MOMmory บันทึกจากความทรงจำของครอบครัว ที่ต้องสูญเสียแม่ ด้วยโรคลูคีเมียเฉียบพลัน

10.50 น. 21 พฤษภาคม 2557 เราสูญเสียแม่ไปด้วยโรคลูคีเมียเฉียบพลัน

โรคที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นยังไง รู้แค่เป็นโรคยอดฮิตของนางเอกซีรีย์เกาหลี
หลังจากแม่จากไป คืนนั้นเราตั้งใจเขียนและรวบรวมเรื่องราวของแม่เพื่อทำเป็นหนังสือระลึกถึงแม่ แจกในวันงาน
อยากให้คนรู้จักโรคนี้ อยากให้ครอบครัวของคนป่วยโรคนี้เข้าใจการดูแล การรักษา
เป็นต้นฉบับที่เขียนทั้งน้ำตา เขียนจนสว่างคาตา ถึง 6 โมงเช้าอีกวัน
รวบรวมข้อความที่เราเขียน พ่อเขียน น้องเขียน รวมทั้งข้อความในเฟซบุคของครอบครัวเรา ระหว่างการรักษาแม่
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่เราตั้งใจทำที่สุด

จนถึงวันนี้ ผ่านไป 8 วันแล้ว ที่ชีวิตไม่มีแม่ มันโหวงเหวง อย่างบอกไม่ถูก
ถึงจะมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ ตั้งแต่วันแรกที่หมอเรียกคุยเรื่องโรคนี้ การพยากรณ์โรคที่ไม่ดี
แต่ทุกอย่างที่เคยคิด เคยซ้อมรู้สึกไว้ เทียบเท่าไม่ได้เลย กับความจริงที่เจอในวันนี้

อยากบอกว่าคิดถึงแม่มากๆ อยากกอดแม่ อยากให้แม่ลูบหัว อยากจับมือแม่นอน
อยากตื่นมาแล้วทั้งหมดคือความฝัน แล้วเล่าให้แม่ฟังว่าฝันร้าย
รักและคิดถึงแม่ที่สุด





23 กันยายน 2556                     ป๋า

   
วันจันทร์ที่ผ่านมาฉันมาร.พ.ด้วยความไม่พอใจลึกๆ เพราะคิดว่าเธอก็แค่เป็นหวัดปวดหัวธรรมดา
ทำไมไม่รู้จักอดทน แต่เมื่อเห็นเธอต้องนั่งบนรถเข็นรอหมอก็เริ่มเข้าใจว่าคงไม่ไหวจริงๆ ยิ่งรอหมอนานก็เริ่ม
เป็นห่วงและไม่สงสัยถ้าหมอจะสั่งแอทมิท เพราะไข้สูงกินอาหารไม่ได้และอ่อนเพลีย
เธอสบตาฉันด้วยความวิตกกังวล ฉันตอบอยู่เถอะไม่ต้องห่วง แต่อย่างไรฉันต้องไปทำงาน
และไปอุบลปลายสัปดาห์ให้ได้เพราะกลัวงานที่รับผิดชอบ จะเสียขบวนเพราะฉันเป็นต้นเหตุ
ด้วยความที่มุมานะบ้างานเสมอต้น เสมอปลาย ช่วงบ่ายรับโทรศัพท์จากนุ่นบอกหมอเจาะเลือด
ไปตรวจแม่อาการหนัก กว่าที่คาดฉันรีบออกจากบริษัทเพื่อมา พบหมอ เมื่อหมออธิบายรายละเอียดให้ฟัง
รวมทั้งวิเคราะห์ ข้อดีข้อเสีย ของแต่ละทางเลือก สมองฉันรู้สึกตีบตันแต่ในใจฉันต้องเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
แม้จะต้องทำให้เสียเงินสักเท่าใดก็ตามขอให้เธอหายป่วยเถิด นิคตามมาสมทบในช่วงท้าย
เราสามคนออกจากห้องหมอด้วยน้ำตานองหน้าเมื่อรู้อาการป่วยของเธอ ฉันพยายามแสดงความเข้มแข็ง
ในฐานะผู้นำและปลอบลูกๆ ว่าอย่าแสดงความอ่อนแอให้แม่เห็นแล้วฝืนยิ้มเมื่อขึ้นไปเยี่ยมไข้เธอ

คืนนั้นฉันกลับบ้านด้วยความเป็นห่วงใย รีบอาบน้ำไหว้พระ ขอพรให้เธอหายป่วยโดยเร็ว
เมื่อเห็นหลายอย่างในบ้านทำให้อดคิดถึงความดีความเสียสละ ที่เธอมีให้ทุกเช้า ด้วยการให้นั่งบรรจงเซ็ดเท้าและใส่ถุงเท้าให้
เพื่อให้ฉันไม่ต้องทุกข์ทนต่อการปวดหลัง และฉันรู้ดีว่ามนุษย์ทุกคนต่างมีและรักศักดิ์ศรีในตน
บางครั้งฉันยังยกมือไหว้ขอโทษ และขอบคุณเธอ ก่อนนอนฉันเห็นภาพที่เราไปเที่ยวด้วยกัน
ย้ำเตือนว่าฉันต้องทำทุกวิถีทางให้เธอหายออกจากโรงพยาบาล และไปเที่ยวด้วยกันตามที่ตั้งใจร่วมกันอีกครั้งให้ได้



23 กันยายน 2556                      นุ่น

เริ่มต้นวันก็เป็นเหมือนกับวันจันทร์ทั่วๆ ไป ที่แม่มีอาการไม่สบายคล้ายจะเป็นหวัด ทั้งๆ ที่อาการเริ่มดีขึ้น
หลังจากทานยาไป แต่พอยาหมดปุ๊บกลับมามีอาการไม่ดีอีก ป๋ากับน้อง เลยพาแม่มาหาที่รพ.ราม
หมอเห็นมีไข้สูงเลยให้แอดมิท เพื่อตรวจเช็ก และเจาะเลือดไปตรวจ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น
มีคุณหมอมาตรวจที่ห้อง พร้อมแนะนำว่าเป็นหมอโรคเลือด และขอคุยกับ ครอบครัวข้างนอก สรุปใจความได้ว่า
เช็กจากผลเลือดเบื้องต้น ในไขกระดูกมีเม็ดเลือดขาวตัว Blast สูงมาก แทบไม่มีเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดเลย  
มีความเป็นไปได้ 2 ทางคือ เซลล์เม็ดเลือดขาวตัวดีหยุดสร้าง และมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย แต่มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
และขอเจาะเลือดซ้ำ และเจาะไขกระดูกไปเช็คโดยละเอียดอีกครั้ง

(***การเจาะไขกระดูก เจาะที่หลังสะโพก แถวๆ ก้นกบ โดยฉีดยาชา ก่อนใช้เข็มเจาะเข้าไปดูดไขกระดูกไปทำสไลด์เพื่อนับเซลล์มะเร็ง)
คุณหมอวิรงรองเป็นคนเจาะเอง จริงๆ ห้ามญาติอยู่ แต่แม่กลัวมากๆ เลยขอนั่งหลังม่านแล้วจับมือแม่เอาไว้แทน
หมอบอกว่าจะเจ็บๆ ตึงๆ ประมาณการถอนฟัน พอทำเสร็จถามแม่ แม่บอกว่าเจ็บ แต่เจ็บน้อยกว่าที่กลัว

พอแม่ได้ยาก็นอนหลับไป อาการไข้ก็ดีขึ้น แม่เริ่มร่าเริง เพราะการนอนรพ.สำหรับแม่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพราะแม่ผ่านการเข้าๆ ออกๆ รพ.มาตลอด ทั้งโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะต้องจี้ไฟฟ้า / ทั้งผ่าตัดมะเร็งไทรอย ที่ต้องผ่าตัด 2 รอบ
และไปอยู่ห้องขังเดี่ยวเพื่อกลืนแร่กัมตภาพรังสี และที่นานสุด ก็คือผ่าตัดดามเหล็กที่หลังจากการตกมอเตอร์ไซด์หลังจากไปเที่ยวที่
เกาะล้าน ต้องให้เรือกู้ภัยไปรับจากเกาะ และให้รพ.รามส่งรถพยาบาล ไปรับตัวจากพัทยามาผ่าตัด
ตอนนั้นรวมเวลารักษา ผ่าตัด ทำให้อยู่ รพ.เดือนกว่าๆ

แล้วห้าโมงเย็นวันนั้น ก็เป็นวันที่ได้รับฟังข่าวร้ายที่สุดในชีวิต เมื่อคุณหมอเรียกลงไปฟังผลเลือดที่ห้องหมอข้างล่าง
ต้องลงไปฟังคนเดียว เพราะไปกับน้องๆ หมดแม่อาจจะสงสัย ว่าหายไปไหน ก่อนเข้าไปฟัง พยายามตั้งสติเพราะกลัวว่าจะฟังหมอ
พูดไม่รู้เรื่อง และแล้ว คำที่น่ากลัวที่สุด ก็ออกมาจากปากหมอ ผลตรวจ ยืนยันแม่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน หรือว่า AML
ค่าเม็ดเลือดขาวสูง 8 หมื่นซึ่งผลออกมาเป็น Blast หรือ เซลล์ตัวอ่อน ของมะเร็งถึง 80%
เราพยายามกลั้นน้ำตา ถามหมอว่ารักษาได้ไหม มีโอกาสหายไหม โรคมันเกิดขึ้นได้ยังไง แม่เจาะเลือดตรวจมะเร็งทุก 6 เดือน
มาหาหมอตรวจร่างกายทุกเดือน หมอบอกว่าการตรวจร่างกาย ไม่สามารถบอกอนาคตได้ บอกได้จากอดีตจนถึงวันที่ตรวจเท่านั้น
ว่าเราเป็น หรือไม่เป็นโรคอะไร ไม่สามารถพยากรณ์อนาคตได้เลย  
การรักษาหลังจากนี้จะทำได้ 2 แบบคือ

1 สู้กับมะเร็ง ด้วยการให้คีโม ซึ่งการให้คีโมรักษาโรคนี้จะไม่ง่ายเหมือนตอนแม่รักษามะเร็งไทรอย
เพราะต้องล้างบางเซลล์ที่ไขกระดูกที่เป็นตัวสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งปรกติจะให้คีโมถึงคนไข้ที่ไม่เกิน 55-60 ปี
เพราะคนไข้ที่สูงอายุ จะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากการให้คีโมไวกว่า ซึ่งคุณหมอเองก็บอกว่ากรณีแม่ ก็นับว่าเสี่ยง
เพราะตอนนี้อาการติดเชื้อ เม็ดเลือดขาวขึ้นสูง 8 หมื่นมีสิทธิ์ช็อกได้เลย และไม่แน่ใจว่าแม่จะทน รับผลข้างเคียงของคีโมซึ่งแรงมากๆ
ได้หรือเปล่า
หมอบอกว่าถ้ารักษาด้วยคีโมแล้วติดเชื้อ แม่ก็อาจจะจากไปภายใน 15-30 วันได้เลย

ข้อดี คือ มีสิทธิ์หายขาด จากโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ด้วยการปลูกถ่าย ไขกระดูก แต่ต้องอยู่โรงพยาบาลนานเป็นหลักหลายๆ เดือน
เพื่อทำคีโม และปลูกถ่าย
ข้อเสีย คือ เนื่องจากเป็นเคมีบำบัด สูตรแรง จึงมีสิทธิ์ที่คนไข้อาจจะ เสียชีวิตระหว่างการให้คีโม หรือการติดเชื้อหลังจากให้คีโมแล้วก็ได้

2 การรักษาแบบประคับประคอง
หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือไม่รักษาโรคมะเร็ง แต่รักษาตามอาการข้างเคียงต่างๆ ที่ตามมา เช่น ซีดก็เติมเลือด
เติมเกล็ดเลือด หรือ ติดเชื้อก็ให้ยาฆ่าเชื้อ ฯลฯ

ข้อดี คือ ทำให้คนไข้ไม่ต้องโทรมด้วยฤทธิ์คีโม และสามารถเลือก
ที่จะใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างที่ต้องการได้ เช่น เลือกที่จะอยู่บ้าน กับครอบครัว
ข้อเสีย คือ ไม่มีทางหายขาดจากโรค สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ 3-6 เดือน แล้วแต่อาการของโรค
ซึ่งสุดท้ายแล้วสาเหตุที่คนไข้เลือกรักษาวิธีนี้ จะเสียชีวิตก็คือการติดเชื้อโรค

หลังจากที่คุยกับคุณหมอและปรึกษากันเองในครอบครัวเล็กๆ ของเรา เราคิดว่าจะสู้ กับโรคมะเร็งดูอีกครั้ง
เพราะแม่เคยชนะมันมาได้แล้วเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ครั้งนี้เราก็เชื่อว่าแม่จะเอาชนะมันได้อีกเช่นกัน
แต่ปัญหาที่เครียดหนักไม่แพ้กันก็คือ ไม่รู้จะบอกแม่ยังไงดี ว่าแม่เป็นโรคนี้อีกครั้ง และครั้งนี้ไม่ใช่มะเร็งธรรมดา
แต่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่เราถามหมอว่ามีระยะของมะเร็งมั้ย หมอบอกเลยว่ามะเร็งเม็ดเลือดเป็นมะเร็งที่ไม่มีระยะ
มีแต่เป็นกับไม่เป็น เพราะเลือดมันแพร่ไปทั้งตัว

คุณหมอที่เป็นคุณหมอประจำตัวแม่ตั้งแต่มะเร็งไทรอย  ให้คำแนะนำว่าควรจะต้องรีบบอกแม่ แต่ครอบครัวเรากลัว
กลัวว่าแม่จะรับไม่ได้ ถ้ารู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ ทำให้พยายามหาทางค่อยๆ บอกแม่ให้แม่รู้ตัว โดยรอผลยืนยันจากการเจาะไขกระดูกอีก 4 วัน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่