เหมือนวันวาน...ที่ไม่อาจลืมเลือน

กระทู้สนทนา
เหมือนวันวาน...ที่ไม่อาจลืมเลือน

เรื่องสั้น  อิงประวัติศาสตร์ ที่บางมุมที่คนไทยสมัยนี้ไม่เคยรู้...(เป็นคำบอกเล่าจากปู่และย่าของผูเขียน)


        เสียงของเรือยนต์ดังไปทั่วคุ้งน้ำ  ความเร็วของเรือที่แล่นผ่าน ทำให้น้ำกระเพื่อมขึ้นลงกระทบริมฝั่งคลองเป็น
ระลอก ๆ  ทำให้เรือพาย 2 ลำที่สวนกันโดนคลื่นซัดโอนเอนไปมาตามแรงของคลื่นจนแทบจะพลิกค่ำ แต่คนขับเรือยนต์ลำนั้นก็ยังไม่ลดระดับ
ความเร็วลง ชายชรามองไปที่เรือยนต์ลำนั้น เห็นชายหลายคนอยู่บนเรือ  มองดูก็รู้ว่าเป็นพวกทหารญี่ปุ่น ที่อยู่ในค่ายริมคลอง
บางกอกน้อยใกล้ ๆ แถวนี้
    “มันจะเร่งรีบไปถึงไหนกัน”  ชายชราที่นั่งอยู่บนเรืออีกลำที่แล่นสวนมาตะโกนไล่หลังเรือยนต์ลำนั้นไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก  
แกดึงผ้าขาวม้าที่คาดเอวขึ้นมาเช็ดละอองน้ำที่สาดกระเซ็นมาโดนทั้งใบหน้าและเนื้อตัว
    “นั่นนะซี  คงรีบร้อนตามหาเชลยฝรั่งที่หายไปกระมัง  ถึงได้ขับเร็วขนาดนั้น” หญิงชราที่นั่งอยู่ที่เรืออีกลำหนึ่งสอดขึ้น
พลางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดละอองน้ำที่กระเซ็นมาถูกตัวเช่นกัน
    “อีกแล้วรึ แม่สุก” ชายชราหันมาถามเสียงเรียบ ๆ   มิได้มีอาการใด ๆ   เพราะแกได้ยินบ่อย  เรื่องเชลยฝรั่งที่ถูกญี่ปุ่นจับขังในค่าย หายตัวไป   วันนี้ก็คงเช่นเคย พวกทหารญี่ปุ่นจะระดมกำลังออกตามหากันทั่วหมู่บ้าน ทุกบ้าน  แต่ก็ไม่ได้ตัวกลับคืนสักที เชลยในค่ายก็ลดน้อยถอยลงไป  แม้ว่าทางค่ายของญี่ปุ่นจะเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังมีเชลยฝรั่งใช้ความพยายามหนีออกมาจนได้
    “ใช่   ยายสุกยืนยัน เฒ่าแหวงบอกข้าเมือเช้านี้”  เฒ่าแหวงที่แม่สุกเอ่ยถึงคือสามีของนางเอง
    “เฮ้อ ..ข้าละกลุ้มใจเหลือหลาย เมื่อไหร่สงครามพวกนี้มันจะหยุดสักที ถ้ามันหยุดได้  คนในหมู่บ้านของเราจะได้ไม่ต้องวิ่งหนีระเบิดกันหัวซุกหัวซุนอย่างทุกวันนี้ ข้าละอยู่ไม่เป็นสุขเลย”  เฒ่าสุกพูดเสียยืดยาวด้วย น้ำเสียงที่ระอากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น    
    “ข้าก็ว่างั้นแหละ” ยายสุกเออออ  
             “แกไปไหนมาล่ะ” ตาอ่ำถาม พลางชะโงกหน้าดูสัมภาระในเรือหญิงชรา
             “ข้าไปตลาดมา ไปซื้อของแห้ง แล้วก็ข้าวสารที่ร้านไอ้ตี๋ มันแบ่งให้นิดเดียวเอง มันบอกเอาไว้ขายให้พวกญี่ปุ่น ได้เงินเยอะกว่า”หญิงชราบอกพรางยกถุงข้าวสารขนาดย่อมที่ได้มาให้ตาอ่ำดู แกถอนหายใจเบา ๆ พูดพึมพำ “ให้ข้านิดเดียวแค่นี้ ที่บ้านข้ามี 3 ปาก  นี่จะกินได้สักกี่วัน”  
            “เอาเถอะ ดีกว่าไม่มีกิน” ตาอ่ำบอก
            “ว่าแต่แก กำลังจะไปไหน” คราวนี้ยายสุกเปลี่ยนเรื่องย้อนถามบ้าง
    “ข้าว่าจะไปหาหลวงพ่อที่วัดหน่อย   หลวงพ่อนัดญาติโยมให้ไปฟัง ไม่รู่ว่ามีเรื่องอะไร  ข้าไปนะ” พูดเสร็จชายชรา
ยกไม้พายจ้วงลงน้ำ พายเรือมุ่งไปยังเบื้องหน้า  ส่วนยายสุก เบนหัวเรือพายเรือเทียบริมฝั่งคลอง
       ก่อนหน้านี้  หญิงชราจำได้ว่าพวกข้าวสาร อาหารแห้งต่าง ๆ  หาซื้อได้ง่าย ไม่เคยขาดแคลนเลย  ยิ่งรัฐบาลประกาศ
รณรงค์ให้ประชาชนทำงาน ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ว่าเป็นการเสริมสร้างเศรษฐกิจ โดยมีคำขวัญปลุกใจว่า "'งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข" ป่าวประกาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  ทุก ๆวัน ยิ่งทำให้ชาวบ้านขยันขึ้นอีกเท่าตัว แต่แกก็ไม่รู้จุดหมายหรอกว่า รัฐบาลรณรงค์เรื่องนี้เพราะอะไร จวบจนเห็นทหารญี่ปุ่นจำนวนมาก และมีฝรั่ง อีกหลายร้อยคน มาตั้งค่ายอยู่ริมตลิ่งเลยหัวโค้งน้ำใกล้บ้านแกไปประมาณสัก 2  กิโลเมตร แกจึงได้เข้าใจ  เพราะข้าวปลา อาหารที่ชาวบ้านหามาได้ พวกญี่ปุ่นเหมาซื้อไปหมด โดยไม่เกี่ยงราคา  ชาวบ้านมีสินค้าเท่าไหร่ก็เข็นมาขายให้และมีไม่พอขายด้วยซ้ำไป  พ่อค้าเริ่มกักตุนสิ่งของ อีกทั้งยัง ขึ้นราคาสินค้าเพื่อเอากำไรอีก     ทำให้ชาวบ้านบริเวณแถบนี้ ต่างหน้าตั้งหน้าตั้งตาปลูกผักและผลไม้  ไม่ว่าจะเป็นสวนมะพร้าว  มะนาว กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า     บางหมู่บ้านไปค้าขายกันไกล ๆ และต้องออกจากบ้านกันแต่เช้ามืด ต้องห่อข้าวไปกินกันกลางทาง  เอาไปขายที่ตลาดในวัด หรือตามย่านต่าง ๆ  
       สำหรับตัวยายสุก แกกับลูกสาว จะปลูกผักสวนครัวตามกำลังที่มีอยู่  ส่วนหนึ่งปลูกไว้กิน ส่วนหนึ่งนังนิ่มลูกสาววัย 16 ปี ก็เก็บไปขายที่ตลาด   เงินที่ได้ก็เล็กน้อย      จะอาศัยตาแหวงสามีก็คงจะไม่ได้เรื่องอะไร เพราะตั้งแต่ทหารญี่ปุ่นมาตั้งค่ายใกล้บ้าน สามีแก่ก็ไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน  เมื่อถึงตอนพลบค่ำเป็นต้องลงเรือน บอกแต่ว่าต้องไปอยู่เป็นเพื่อนหลวงพ่อที่วัด  สำหรับลูกชายแก ไม่ต้องพูดถึง สมัครไปเป็นทหารตั้งแต่ทหารญี่ปุ่นยกพลเข้าเมืองไทยแล้ว  
       พวกทหารญี่ปุ่นเขามาทำอะไรที่นี่  แกไม่รู้ จวบจนตาแหวงสามีแกบอกกล่าวขึ้น ว่า  “พวกทหารญี่ปุ่นรบกับทหารฝรั่ง  หลวงพ่อที่วัดบอกว่าทหารญี่ปุ่นขอผ่านแดนไทยเพื่อจะไปพม่า”    หญิงชราจึงรู้มาเพียงแค่นี้              
    ชาวบ้านบริเวณนี้ จะนับถือหลวงพ่อที่วัดมาก หลวงพ่อพูดอะไร ทุกคนจะเชื่อหมด  หลวงพ่อท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านบริเวณนี้
             วันนั้น หญิงชรายังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้แม่นยำ
    พลบค่ำวันนั้น มีเครื่องบินหลายลำ  บินอยู่บนท้องฟ้า ไม่นานเสียงดังตูมดังสนั่นขึ้นหลายครั้ง  ชาวบ้านแถวริมคลองรวมทั้งแกด้วย ต่างตระหนกตกใจ พากันอกสั่นขวัญแขวน  เป็นเสียงอะไรมันจึงดังได้ขนาดนั้น
    “ระเบิดลง”  เสียงชาวบ้านแถวนั้นตะโกนบอกกันอื้ออึง  “ลงจากเรือนเร็ว ๆ เข้า”  ชาวบ้านทั้งหลายที่ได้ยิน รวมทั้งตัวแกเอง และนังนิ่ม  ลูกสาว  พากันวิ่งลงเรือนแทบจะตกบันใด   ฉุดกระชากลากกันหายเข้าไปในสวนหลังบ้าน  กระโดดลงไปในร่องน้ำแล้วห่อตัวนั่งคดคู้  ใจเต้น ตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว ที่เห็นขอบฟ้าสีแดงวาบ ๆ และหูได้ยินเสียงดังตูม ๆ  
            ทุกครั้งที่ระเบิดลง  แรงของระเบิดสะเทือนแผ่นดินไปทั่วบริเวณ   ภาพและเสียงที่ได้ยินนั้น มันน่ากลัวเหลือเกิน  จวบจนเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินเหล่านั้นเงียบเสียงหายไป และมีเสียงหวอดังมาจากวัดนั่นแหละ  แกกับลูกสาว จึงค่อย ๆ พากันโผล่หัว  ขึ้นจากท้องร่อง มองซ้าย มองขวา เห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว จึงพากันกลับไปที่เรือน  เห็นตาแหวงสามีของยืนอยู่บนเรือนตรงทางขึ้นบันใด
    “ตาแหวง”  “พ่อ”   สองแม่ลูกตะโกนขึ้นพร้อมกัน
             “แกไปอยู่เสียที่ไหนมา  ข้าละเป็นห่วงแทบแย่” ยายสุกถามด้วยเสียงที่ร้อนรนและเป็นห่วง  
             “นั่นนะซีพ่อ ข้ากับแม่เป็นห่วงพ่อเสียแทบแย่”  นังนิ่ม ลูกสาวพูดขึ้นบ้าง พลางวิ่งขึ้นเรือนเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นพ่อ
             “ข้าก็อยู่แถว ๆ นี้แหละ” ตาแหวงบอกลูกสาว น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่ได้ตกอกตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเท่าใดนัก
             “ปลอดภัยกันทุกคนก็ดีแล้ว รีบกินข้าวแล้วดับไฟเข้านอนแต่หัววัน”  ตาแหวงบอกภรรยากับลูกสาว   ส่วนตัวแกเองเตรียมขยับเท้าก้าวจะลงบันใด
             “จะไปไหนอีกละ  ”  ยายสุกร้องถามทันที “แกไม่กลัวเหรอ ระเบิดน่ะ ”
             “ไม่กลัวหรอก ข้าจะไปหาหลวงพ่อหน่อย ข้ามีเรื่องปรึกษา”  พูดจบตาแหวงก้าวลงเรือนจ้ำอ้าวไปในทันที  ยายสุกมองตามจนลับตา  เป็นห่วงสามีอยู่ในใจลึก ๆ  ระเบิดเพิ่งจะลง  ยังจะไปนอกบ้านอีก มืดค่ำอย่างนี้
            เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น  ชาวบ้านต่างขนเครื่องไม้เครื่องมือก่อสร้าง  เช่น จอบ เสียม ถึงน้ำ  ฆ้อน ตะปู  ไม้  สังกะสี ไปที่วัด
            หลวงพ่อที่วัดระดมชาวบ้านทำหลุมหลบภัย ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าใดนักจะ อยู่ในระยะที่ชาวบ้านสามารถวิ่งลงจากเรือนไปที่หลุมหลบภัยได้ทันเมื่อได้ยินเสียงเตือนดังขึ้น  หลุมหลบภัยของหลวงพ่อนั้น ท่านให้ทำแบบง่าย ๆ โดยให้ขุดหลุมลึก และกว้างพอประมาณ เอาไม้ ลงไปวางเรียงกันไว้ใต้หลุม  หลังคาก็ใช้ไม้พาดปากหลุมแล้วเอาสังกะสีทับไว้  ทำไว้หลายหลุม  ชาวบ้านบางคนบอกหลวงพ่อว่า หากมีระเบิดทิ้งลงจริงๆแล้ว  หลุมหลบภัยแบบนี้ จะคุ้มชีวิตได้หรือ   แต่ทุก ๆครั้งที่ได้ยินเสียงเครื่องบินแว่วมาแต่ไกลในยามค่ำคืน ชาวบ้านก็จะวิ่งกรูกันไปที่หลุม แย่งกันลงไปนั่งเยียดเสียดในหลุมหลบภัยใต้หลังคาสังกะสีของหลวงพ่อทุกครั้งไป
    บางครอบครัว ก็จะจัดทำหลุมหลบภัยขึ้นเองใกล้บ้าน ตรงท้องร่องในสวน  ตามแต่จะจัดทำที่สามารถหลบภัยระเบิดได้ ซึ่งแตกต่างกันไป
            ต่อมา รัฐบาลได้ติดตั้งสัญญาณเตือนภัย จะเรียกเสียงนี้ว่า "เสียงหวอ"      เมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินบินเข้ามา หน่วยระวังภัยของรัฐบาลจะส่งสัญญาณเตือนโดยการเปิดเสียงหวอก้องกังวานไปทั่วคุ้งน้ำ  จะได้ยินกันทั่วทั้งบาง  แล้วชาวบ้านก็พากันวิ่งลงจากเรือน ไปหลบภัยที่ท้องร่องในสวนที่ทำไว้ จะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
            มีหลายครัวเรือน กลัวระเบิดมาก ถึงกลับย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น บอกว่าอยู่ใกล้ค่ายทหารญี่ปุ่นแล้วไม่ปลอดภัย     
            สงครามเกิดขึ้นล่วงเลยมาได้กว่า 3 ปีแล้ว   ทหารญี่ปุ่นก็ยังปักหลักอยู่ที่เดิม ยังไม่ย้ายค่ายไปไหน สงครามก็ไม่มีทีท่าว่าจะยุติ ข้าวสารเริ่มขาดแคลน   ตอนนี้แทบไม่มีให้ซื้อ   เพราะทุกบ้านจะกักตุนเก็บเอาไว้กินเอง  ยิ่งบ้านไหนมีสมาชิกมาก ก็ยิ่งกักตุนของกินของใช้ไว้มากเพื่อปากท้องคนในบ้าน   ในยุคข้าวยากหมากแพง  คนไปวัดก็น้อยลง  บางมื้อหลวงพ่อต้องให้พระเณรหุงหาข้าวฉันเอง เพราะไม่มีชาวบ้านนำข้าวปลาไปถวาย
    หญิงชราก้าวลงจากเรือเดินขึ้นฝั่ง  บ้านของแกตั้งอยู่ริมคลอง  ถึงแม้ว่าแกจะอายุมากแล้ว แต่ การใช้เรือเป็นพาหนะในการสัญจร  ไม่เป็นอุปสรรคใด ๆ สำหรับตัวแกเลย  
             ตัวยายสุกเอง เกิดที่นี่ โตที่นี่  พายเรือเป็นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนเป็นสาวออกเรือน มีลูกชาย ลูกสาว  ไปไหน มาไหนแกก็ไป
ของแกคนเดียวได้ ไม่ต้องอาศัยลูก อาศัยผัว  เพราะแกบอกว่า แกพายเรือคล่องแคล่วกว่าเป็นไหนๆ    จะมีแต่เพียงว่า การยกแข้ง
ยกขาก้าวเท้าขึ้นหรือลงจากเรือ   อาจเชื่องช้าลงบ้าง ก็เป็นไปตามประสาคนมีอายุขัย วัย 55 ปี    

    บ้านของหญิงชรา เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง  คล้าย ๆ กับบ้านหลังอื่น ๆ   การอาศัยอยู่ริมคลอง บ้านต้องปลูกให้ใต้ถุนสูงเข้าไว้   เผื่อน้ำท่วม เพราะไม่รู้ว่าน้ำจะท่วมสูงเท่าไหร่  ทุกปีน้ำจะท่วมไม่เท่ากัน บางปีท่วมมากจนเกือบติดพื้นบน บางปีท่วมเพียงครึ่งเสา   แต่ปีนี้ยังไม่ถึงฤดูหน้าน้ำหลาก  เลยยังไม่รู้ว่าจะท่วมแค่ไหน  แต่ก็คงไม่น้อยไปกว่าปีก่อน ๆ
            นางกำลังจะก้าวขึ้นบันใดบ้าน  แต่ต้องหยุดชะงักนิดหนึ่ง  เสียงไอ้แดง หมาตัวโปรดที่แกเลี้ยงไว้ ส่งเสียงเห่าเป็นระยะ ถี่และดังขึ้นเรื่อย ๆ ตรงพุ่มไม้    ใกล้กับกระท่อมเก็บของ ซึ่งไม่ห่างจากตัวบ้านเท่าใดนัก นางแปลกใจ จึงเงี่ยหูฟัง เพราะปกติหมาตัวโปรดของนางจะไม่ค่อยเห่า  จะส่งเสียงร้องหงิง ๆ และวิ่งไปมาใต้ถุนบ้าน เสียงกระดิ่งดังเป็นจังหวะตามแรงวิ่ง     และเป็นที่รู้กันของคนบ้านนี้ว่าไอ้แดงเริ่มหิว  แล้วนางจะจัดแจงผสมข้าวและกับข้าวที่กินเหลือแต่ละมื้อคลุกเคล้าให้ทั่ว แล้วนำไปวางไว้ใกล้พุ่มไม้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไอ้แดงกินข้าวประจำ  วันนี้นางก็คลุกข้าวใว้ให้แล้วก่อนไปทำธุระ  แต่ทำไมมันยังส่งเสียงไม่หยุด
            “ไอ้แดง   หยุดเห่าได้แล้ว” หญิงชราเอ่ยห้ามปราม  แต่ตรงกันข้าม ไอ้แดงกลับส่งเสียงเห่าถี่และดังขึ้นไม่มีทีท่าจะหยุด
    นางตัดสินใจ ค่อย ๆ ย่องเดินตรงไปยังที่พุ่มไม้ ที่ไอ้แดงยืนเห่า  เมื่อเห็นเหตุการณ์นางก็ต้องผงะ ตกใจสุดขีด เพราะ
เบื้องหน้าของแกในขณะนี้คือร่างของชายผู้หนึ่ง นอนตะแคงคดคู้  ร่างที่ผอมบางนั้น เห็นท้องกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงลมหายใจ  หลับอยู่ข้าง ๆ พุ่มใม้ใกล้กระท่อม โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นสักนิด แม้ว่าเสียงเห่าของไอ้แดงจะดังสักเพียงใดก็ตาม เสื้อยืดสีเทาที่สวมเห็นแล้วสกปรกพอ ๆ กันกับกางเกงสีเดียวกันที่สวมใส่อยู่                                    
    หญิงชรา   หันซ้ายแลขวา เห็นกิ่งไม้ขนาดกลางอยู่ใกล้มือ นางหยิบมันขึ้นมา รวมรวมความกล้าเดินเข้าไปใกล้ร่างที่นอนอยู่ เอาไม้เขี่ยร่างที่ไม่ไหวติงนั้น....
    
(จะเขียนต่อ ถ้ามีเพื่อนๆ อยากจะอ่าน)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่