุญที่เราสร้าง ด้วยการกรวดน้ำลงดิน นอกจากนั้นให้เชื่อมบุญกับผู้มีวาสนาบารมีสูงอย่างพระโพธิสัตว์ พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เรานับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ท่านได้บำเพ็ญบารมีมามากเพื่อที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต บุญบารมีท่านจึงมีกำลังสูงซึ่งท่านยังทำยังเมตตาโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์อีกด้วย ดังนั้นจึงต้องเชื่อมบุญให้ท่านช่วยแผ่เมตตาไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเรา เมื่อได้กรวดน้ำหลังจากไหว้พระสวดมนต์หรือทำบุญทุกครั้งจนเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ จากนั้นผลบุญทั้งหมดจึงจะส่งผล (บทกรวดน้ำอยู่หน้าสุดท้าย)
4. บุญกุศลได้ส่งผล
การไหว้พระสวดมนต์เป็นการทำให้ผลบุญส่งผลเร็วขึ้น แต่การที่ผลบุญจะส่งผลนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรรมดี และบุญกุศลที่ได้ทำในอดีตและปัจจุบัน ดังนั้นผลบุญของแต่ละคนที่ได้รับจึงไม่เหมือนกัน ถ้าอยากสุขสบายในภายภาคหน้าก็ให้ทำบุญทำทานเยอะ ๆ ซึ่งก็แล้วแต่อานิสงส์ของบุญแต่ละอย่างที่ได้ทำ ผลบุญจะส่งผลแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการจัดสรรของกรรมดีกรรมชั่วแต่ละคน บางคนอาจจะไม่ได้ทรัพย์สินเงินทองแต่ได้ความสุขทางใจ ปราศจากโรคภัย บางคนอาจจะได้มิตรภาพบริวารที่ดี ปัญหาต่าง ๆ คลี่คลาย ดังนั้นจงอย่าน้อยใจในโชคชะตา อย่าโลภในผลบุญที่ได้จนเกินกำลังบุญตัวเอง คิดเสียว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดในพุทธศาสนาที่มีคำสอนให้เราลดทำกรรมชั่ว ให้สร้างแต่กรรมดี
สุดท้ายนี้จากปัจจัยทั้ง 4 ข้อ ลองกลับไปทบทวนดูว่าเป็นเพราะปัจจัยข้อใดที่ทำให้การไหว้พระสวดมนต์ของเรายังไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น การทำให้จิตเป็นสมาธิขณะสวดมนต์ว่ายากแล้ว แต่การทำให้เจ้ากรรมนายเวรยอมอโหสิกรรมยากยิ่งกว่า จึงขอเป็นกำลังให้ทุกท่านปฏิบัติต่อไป เมื่อน้ำหยดบนหินทุกวันหินมันยังกร่อน ถ้าเราอุทิศบุญให้เขาทุกวันทำไมเขาจะไม่ยอมให้อภัยเรา