๕ คำถามที่ควรชัดเจน ก่อนคิดกู้ ๒.๒ ล้านล้านบาท เป็นหนี้ ๕๐ ปี
ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถไฟเป็นยานพาหนะในการเดินทางมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะบ้านอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ผมจึงค่อนข้างเข้าใจพฤติกรรมของประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ใช้รถไฟดีพอสมควร
๑. หากค่าบริการรถไฟความเร็วสูงมีราคาแพงพอๆกับ หรือมากกว่าเครื่องบิน Low-Cost ถามว่า ประชาชนตามบ้านเราที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน มีผู้ใดบ้างที่จะเงินพอจะโดยสารรถไฟความเร็วสูง? คนไทยส่วนใหญ่ยังยากจน ทุกวันนี้คนเหล่านี้ชอบนโยบายรถไฟฟรีกันมาก และแม้เป็นผู้ที่พอมีสตางค์จะจ่าย ถามว่าระหว่างขึ้นเครื่องบินโลคอสกับรถไฟความเร็วสูง แน่ใจหรือว่า คนจะเลือกขึ้นรถไฟ ในเมื่อเสียค่าเดินทางพอๆกัน
๒. แม้ยุทธศาสตร์ของประเทศด้านการคมนาคมโดยรถไฟความเร็วสูง จะสามารถทำให้เมืองไทยกลายเป็น Hub ในการขนส่งของภูมิภาค เชื่อมโยงกับจีนและมาเลเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆที่อยู่โดยรอบ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร หากคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูงนั้น และจะมีคนจีนสักกี่คนเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงจากจีน ลงมามาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เพราะคนเหล่านี้ก็คงเลือกจะขึ้นเครื่องบินแทน
๓. ทุกวันนี้การเดินทางโดยรถไฟมีข้อเสียอย่างเดียวคือ มาไม่ตรงเวลา เพราะต้องเสียเวลาสับหลีกรางกัน หากมีรถไฟรางคู่ ปัญหานี้คงแทบจะหมดไป ประชาชนจะหันมาเดินทางโดยรถไฟกันมากขึ้นมาก เพราะทั้งประหยัดกว่า และที่สำคัญปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับรถทัวร์บขส.และรถตู้
๔. หากเราต้องการจะทำรถไฟความเร็วสูงควบคู่ไปด้วยจริงๆ (เพราะผมสังเกตว่า ที่ดินของการรถไฟเกือบตลอดสองข้างทาง ซึ่งถูกกันที่ไว้ด้วยรั้วเหล็ก มีพื้นที่มากพอสมควร) ผมเคยได้ยินมาว่า ประเทศจีนพร้อมจะลงทุนสร้างให้ประเทศไทยเรา โดยขอแลกกับสัมปทานการเก็บค่าโดยสาร ถ้าเป็นจริง ทางเลือกเช่นนี้มิดีกว่าหรือ? กับการคิดจะกู้เงินมากมายมหาศาล และคนทั้งประเทศต้องเป็นหนี้ไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน (๕๐ ปี)
๕. ผมพูดมาเยอะ และพูดมานานพอสมควรว่า ถ้าปฏิรูปพลังงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะจัดการกับปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ประเทศชาติได้รับ ตั้งแต่ต้นน้ำ คือพรบ. ปิโตรเลียมที่เรายกทรัพยากรปิโตรเลียมให้ต่างชาติไปฟรีๆ แลกกับการได้ค่าสัมปทานแสนจะจิ๊บจ๊อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งได้ประโยชน์ตามสัดส่วน โดยวิธีการแบ่งปันผลผลิตเป็นปริมาณปิโตรเลียม ส่วนใหญ่ประเทศอื่นเขาได้กันเกิน ๘๐ % ขึ้นทั้งนั้น (คิดเป็นเม็ดเงินไม่น่าจะต่ำกว่า ๓ แสนล้านบาทต่อปี) รายได้เข้าประเทศจำนวนนี้มากพอจะนำมาใช้พัฒนาประเทศ โดยแทบไม่ต้องกู้เงินตราต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ (หากดำเนินการพัฒนาประเทศด้วยเศรษฐกิจพอเพียง)
ถ้าเราไม่หวงแหนทรัพยากรของเราเอง เราใจดี ชอบทำบุญสุนทาน ยกทรัพยากรให้ต่างชาติง่ายๆ (เกือบจะเป็นพระเวสสันดรกันทั้งประเทศอยู่แล้ว ไชโยๆ) แต่เราในฐานะอนุชนรุ่นหลังก็ควรจะนึกถึงบรรพชน ซึงยอมรักษาแผ่นดินไทยมาให้เราด้วยชีวิตของท่าน ทำไมเมื่อมาถึงคนรุ่นเราแล้ว เราจึงได้ปฏิบัติต่อมาตุภูมิอย่างไม่รู้คุณแผ่นดิน และตอบแทนคุณแผ่นดินกันเยี่ยงนี้?
ขอได้โปรดพิจารณาไตร่ตรองกันด้วยครับ _/|\_
๕ คำถามที่ควรชัดเจน ก่อนคิดกู้ ๒.๒ ล้านล้านบาท เป็นหนี้ ๕๐ ปี
ผมเป็นคนหนึ่งที่ใช้รถไฟเป็นยานพาหนะในการเดินทางมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะบ้านอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ ผมจึงค่อนข้างเข้าใจพฤติกรรมของประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ใช้รถไฟดีพอสมควร
๑. หากค่าบริการรถไฟความเร็วสูงมีราคาแพงพอๆกับ หรือมากกว่าเครื่องบิน Low-Cost ถามว่า ประชาชนตามบ้านเราที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน มีผู้ใดบ้างที่จะเงินพอจะโดยสารรถไฟความเร็วสูง? คนไทยส่วนใหญ่ยังยากจน ทุกวันนี้คนเหล่านี้ชอบนโยบายรถไฟฟรีกันมาก และแม้เป็นผู้ที่พอมีสตางค์จะจ่าย ถามว่าระหว่างขึ้นเครื่องบินโลคอสกับรถไฟความเร็วสูง แน่ใจหรือว่า คนจะเลือกขึ้นรถไฟ ในเมื่อเสียค่าเดินทางพอๆกัน
๒. แม้ยุทธศาสตร์ของประเทศด้านการคมนาคมโดยรถไฟความเร็วสูง จะสามารถทำให้เมืองไทยกลายเป็น Hub ในการขนส่งของภูมิภาค เชื่อมโยงกับจีนและมาเลเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆที่อยู่โดยรอบ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร หากคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูงนั้น และจะมีคนจีนสักกี่คนเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงจากจีน ลงมามาเลเซีย หรือสิงคโปร์ เพราะคนเหล่านี้ก็คงเลือกจะขึ้นเครื่องบินแทน
๓. ทุกวันนี้การเดินทางโดยรถไฟมีข้อเสียอย่างเดียวคือ มาไม่ตรงเวลา เพราะต้องเสียเวลาสับหลีกรางกัน หากมีรถไฟรางคู่ ปัญหานี้คงแทบจะหมดไป ประชาชนจะหันมาเดินทางโดยรถไฟกันมากขึ้นมาก เพราะทั้งประหยัดกว่า และที่สำคัญปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับรถทัวร์บขส.และรถตู้
๔. หากเราต้องการจะทำรถไฟความเร็วสูงควบคู่ไปด้วยจริงๆ (เพราะผมสังเกตว่า ที่ดินของการรถไฟเกือบตลอดสองข้างทาง ซึ่งถูกกันที่ไว้ด้วยรั้วเหล็ก มีพื้นที่มากพอสมควร) ผมเคยได้ยินมาว่า ประเทศจีนพร้อมจะลงทุนสร้างให้ประเทศไทยเรา โดยขอแลกกับสัมปทานการเก็บค่าโดยสาร ถ้าเป็นจริง ทางเลือกเช่นนี้มิดีกว่าหรือ? กับการคิดจะกู้เงินมากมายมหาศาล และคนทั้งประเทศต้องเป็นหนี้ไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน (๕๐ ปี)
๕. ผมพูดมาเยอะ และพูดมานานพอสมควรว่า ถ้าปฏิรูปพลังงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะจัดการกับปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ประเทศชาติได้รับ ตั้งแต่ต้นน้ำ คือพรบ. ปิโตรเลียมที่เรายกทรัพยากรปิโตรเลียมให้ต่างชาติไปฟรีๆ แลกกับการได้ค่าสัมปทานแสนจะจิ๊บจ๊อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งได้ประโยชน์ตามสัดส่วน โดยวิธีการแบ่งปันผลผลิตเป็นปริมาณปิโตรเลียม ส่วนใหญ่ประเทศอื่นเขาได้กันเกิน ๘๐ % ขึ้นทั้งนั้น (คิดเป็นเม็ดเงินไม่น่าจะต่ำกว่า ๓ แสนล้านบาทต่อปี) รายได้เข้าประเทศจำนวนนี้มากพอจะนำมาใช้พัฒนาประเทศ โดยแทบไม่ต้องกู้เงินตราต่างประเทศเลยด้วยซ้ำ (หากดำเนินการพัฒนาประเทศด้วยเศรษฐกิจพอเพียง)
ถ้าเราไม่หวงแหนทรัพยากรของเราเอง เราใจดี ชอบทำบุญสุนทาน ยกทรัพยากรให้ต่างชาติง่ายๆ (เกือบจะเป็นพระเวสสันดรกันทั้งประเทศอยู่แล้ว ไชโยๆ) แต่เราในฐานะอนุชนรุ่นหลังก็ควรจะนึกถึงบรรพชน ซึงยอมรักษาแผ่นดินไทยมาให้เราด้วยชีวิตของท่าน ทำไมเมื่อมาถึงคนรุ่นเราแล้ว เราจึงได้ปฏิบัติต่อมาตุภูมิอย่างไม่รู้คุณแผ่นดิน และตอบแทนคุณแผ่นดินกันเยี่ยงนี้?
ขอได้โปรดพิจารณาไตร่ตรองกันด้วยครับ _/|\_