จุดประสงค์ที่เรามาเล่าเพื่อให้คนที่ป่วยเป็นมะเร็งเหมือนกัน หรือ คนรอบข้างคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง ให้กำลังและให้เค้าผ่านคำว่าคนป่วยให้ได้
เราไม่ได้มาบอกให้คนป่วยไม่รับคีโม แต่เราจะบอกว่า มะเร็งไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย ถ้าเราสู้ และรู้จักกำลังของตัวเองเราก้ออยู่ต่อได้ค่ะ
ปัจจุบัน อายุ 31 เพิ่งแต่งงานแท้ๆค่ะ
อยากมาเล่าสู่กันฟัง จากชีวิตจิงของเราล้วนๆ ด้วยวัย 29 ปี ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เพิ่งแต่งงานหมาดๆ ร่างกายมันก้อทรุด กินอะไรไม่ได้ อาเจียน เดินก้อเสียศูนย์
คุณสามีเลยพาไปโรงพยาบาลตรวจชุดใหญ่ คุณหมอหาสาเหตุนัดแล้วนัดอีก (เอกชน หมดเงินไปเยอะมาก)
ตรวจเลือดเยอะแยะมากมาย จนสุดท้ายเปลี่ยนโรงพยาบาล มาที่ศิริราช ค่ะ
ตอนแรกคิดว่าตัวเองเป็น เอดส์ เพราะตามตัวเป็นจั้มขึ้นเต็มตัว เลยบอกหมอขอตรวจเลือดว่าเป็นเอดส์ป่าว
สรุปไม่เป็นแต่คุณหมอดันเจอ มะเร็งในเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวโดนทำลาย
เราเงียบไปพักนึง แล้วถามคุณหมอว่าแล้วมันเป็นยังไงละมะเร็งเม็ดเลือดขาวเนี้ย คุณหมอก้อเล่าให้ฟัง พร้อมกับวิธีรักษา
โรคนี้ส่วนมากจะเกิดจากพันธุ์กรรม
กลับจากโรงพยาบาล โทรให้คุณสามีกลับบ้านด่วน คุณสามีรีบกลับมาพร้อมกับความตกใจหน้าตาตื่น เพราะเรานั่งร้องไห้อยู่
เค้าอ่านผลตรวจ ถามเราว่าหมอบอกวิธีรักษาไหม เราบอกว่าหมอบอกว่าอยู่ได้ไม่ถึงปี คุณสามีก้อร้องไห้เหมือนควายโดนเชือดเลยค่ะ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเค้าเอามือมาลูบหัวเราแล้วพูดว่า เป็นแล้วก้อต้องรักษา คนอื่นเค้าก้อเป็นกันตั้งเยอะแยะ
หลังจากวันนั้นก้อเริ่มวางการใช้ชีวิต ยังไม่กล้าบอกที่บ้าน กลัวแม่ทำใจไม่ได้ แต่ก้อพยายามพูดให้แม่ชินกับคำว่าป่วย
ผ่านไปเกือบเดือนเราเริ่มทรุด เดินไม่ได้ กินไม่ได้ คุณสามีเลยตามพี่สาวเรามาดูและ พี่สาวจะเคลียร์อะไรได้ให้ทุกอย่าง
พี่สาวเห็นเราวันแรก ร้องไห้เหมือนคนเป็นบ้าเลยค่ะ จากคนน้ำหนัง 43 ลดเหลือ 36 ผอมแห้งดำ ตาลอย เดินไม่ได้
พี่เลยเล่าแม่เพื่อให้แม่ทำใจ เราได้ยินแม่ร้องไห้ แล้วคุยกับสามีว่า เอาน้องมาส่งให้แม่ แล้วลาออกจากงานเลย
คนสำคัญกว่างาน หายแล้วค่อยหาใหม่ได้
ทางบ้านและสามีตัดสินใจตกลงกันว่าจะไม่ให้เรารับคีโม ทำไมเหรอ เพราะเราคงทนไม่ไหว แม่และสามีบอกว่า
อยากให้มีชีวิตอยู่ข้างนอกมากว่าจะใช้ชีวิตก่อนตายที่โรงพยาบาล อันนี้เราเห็นด้วยเราคงทนไม่ไหวหรอก ครั้งสองครั้งสามคงตายแน่
คุณสามีส่งเรากลับบ้านนอก เพื่อจะมีคนดูแลอย่างดี และอยู่กับธรรมชาติ อากาศดีๆ วันที่คุณสามีไปส่งเราแอบเห็นเค้าน้ำตาคลอ
เข้าใจค่ะคนเพิ่งแต่งงานแท้ๆ แต่ต้องมาแยกกันอยู่ ก่อนกลับเค้าพูดกับเราทั้งน้ำตา ว่าเราอย่าท้อ ต้องสู้เพื่อเค้า พี่จะมาเยี่ยมบ่อยๆ
หลังจากนั้นคุณสามีก้อมาหาเดือนละ สองครั้ง
จากที่อยู่เมืองหลวงมาเป็น สิบๆ ปี กลับมาอยู่บ้านนอก ไม่กล้าออกจากบ้าน อยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าคุยกับใคร กลัวคนอื่นรังเกียจ
จนหลายชาย พูดออกคำนึง อาอยู่แต่ในบ้านระวังตายนะ เราก้อ เออ จิงวะ เราก้อเริ่มมานั่งหน้าบ้าน คนโน้นนี้เดินผ่าน ถามไถ่เราไม่กล้าตอบไม่กล้าพูด จนสามีมาเยี่ยมและเริ่มสังเกตุว่าเราพูดน้อย ไม่ออกไปไหน คุณสามีเลยพูดมาว่า เป็นมะเร็ง ไม่ใช่เป็นเอดส์ ที่กัวคนอื่นจะรังเกียจ
หลังจากนั้นเค้าก้อพาเราเดินรอบหมู่บ้าน ใครทักก้อตอบ บอกเค้าตรงๆว่าเป็นมะเร็ง จากที่หลบหน้า ตอนนี้กล้าสู้หน้าคนและ
หลังจากนั้นคุณสามีก้อปรับการใช้ชีวิตเราใหม่ ตอนเช้าต้องตื่นออกกำลังกาย และงดเนื้อสัตว์ พวกหมู ไก่ กินได้แต่ปลาที่มีเกร็ด
อันนี้คุณสามีศึกษาเรื่องชีวจิตมา เราก้อตื่นตีห้า พร้อมกับบอดี้การ์ดเด็กน้อย สองคน 9 ขวบ กับ 5 ขวบ พาเดินรอบหมู่บ้าน
พอเริ่มสว่างก้อเดินไปตักบาตรกับกินโจ๊กเจ้าอร่อยของหมู่บ้าน เดินกลับมาบ้าน แม่ก้อเตรียมน้ำผลไม่สดไว้ให้ กับน้ำหญ้าญี่ปุ่น
แม่จะให้เราดื่มน้ำใบย่านางกับใบเตยแทนน้ำเปล่า น้ำเปล่าก้อดื่มค่ะ แรกๆก้อแหวะ หลังๆ ก้ออร่อยชุมคอดี
แม่เริ่มปลูกผักสวนครัวกินเอง ทั้งบ้านปรับการกินใหม่ หันมากินผักเป็นเพื่อน แรกๆหลานๆ ต่อต้าน พอที่บ้านให้เหตุผลเค้า
ว่า อา ป่วย เราทั้งบ้านต้องช่วยดูแล เค้าเลยโอเค ยอมกินผัก ที่บ้านปรับการกินการใช้ชีวิต เราก้อแอบสงสาร หลานๆ
ที่บ้านจะทำน้ำผลไม้สดให้ดื่ม เช้า และ หลังอาหารเย็น เราเริ่มสดชื่น มีชีวิต ชีวา เรารู้สึกได้ แต่ไม่เล่าใคร
เวลาผ่านไป ที่เดินไม่ค่อยคล่อง กลับมาเดินได้ปกติ มีแรงปืนต้นมะยมได้ อันนี้ตกใจรีบวิ่งกลับบ้านมาเล่าแม่
แม่กระชางเราอย่างแรงตกใจหมด เปิดเสื้อ เปิดขาเราดู ว่าแผลหายไปไหน ตอนมาวันแรกเต็มตัว เราก้อไม่ได้สังเกตุแงะ
ดีใจสุดๆโทร สไกด์กับคุณสามี คุณสามีดีใจใหญ่ บอกว่าให้เราทำเหมือนเดิม กินเหมือนเดิม
ผ่านไปหลายเดือนน้ำหนักขึ้แงะ จาก 36 ขึ้นเป็น 39 ช่วงที่อยู่บ้านนอก จะลำบากหน่อยเพราะมีตาวิเศษเยอะ
แอบไม่กินยา แอบกินขนมกรอบๆ จะมีคนฟ้องตลอด ช่วงนั้นบ้า ออกกำลังกายมากเพราะมันสนุกหลานๆพาเข้าป่าไปเก็บโน้นนี่กิน
สมัยเด็กๆที่เราเคยทำ อิอิ จากเริ่มอาการทรงตัว ขอคุณสามีซื้อจักยาน ว่าจะไปเปรี้ยวกับหลานๆ อิอิ
คุณสามีกลับมาเยี่ยม และพาไปซื้อ พอได้จักรยานต์มันเลยค่ะ ปั่นไปบ้านโน้นบ้านนี้
จนแม่ล๊อคล้อ บอกว่าไม่รู้ตัวเหรอว่าตัวเองป่วย แง แง ลืมตัว
ผ่านไปหลายเดือน คุณสามี มารับกลับให้เหตุผลกับแม่ว่า อยากให้เราเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เดี่ยวมาส่ง อีกเดือนนึง
ตอนที่แม่มาส่ง แม่จับมือคุณสามีแล้วบอกว่าแม่ฝากน้องด้วยนะ อิอิ พร้อมกับ กระดาษโน๊ตแผ่นนึง
เราเปิดอ่าน ดู อัยยะ ลายแทง แม่เขียนวิธีปฏิบัติตัว อาหารการกิน ต้องออกกำลังกาย บราาาาาาาา
เรากลับมาอยู่กับคุณสามี เช้าแรก ลุกขึ้นออกกำลังกาย แต่เราอยู่คอนโด จะเดินเหมือนที่บ้านไม่ได้
เลยเลือกเต้น แต่ขี้เกียจเปิดคอม เรายืนเต้นสักพักคุณสามีถามว่าไม่เปิดเพลงละ เราบอกขี้เกียจ คุณสามีลุกขึ้น
ทันใดนั้น พร้อมกับทำปากแบบทำจังหวะให้เรา หัวเราะก๊ากเลยค่ะ แต่ก้อทำให้เราสนุกกระชุ่มกระชวย
ทุกวันนี้ก้อไม่เปิดเพลงคุณสามีทำจังหวะให้ บางวันมีเพลงใบเตยให้ด้วย สอนเราเต้นมันแน่น อก อิอิ ชอบๆค่ะสนุกดี
ตอนเช้าก่อนไปทำงานคุณสามีก้อจะกินข้าวเช้ากับเราก่อน แล้วจะสั่งว่าอย่าลืมกินนี้นั้น นะ พี่เตรียมไว้แล้ว
เราก้ออืมๆๆๆๆ สงสัยไม่เชื่อเราว่าเราจะทำ แอบมาดูตอนเที่ยง คือที่ทำงานใกล้กับคอนโดค่ะ
พอตอนบ่าย สาม บ่ายสี่จะให้เราเดินไปที่ทำงาน เพื่อให้เราออกกำลังกาย และไปเจอคนเยอะๆ ที่สำคัญได้เล่นเน็ต
ที่ห้องก้อมีแหละ แต่คงอยากให้เราอยู่ใกล้หูใกล้ตา กัวเราเบื่อด้วย
ตอนค่ำ ก้อสอนเราไหว้พระ นั่งสมาธิ เสาร์อาทิตย์ก้อไปนั่งให้อาหารปลา
ที่สำคัญคุณสามีก้อจะพาเราไปตรวจสุขภาพทุกเดือน ตรวจระดับเลือดเม็ดเลือดขาว
เราใช้ชิวิตแบบนี้มาปีกว่า อยู่กรุงเทพบ้าง อยู่ต่างจังหวัดบ้าง ไปๆมาๆแบบนี้
ทุกวันนี้น้ำหนักขึ้นมา 42 จากที่แผลเป็นเต็มตัวเพราะเป็นภูมิแพ้ขั้นรุ่น เพราะภูมิคุ้มกันโดนทำลาย และเม็ดเลือดขาวโดนทำลาย
ตอนที่ครอบครัวและคุณสามีปฏิเสธการรักษาแผนปัจจุบัน เรากัวว่าตัวเองจะตายมาก จะพูดคำว่าตายกับที่บ้านบ่อยมาก
จนแม่พูดออกมาว่า แล้วใกล้ตายหรือยัง ก้อเห็นยังพูดเหมือคนปกติ แม่เราเลยสอนธรรมะให้ฟังว่า ทุกคนแหละต้องมีถึงวันที่ต้องลงโลง
แล้วจะอะไรนักหนากับชีวิต ยังมีโอกาศอยู่ต่อ ก้อใช้ส่วนที่เหลือของชีวิตซิ จะไปคล่ำครวญอยู่ทำไม บราาาาา อีกเยอะค่ะ
เราหัดทำสมาธิบ่อยค่ะ เพราะแม่ชอบนั่งสมาธิ ตอนนั่งสมาธิแอบคุยตลกกับแม่ตลอด เราถามแม่ว่าถ้านั่งสมาธิแล้วเห็น ผีละ
ต้องวิ่งไหม แม่บอกว่า วิ่งทำไม รีบขอหวยเลย แล้วอย่าลืมจดนะ เดี่ยวเพี้ยนผิดตัว อย่างฮา
ตั้งแต่ป่วย เพิ่งสังเกตุเห็นแม่ หมกหมุ่นกับทำน้ำโน้นนี่ให้เรา จนไม่เวลาเล่นหวยหุ้น ที่เค้าออกกันวันละสามสี่รอบ
และที่แน่ๆที่เห็นได้ชัดคือ เมือก่อนแม่จะไม่ดื่มนมดื่มน้ำเต้าหู้ ตั้งแต่เราป่วย แม่จะซื้อมาทำเองให้เราดื่มสดๆ
แอบเห็นแม่ดื่มน้ำเต้าหู้แทบทุกวัน เพราะความเสียดายของ อิอิ
ทุกวันนี้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ไม่ป่วยไม่มีไข้ คุณหมอยังชม ว่าเราเคร่งครัดในการดูแลตัวเอง และมองโลกในแง่ดี ไม่หมกหมุ่นอยู่กับโรค
คุณหมอบอกว่าคนที่เป็นมะเร็งจะหมกหมุ่นกับโรคจะคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าตัวเองจะต้องโน้นนี่ มันก้อจิงค่ะ แต่ถ้าคนป่วยหลุดช่วงนั้นไปได้
จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อได้ดีค่ะ ช่วงนี้เราไปไหนมาไหนเองได้แล้ว อิอิ
คุณสามีจะทดสอบทุกสัปดาห์ค่ะ จะเอาเราไปทิ้งตามห้างทั้งวันให้เราเดินซื้อโน้นนี่ ตามรายการที่คุณสามีสั่ง แล้วให้เรารอเค้ามารับตอนเย็น
ให้ลันลาได้ทั้งวัน ถ้าอยากกลับเองก้อนั่งแท็กซี่กลับ แต่เราชอบรอเค้ามารับ อยากได้คำชมตอนเจอคุณสามี คุณสามีจะตบมือดังๆ แล้วพูดจนคนอื่นหันมาดูค่ะ ใจมันเหอมเกริมค่ะ
เราสองคนสามีเลื่อนทริปฮันนีมูนมาตั้งแต่รู้ว่าเราป่วย เดือนตุลานี้เราก็อจะได้ฮันนีมูนซักที คุณหมอออกใบรับรองให้เพื่อยืนยันกับแม่ว่าเราสามารถเดินทางได้เพื่อความสบายใจของคนในครอบครัว วันที่เค้าพาเราไปซื้อเสื้อหนาว ตั้งใจเลือก ตัวโน้นสีสวย ตีนี้ไม่มีหมวก
ตัวนี้ทนหนาวได้น้อย จนเรากลั้นน้ำตาไม่ไหว ปล่อยโงเลยค่ะ คนที่ลองเสื้ออยู่ด้วยตกใจ คือมันตื้นตัน แน่นอกจุกไปหมดค่ะ
ชีวิตนี้ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เที่ยวอีก พอได้เที่ยวอีก เลยดีใจกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ยื่นร้องไห้ในร้านตั้งนาน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วันนี้เราดีขึ้นได้นั้นเป็นเพราะครอบครัวเข้าใจ และทุกคนเอาใจใส่ มองปัญหาเป็นปัญหาของตัวเอง และสู้เพื่อเรา
ตอนที่เรากลับไปบ้านนอก ญาติลุมกระหนำคุณสามีว่า เดี่ยวก้อทิ้งเพิ่งแต่งงานใหม่ๆแบบนี้ คงไม่เก็บไว้เป็นภาระ พูดกับเรื่องทรัพย์ว่าเราเขียนไว้ชัดเจนไหมเดี่ยวจะไม่ถึงมือคนในครอบครัว แต่เราไม่เล่าคุณสามีค่ะ เพราะเราเคยถามเค้าว่า หย่ากันไหม พี่จะได้ไม่มีภาระ เค้ายืนยันว่าเค้าขอแต่งงานเราเพราะเลือกเรามาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แล้วน้องจะให้พี่ทิ้งได้ไง อันนี้น้ำตาไหล รีบเดินไปก่อนค่ะ
บางครั้งคำที่พูดออกมาลอยๆของคุณสามีทำให้ซึ้งถึงหัวใจ เค้าจะทานข้าวเช้ากับเย็นกับเราทุกมือ เค้าบอกเราเสมอว่า โต๊ะกินข้าวนี้คือชีวิตของครอบครัว เราถามว่าทำไมเหรอ ตอนเช้าก่อนออกไปทำงาน เราจะได้คุยกันว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ที่ไหน ส่วนตอนเย็น เป็นการมาเล่าสู่กันฟังว่าวันนี้เราไปเจออะไรกันมาบ้าง ถ้าต่างคนต่างกินต่างอยู่แล้วจะเรียกว่าครอบครัวได้อย่างไร
ข้อความอาจจะยาวค่ะ ทุกข้อความมาจากเหตุการณ์จิงค่ะ
ทุกวันนี้หาหมอทุกเดือนตรวจสุขภาพ ตรวจเลือด กินยาบำรุงเลือดเป็นประจำ มีวินัยกับตัวเอง คุณหมอบอกว่าให้ระวังเเรื่องติดเชื้อ ถ้ามีแผล หรือ อุบัติเหตุ ให้ทำแผลให้สะอาดอย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะมันจะอันตราย ถ้าติดเชื้อในกระแสเลือด
เราอยากมาเล่าให้คนที่ป่วยเป็นมะเร็งเหมือนกันว่า ให้สู้กับโรคค่ะ เราประสบการณ์การใช้ชีวิตยังน้อย ไม่เคยเที่ยวกลางคืน ผับนะเหรอ มันอยู่ตรงไหน หน้าตามันเป็นยังไง เหล้า เบียร์ไม่เคยลอง สัตว์ที่มีชีวิตมีเลือดไม่เคยฆ่า เรายังผ่านจุดนั้นมาได้ ถามว่าหายไหม ยังไม่หายหรอกค่ะ แต่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อได้
อย่ามัวแต่คิดว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งแล้วต้องตายอย่างเดียว ใครที่มีคนป่วยเป็นมะเร็งอยู่ใกล้ตัว อย่าตามใจคนป่วยค่ะ ต้องเคร่งครัดวินัยในการรักษา ส่วนมากคนป่วยจะเอาแต่ใจ เราก้อเป็น แต่ทางบ้านจะไม่ตามใจค่ะ
เรากับสามีอาจจะเพิ่งเริ่มการใช้ชีวิตครอบครัว แต่ที่ทำให้เราผ่านเรื่องแย่ๆร้ายๆไปได้นั้น คือ ความไว้ใจ เชื่อใจ ของกันและกันค่ะ
ไม่จับผิด ไม่ถามซอกแทรก โต๊ะอาหารคือการเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีค่ะ ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า
มีปัญหาก้อพูดกันตรงๆอย่าเกรงใจกันค่ะ เรายึดหลักนี้ค่ะ เพราะตั้งแต่เราป่วย ร่างกายหน้าตาขี้เหร่ไปเยอะ แต่เราเชื่อใจคุณสามีไม่ชวนทะเลาะ
จะชวนเค้าคุยโน้นนี้ เมื่อเค้าเชื่อใจไว้ใจเราคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเค้า เค้าจะเล่าทุกเรื่องราวมาเองค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ ที่เสียเวลาอ่าน สู้ๆนะค่ะ
ประสบการณ์ มะเร็งเม็ดเลือดขาว
เราไม่ได้มาบอกให้คนป่วยไม่รับคีโม แต่เราจะบอกว่า มะเร็งไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย ถ้าเราสู้ และรู้จักกำลังของตัวเองเราก้ออยู่ต่อได้ค่ะ
ปัจจุบัน อายุ 31 เพิ่งแต่งงานแท้ๆค่ะ
อยากมาเล่าสู่กันฟัง จากชีวิตจิงของเราล้วนๆ ด้วยวัย 29 ปี ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
เพิ่งแต่งงานหมาดๆ ร่างกายมันก้อทรุด กินอะไรไม่ได้ อาเจียน เดินก้อเสียศูนย์
คุณสามีเลยพาไปโรงพยาบาลตรวจชุดใหญ่ คุณหมอหาสาเหตุนัดแล้วนัดอีก (เอกชน หมดเงินไปเยอะมาก)
ตรวจเลือดเยอะแยะมากมาย จนสุดท้ายเปลี่ยนโรงพยาบาล มาที่ศิริราช ค่ะ
ตอนแรกคิดว่าตัวเองเป็น เอดส์ เพราะตามตัวเป็นจั้มขึ้นเต็มตัว เลยบอกหมอขอตรวจเลือดว่าเป็นเอดส์ป่าว
สรุปไม่เป็นแต่คุณหมอดันเจอ มะเร็งในเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวโดนทำลาย
เราเงียบไปพักนึง แล้วถามคุณหมอว่าแล้วมันเป็นยังไงละมะเร็งเม็ดเลือดขาวเนี้ย คุณหมอก้อเล่าให้ฟัง พร้อมกับวิธีรักษา
โรคนี้ส่วนมากจะเกิดจากพันธุ์กรรม
กลับจากโรงพยาบาล โทรให้คุณสามีกลับบ้านด่วน คุณสามีรีบกลับมาพร้อมกับความตกใจหน้าตาตื่น เพราะเรานั่งร้องไห้อยู่
เค้าอ่านผลตรวจ ถามเราว่าหมอบอกวิธีรักษาไหม เราบอกว่าหมอบอกว่าอยู่ได้ไม่ถึงปี คุณสามีก้อร้องไห้เหมือนควายโดนเชือดเลยค่ะ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเค้าเอามือมาลูบหัวเราแล้วพูดว่า เป็นแล้วก้อต้องรักษา คนอื่นเค้าก้อเป็นกันตั้งเยอะแยะ
หลังจากวันนั้นก้อเริ่มวางการใช้ชีวิต ยังไม่กล้าบอกที่บ้าน กลัวแม่ทำใจไม่ได้ แต่ก้อพยายามพูดให้แม่ชินกับคำว่าป่วย
ผ่านไปเกือบเดือนเราเริ่มทรุด เดินไม่ได้ กินไม่ได้ คุณสามีเลยตามพี่สาวเรามาดูและ พี่สาวจะเคลียร์อะไรได้ให้ทุกอย่าง
พี่สาวเห็นเราวันแรก ร้องไห้เหมือนคนเป็นบ้าเลยค่ะ จากคนน้ำหนัง 43 ลดเหลือ 36 ผอมแห้งดำ ตาลอย เดินไม่ได้
พี่เลยเล่าแม่เพื่อให้แม่ทำใจ เราได้ยินแม่ร้องไห้ แล้วคุยกับสามีว่า เอาน้องมาส่งให้แม่ แล้วลาออกจากงานเลย
คนสำคัญกว่างาน หายแล้วค่อยหาใหม่ได้
ทางบ้านและสามีตัดสินใจตกลงกันว่าจะไม่ให้เรารับคีโม ทำไมเหรอ เพราะเราคงทนไม่ไหว แม่และสามีบอกว่า
อยากให้มีชีวิตอยู่ข้างนอกมากว่าจะใช้ชีวิตก่อนตายที่โรงพยาบาล อันนี้เราเห็นด้วยเราคงทนไม่ไหวหรอก ครั้งสองครั้งสามคงตายแน่
คุณสามีส่งเรากลับบ้านนอก เพื่อจะมีคนดูแลอย่างดี และอยู่กับธรรมชาติ อากาศดีๆ วันที่คุณสามีไปส่งเราแอบเห็นเค้าน้ำตาคลอ
เข้าใจค่ะคนเพิ่งแต่งงานแท้ๆ แต่ต้องมาแยกกันอยู่ ก่อนกลับเค้าพูดกับเราทั้งน้ำตา ว่าเราอย่าท้อ ต้องสู้เพื่อเค้า พี่จะมาเยี่ยมบ่อยๆ
หลังจากนั้นคุณสามีก้อมาหาเดือนละ สองครั้ง
จากที่อยู่เมืองหลวงมาเป็น สิบๆ ปี กลับมาอยู่บ้านนอก ไม่กล้าออกจากบ้าน อยู่แต่ในบ้าน ไม่กล้าคุยกับใคร กลัวคนอื่นรังเกียจ
จนหลายชาย พูดออกคำนึง อาอยู่แต่ในบ้านระวังตายนะ เราก้อ เออ จิงวะ เราก้อเริ่มมานั่งหน้าบ้าน คนโน้นนี้เดินผ่าน ถามไถ่เราไม่กล้าตอบไม่กล้าพูด จนสามีมาเยี่ยมและเริ่มสังเกตุว่าเราพูดน้อย ไม่ออกไปไหน คุณสามีเลยพูดมาว่า เป็นมะเร็ง ไม่ใช่เป็นเอดส์ ที่กัวคนอื่นจะรังเกียจ
หลังจากนั้นเค้าก้อพาเราเดินรอบหมู่บ้าน ใครทักก้อตอบ บอกเค้าตรงๆว่าเป็นมะเร็ง จากที่หลบหน้า ตอนนี้กล้าสู้หน้าคนและ
หลังจากนั้นคุณสามีก้อปรับการใช้ชีวิตเราใหม่ ตอนเช้าต้องตื่นออกกำลังกาย และงดเนื้อสัตว์ พวกหมู ไก่ กินได้แต่ปลาที่มีเกร็ด
อันนี้คุณสามีศึกษาเรื่องชีวจิตมา เราก้อตื่นตีห้า พร้อมกับบอดี้การ์ดเด็กน้อย สองคน 9 ขวบ กับ 5 ขวบ พาเดินรอบหมู่บ้าน
พอเริ่มสว่างก้อเดินไปตักบาตรกับกินโจ๊กเจ้าอร่อยของหมู่บ้าน เดินกลับมาบ้าน แม่ก้อเตรียมน้ำผลไม่สดไว้ให้ กับน้ำหญ้าญี่ปุ่น
แม่จะให้เราดื่มน้ำใบย่านางกับใบเตยแทนน้ำเปล่า น้ำเปล่าก้อดื่มค่ะ แรกๆก้อแหวะ หลังๆ ก้ออร่อยชุมคอดี
แม่เริ่มปลูกผักสวนครัวกินเอง ทั้งบ้านปรับการกินใหม่ หันมากินผักเป็นเพื่อน แรกๆหลานๆ ต่อต้าน พอที่บ้านให้เหตุผลเค้า
ว่า อา ป่วย เราทั้งบ้านต้องช่วยดูแล เค้าเลยโอเค ยอมกินผัก ที่บ้านปรับการกินการใช้ชีวิต เราก้อแอบสงสาร หลานๆ
ที่บ้านจะทำน้ำผลไม้สดให้ดื่ม เช้า และ หลังอาหารเย็น เราเริ่มสดชื่น มีชีวิต ชีวา เรารู้สึกได้ แต่ไม่เล่าใคร
เวลาผ่านไป ที่เดินไม่ค่อยคล่อง กลับมาเดินได้ปกติ มีแรงปืนต้นมะยมได้ อันนี้ตกใจรีบวิ่งกลับบ้านมาเล่าแม่
แม่กระชางเราอย่างแรงตกใจหมด เปิดเสื้อ เปิดขาเราดู ว่าแผลหายไปไหน ตอนมาวันแรกเต็มตัว เราก้อไม่ได้สังเกตุแงะ
ดีใจสุดๆโทร สไกด์กับคุณสามี คุณสามีดีใจใหญ่ บอกว่าให้เราทำเหมือนเดิม กินเหมือนเดิม
ผ่านไปหลายเดือนน้ำหนักขึ้แงะ จาก 36 ขึ้นเป็น 39 ช่วงที่อยู่บ้านนอก จะลำบากหน่อยเพราะมีตาวิเศษเยอะ
แอบไม่กินยา แอบกินขนมกรอบๆ จะมีคนฟ้องตลอด ช่วงนั้นบ้า ออกกำลังกายมากเพราะมันสนุกหลานๆพาเข้าป่าไปเก็บโน้นนี่กิน
สมัยเด็กๆที่เราเคยทำ อิอิ จากเริ่มอาการทรงตัว ขอคุณสามีซื้อจักยาน ว่าจะไปเปรี้ยวกับหลานๆ อิอิ
คุณสามีกลับมาเยี่ยม และพาไปซื้อ พอได้จักรยานต์มันเลยค่ะ ปั่นไปบ้านโน้นบ้านนี้
จนแม่ล๊อคล้อ บอกว่าไม่รู้ตัวเหรอว่าตัวเองป่วย แง แง ลืมตัว
ผ่านไปหลายเดือน คุณสามี มารับกลับให้เหตุผลกับแม่ว่า อยากให้เราเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เดี่ยวมาส่ง อีกเดือนนึง
ตอนที่แม่มาส่ง แม่จับมือคุณสามีแล้วบอกว่าแม่ฝากน้องด้วยนะ อิอิ พร้อมกับ กระดาษโน๊ตแผ่นนึง
เราเปิดอ่าน ดู อัยยะ ลายแทง แม่เขียนวิธีปฏิบัติตัว อาหารการกิน ต้องออกกำลังกาย บราาาาาาาา
เรากลับมาอยู่กับคุณสามี เช้าแรก ลุกขึ้นออกกำลังกาย แต่เราอยู่คอนโด จะเดินเหมือนที่บ้านไม่ได้
เลยเลือกเต้น แต่ขี้เกียจเปิดคอม เรายืนเต้นสักพักคุณสามีถามว่าไม่เปิดเพลงละ เราบอกขี้เกียจ คุณสามีลุกขึ้น
ทันใดนั้น พร้อมกับทำปากแบบทำจังหวะให้เรา หัวเราะก๊ากเลยค่ะ แต่ก้อทำให้เราสนุกกระชุ่มกระชวย
ทุกวันนี้ก้อไม่เปิดเพลงคุณสามีทำจังหวะให้ บางวันมีเพลงใบเตยให้ด้วย สอนเราเต้นมันแน่น อก อิอิ ชอบๆค่ะสนุกดี
ตอนเช้าก่อนไปทำงานคุณสามีก้อจะกินข้าวเช้ากับเราก่อน แล้วจะสั่งว่าอย่าลืมกินนี้นั้น นะ พี่เตรียมไว้แล้ว
เราก้ออืมๆๆๆๆ สงสัยไม่เชื่อเราว่าเราจะทำ แอบมาดูตอนเที่ยง คือที่ทำงานใกล้กับคอนโดค่ะ
พอตอนบ่าย สาม บ่ายสี่จะให้เราเดินไปที่ทำงาน เพื่อให้เราออกกำลังกาย และไปเจอคนเยอะๆ ที่สำคัญได้เล่นเน็ต
ที่ห้องก้อมีแหละ แต่คงอยากให้เราอยู่ใกล้หูใกล้ตา กัวเราเบื่อด้วย
ตอนค่ำ ก้อสอนเราไหว้พระ นั่งสมาธิ เสาร์อาทิตย์ก้อไปนั่งให้อาหารปลา
ที่สำคัญคุณสามีก้อจะพาเราไปตรวจสุขภาพทุกเดือน ตรวจระดับเลือดเม็ดเลือดขาว
เราใช้ชิวิตแบบนี้มาปีกว่า อยู่กรุงเทพบ้าง อยู่ต่างจังหวัดบ้าง ไปๆมาๆแบบนี้
ทุกวันนี้น้ำหนักขึ้นมา 42 จากที่แผลเป็นเต็มตัวเพราะเป็นภูมิแพ้ขั้นรุ่น เพราะภูมิคุ้มกันโดนทำลาย และเม็ดเลือดขาวโดนทำลาย
ตอนที่ครอบครัวและคุณสามีปฏิเสธการรักษาแผนปัจจุบัน เรากัวว่าตัวเองจะตายมาก จะพูดคำว่าตายกับที่บ้านบ่อยมาก
จนแม่พูดออกมาว่า แล้วใกล้ตายหรือยัง ก้อเห็นยังพูดเหมือคนปกติ แม่เราเลยสอนธรรมะให้ฟังว่า ทุกคนแหละต้องมีถึงวันที่ต้องลงโลง
แล้วจะอะไรนักหนากับชีวิต ยังมีโอกาศอยู่ต่อ ก้อใช้ส่วนที่เหลือของชีวิตซิ จะไปคล่ำครวญอยู่ทำไม บราาาาา อีกเยอะค่ะ
เราหัดทำสมาธิบ่อยค่ะ เพราะแม่ชอบนั่งสมาธิ ตอนนั่งสมาธิแอบคุยตลกกับแม่ตลอด เราถามแม่ว่าถ้านั่งสมาธิแล้วเห็น ผีละ
ต้องวิ่งไหม แม่บอกว่า วิ่งทำไม รีบขอหวยเลย แล้วอย่าลืมจดนะ เดี่ยวเพี้ยนผิดตัว อย่างฮา
ตั้งแต่ป่วย เพิ่งสังเกตุเห็นแม่ หมกหมุ่นกับทำน้ำโน้นนี่ให้เรา จนไม่เวลาเล่นหวยหุ้น ที่เค้าออกกันวันละสามสี่รอบ
และที่แน่ๆที่เห็นได้ชัดคือ เมือก่อนแม่จะไม่ดื่มนมดื่มน้ำเต้าหู้ ตั้งแต่เราป่วย แม่จะซื้อมาทำเองให้เราดื่มสดๆ
แอบเห็นแม่ดื่มน้ำเต้าหู้แทบทุกวัน เพราะความเสียดายของ อิอิ
ทุกวันนี้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ไม่ป่วยไม่มีไข้ คุณหมอยังชม ว่าเราเคร่งครัดในการดูแลตัวเอง และมองโลกในแง่ดี ไม่หมกหมุ่นอยู่กับโรค
คุณหมอบอกว่าคนที่เป็นมะเร็งจะหมกหมุ่นกับโรคจะคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าตัวเองจะต้องโน้นนี่ มันก้อจิงค่ะ แต่ถ้าคนป่วยหลุดช่วงนั้นไปได้
จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อได้ดีค่ะ ช่วงนี้เราไปไหนมาไหนเองได้แล้ว อิอิ
คุณสามีจะทดสอบทุกสัปดาห์ค่ะ จะเอาเราไปทิ้งตามห้างทั้งวันให้เราเดินซื้อโน้นนี่ ตามรายการที่คุณสามีสั่ง แล้วให้เรารอเค้ามารับตอนเย็น
ให้ลันลาได้ทั้งวัน ถ้าอยากกลับเองก้อนั่งแท็กซี่กลับ แต่เราชอบรอเค้ามารับ อยากได้คำชมตอนเจอคุณสามี คุณสามีจะตบมือดังๆ แล้วพูดจนคนอื่นหันมาดูค่ะ ใจมันเหอมเกริมค่ะ
เราสองคนสามีเลื่อนทริปฮันนีมูนมาตั้งแต่รู้ว่าเราป่วย เดือนตุลานี้เราก็อจะได้ฮันนีมูนซักที คุณหมอออกใบรับรองให้เพื่อยืนยันกับแม่ว่าเราสามารถเดินทางได้เพื่อความสบายใจของคนในครอบครัว วันที่เค้าพาเราไปซื้อเสื้อหนาว ตั้งใจเลือก ตัวโน้นสีสวย ตีนี้ไม่มีหมวก
ตัวนี้ทนหนาวได้น้อย จนเรากลั้นน้ำตาไม่ไหว ปล่อยโงเลยค่ะ คนที่ลองเสื้ออยู่ด้วยตกใจ คือมันตื้นตัน แน่นอกจุกไปหมดค่ะ
ชีวิตนี้ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เที่ยวอีก พอได้เที่ยวอีก เลยดีใจกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ยื่นร้องไห้ในร้านตั้งนาน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วันนี้เราดีขึ้นได้นั้นเป็นเพราะครอบครัวเข้าใจ และทุกคนเอาใจใส่ มองปัญหาเป็นปัญหาของตัวเอง และสู้เพื่อเรา
ตอนที่เรากลับไปบ้านนอก ญาติลุมกระหนำคุณสามีว่า เดี่ยวก้อทิ้งเพิ่งแต่งงานใหม่ๆแบบนี้ คงไม่เก็บไว้เป็นภาระ พูดกับเรื่องทรัพย์ว่าเราเขียนไว้ชัดเจนไหมเดี่ยวจะไม่ถึงมือคนในครอบครัว แต่เราไม่เล่าคุณสามีค่ะ เพราะเราเคยถามเค้าว่า หย่ากันไหม พี่จะได้ไม่มีภาระ เค้ายืนยันว่าเค้าขอแต่งงานเราเพราะเลือกเรามาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน แล้วน้องจะให้พี่ทิ้งได้ไง อันนี้น้ำตาไหล รีบเดินไปก่อนค่ะ
บางครั้งคำที่พูดออกมาลอยๆของคุณสามีทำให้ซึ้งถึงหัวใจ เค้าจะทานข้าวเช้ากับเย็นกับเราทุกมือ เค้าบอกเราเสมอว่า โต๊ะกินข้าวนี้คือชีวิตของครอบครัว เราถามว่าทำไมเหรอ ตอนเช้าก่อนออกไปทำงาน เราจะได้คุยกันว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ที่ไหน ส่วนตอนเย็น เป็นการมาเล่าสู่กันฟังว่าวันนี้เราไปเจออะไรกันมาบ้าง ถ้าต่างคนต่างกินต่างอยู่แล้วจะเรียกว่าครอบครัวได้อย่างไร
ข้อความอาจจะยาวค่ะ ทุกข้อความมาจากเหตุการณ์จิงค่ะ
ทุกวันนี้หาหมอทุกเดือนตรวจสุขภาพ ตรวจเลือด กินยาบำรุงเลือดเป็นประจำ มีวินัยกับตัวเอง คุณหมอบอกว่าให้ระวังเเรื่องติดเชื้อ ถ้ามีแผล หรือ อุบัติเหตุ ให้ทำแผลให้สะอาดอย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะมันจะอันตราย ถ้าติดเชื้อในกระแสเลือด
เราอยากมาเล่าให้คนที่ป่วยเป็นมะเร็งเหมือนกันว่า ให้สู้กับโรคค่ะ เราประสบการณ์การใช้ชีวิตยังน้อย ไม่เคยเที่ยวกลางคืน ผับนะเหรอ มันอยู่ตรงไหน หน้าตามันเป็นยังไง เหล้า เบียร์ไม่เคยลอง สัตว์ที่มีชีวิตมีเลือดไม่เคยฆ่า เรายังผ่านจุดนั้นมาได้ ถามว่าหายไหม ยังไม่หายหรอกค่ะ แต่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อได้
อย่ามัวแต่คิดว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งแล้วต้องตายอย่างเดียว ใครที่มีคนป่วยเป็นมะเร็งอยู่ใกล้ตัว อย่าตามใจคนป่วยค่ะ ต้องเคร่งครัดวินัยในการรักษา ส่วนมากคนป่วยจะเอาแต่ใจ เราก้อเป็น แต่ทางบ้านจะไม่ตามใจค่ะ
เรากับสามีอาจจะเพิ่งเริ่มการใช้ชีวิตครอบครัว แต่ที่ทำให้เราผ่านเรื่องแย่ๆร้ายๆไปได้นั้น คือ ความไว้ใจ เชื่อใจ ของกันและกันค่ะ
ไม่จับผิด ไม่ถามซอกแทรก โต๊ะอาหารคือการเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดีค่ะ ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า
มีปัญหาก้อพูดกันตรงๆอย่าเกรงใจกันค่ะ เรายึดหลักนี้ค่ะ เพราะตั้งแต่เราป่วย ร่างกายหน้าตาขี้เหร่ไปเยอะ แต่เราเชื่อใจคุณสามีไม่ชวนทะเลาะ
จะชวนเค้าคุยโน้นนี้ เมื่อเค้าเชื่อใจไว้ใจเราคิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเค้า เค้าจะเล่าทุกเรื่องราวมาเองค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ ที่เสียเวลาอ่าน สู้ๆนะค่ะ