โบตั๋น ... อักษรศิลป์ที่บานงดงามอย่างทรงคุณค่าเสมอ

ถ้าพูดถึง “โบตั๋น” หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดถึงดอกไม้หอมดอกใหญ่สัญชาติจีน มีหลากหลายสีสันงดงามชวนให้เข้าไปสัมผัสชมให้หลงใหลในยามเมื่อพบเห็น  แต่สำหรับท่านที่เป็นนักอ่านคงทราบกันดีกว่า “โบตั๋น” นี้เป็นนามปากกาของนักเขียนอาวุโสท่านหนึ่ง  ซึ่งมีผลงานนิยายในแนวสะท้อนสังคมออกมาให้ได้อ่านกันโดยต่อเนื่องตลอด  ส่วนตัวผมแล้วผมก็ไม่เคยได้รู้จัก อ.โบตั๋น ผ่านสื่อใด ๆ มาก่อน  ผมไม่เคยได้อ่านบทสัมภาษณ์หรือได้ดูข่าวเกี่ยวกับนักเขียนท่านนี้เลย  จนกระทั่งเมื่อวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมาผมจึงได้มีโอกาสได้รู้จักตัวตนของนักเขียนผู้ที่เป็นศิลปินแห่งชาติท่านนี้  ผ่านงานเสวนาที่มีชื่อว่า  “อลังการผสานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ” ที่ห้างสรรพสินค้าซีคอน บางแค ได้จัดขึ้น



ก่อนหน้านี้ผมรู้จักนักเขียนที่มีนามปากกาว่า “โบตั๋น” ผ่านนิยายเรื่องเยี่ยมซึ่งก็คือเรื่อง “จดหมายจากเมืองไทย”  ผมได้อ่านนิยายเรื่องนี้จบแล้วผมเกิดความชื่นชอบและประทับเป็นอย่างมาก  เรื่องราวนอกจากจะสนุกสนานชวนให้น่าติดตามโดยตลอดแล้ว  ผู้เขียนยังสอดแทรกเรื่องราวทางสังคมและวัฒนธรรมของเมืองไทยในช่วงเวลานั้นแฝงลงไปในเนื้อเรื่องได้อย่างแยบยล ซึ่งแน่นอนว่านิยายเรื่องนี้ได้ถูกคัดเลือกให้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในช่วงเวลานั้น  ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลานานมากกว่า 40 ปีแล้วก็ตาม  แต่เมื่อผมได้หยิบ “จดหมายจากเมืองไทย” กลับขึ้นมาอ่านอีกครั้ง  เนื้อหาในเรื่องถึงแม้ว่าจะเก่าไปบ้างตามกาลเวลา  แต่ก็เป็นเรื่องราวที่บันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของสังคมไทยได้เป็นอย่างดี  อีกทั้งตัวละครเอกนามว่า “ตันส่วงอู๋” ที่เป็นชาวจีนโพ้นทะเลซึ่งเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยนั้น  ดูเหมือนว่าตัวละครผู้นี้เพิ่งเดินผ่านตัวผมไปเมื่อผมพลิกหน้าสุดท้ายของหนังสือจบลง





“ดิฉันเป็นลูกจีนเก็บกด  เพราะว่าอยากดังเลยได้กลายมาเป็นนักเขียน”


ประโยคข้างต้นนี้เป็นคำพูดวรรคทองบนเวทีเสวนา  ซึ่งผู้พูดมีชื่อว่า นางสุภา ศิริสิงห  สุภาพสตรีผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในวัย 70 ปี  เธอผู้นี้คือศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปีพุทธศักราช 2542  ในนามปากกา “โบตั๋น”

อ.โบตั๋น ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของท่านให้ผู้เข้าร่วมเสวนาได้ฟังต่อว่า

“พ่อดิฉันเป็นต่างด้าว เป็นชาวจีนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทย  ดิฉันก็เลยเป็นลูกเจ๊กลูกจีนตามที่เขาเรียกกัน  ยิ่งด้วยการที่เป็นลูกสาวของคนจีนด้วย  ชีวิตจึงต้องรู้สึกว่าโดนบีบคั้นไปด้วยสภาพแวดล้อมของสังคมในช่วงเวลานั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ดิฉันเรียนที่อักษรศาสตร์  เพื่อน ๆ ในคณะต่างก็เอาผลงานนิยายหรือบทกวีของตัวเองมาคุยโอ้อวดกัน  ว่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้เขียนลงไปลงนิตยสารโน้นบ้างล่ะ  นิตยสารนี้บ้างล่ะ  ดิฉันก็นึกในใจว่าเรื่องนิยายแค่นี้ดิฉันก็เขียนได้  ว่าแล้วดิฉันก็เขียนเรื่องจดหมายจากเมืองไทยขึ้นมา  โดยสาเหตุที่เลือกเขียนก็เพราะว่าเรื่องในลักษณะนี้ยังไม่เคยมีใครเขียนมาก่อน  ตอนที่เขียนนั้นดิฉันยังเรียนอยู่ปี 3 อายุน่าสักประมาณ 21 หรือ 22 เอง”

หลังจากนั้น อ.โบตั๋น ก็ได้เล่าให้ฟังต่อว่า  นิยายเรื่อง “จดหมายจากเมืองไทย” พอได้ลงเป็นตอน ๆ ในนิตยสารสตรีสารก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาเยอะมาก  รวมทั้งมีคนอยากจะรู้ว่าคนเขียนคือใคร  แต่ในสมัยนั้นตัวนักเขียนเองค่อนข้างที่จะปิดตัวเอง  ไม่กล้าเปิดเผยให้สังคมได้รู้จักสักเท่าไหร่ว่านักเขียนคนนี้คือใคร  เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง  จนกระทั่งอาจารย์บุญเหลือ (มล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ) ได้เสนอเรื่องนี้เข้ารับรางวัล สปอ. ในปีพ.ศ. 2512 หลังจากนั้นผู้อ่านจึงได้รู้จักกับนักเขียนที่นามปากกว่า “โบตั๋น” มากขึ้น

ถามว่าชื่อ “โบตั๋น” นี้มีที่มาอย่างไร?

อ.โบตั๋น ยิ้มพร้อมทั้งเล่าตอบให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า  

“ด้วยความที่อยากดัง  ในช่วงนั้นเขามีนิยายเรื่องในฝัน ของโรสลาเรน ที่กำลังดังมาก โรสลาเรนก็คือดอกกุหลาบจักรพรรดิ์  เป็นดอกไม้ที่ยิ่งใหญ่  ดิฉันก็ต้องเอาบ้างสิ  ไหน ๆ เราก็เป็นลูกคนจีนเอาดอกไม้จีนก็แล้วกันจะได้สื่อความหมายได้ถูกคน  ว่าแล้วก็เลือกเอาดอกโบตั๋น  เพราะว่าดอกโบตั๋นก็เป็นดอกไม้ที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน ครั้งหนึ่งดอกโบตั๋นเคยเป็นดอกไม้ประจำชาติจีน  และเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ของพระนางบูเช็คเทียนด้วย”

พูดถึงผลงงานนิยายของ อ.โบตั๋น แล้วหลาย ๆ ท่านก็คงทราบกันดีว่า  เป็นนิยายเชิงสะท้อนสังคมที่เอาภาพความเป็นจริงของสังคมมาตีแผ่ใส่เข้าไปในตัวละคร  ซึ่งจะเป็นการช่วยชี้ถึงปัญหาและบอกผู้อ่านให้คิดหาแนวทางแก้ไขตามไปตลอด  ซึ่งถือว่าเป็นนิยายที่นอกจากจะได้ความบันเทิงแล้วยังมีสาระและแง่คิดต่าง ๆ แฝงอยู่ในเนื้อเรื่องด้วย  สำหรับแฟนประจำของ อ.โบตั๋น คงทราบกันดีว่า  นิยายส่วนใหญ่นั้นเป็นเรื่องชีวิตที่รัดทน  ตัวละครต้องฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาในชีวิตมากมาย  เป็นนิยายแนวเครียดและกดดันตัวละคร  โดยหลาย ๆ เรื่องไม่ได้จบลงแบบสุขนาฏกรรม แต่เป็นเรื่องที่เน้นการเตือนสติและการให้แง่คิดมากกว่า  อีกทั้งจะหานิยายที่เป็นเรื่องรักใคร่แนวหวานซึ้งไม่ค่อยจะมีให้ได้อ่านกันเลย

“คนใกล้ตัวดิฉันยังต่อว่าเลยว่า  เนี่ยเธอ ... เรื่องของเธอนางเอกตาย 3 เรื่องติดกันแล้วนะ  เธอจะใจร้ายไปถึงไหนเนี่ย?”

อ.โบตั๋น ยังคงเล่าให้ผู้เข้าร่วมเสวนาฟังอย่างติดตลกได้เหมือนเดิม  แล้วท่านก็เล่าถึงวิธีการคิดสร้างโครงเรื่องให้ได้ทราบว่า  ด้วยความช่างสังเกตและเหมือนจะสนใจในปัญหาของสังคม  จึงพยายามเอาปมปัญหาเหล่านั้นมาผูกเรื่องให้เห็นถึงตัวละคร  ผูกปมปัญหาให้ตัวละครไปเรื่อย ๆ ทีละปม ทีละปม แล้วค่อย ๆ แก้ปมปัญหาให้ตัวละครในตอนท้าย  โดยที่ไม่ทิ้งตัวละครให้ความสำคัญกับตัวละครเป็นหลัก  ให้ตัวละครเป็นผู้เดินเรื่อง   รวมทั้งเอาปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมในช่วงเวลานั้นมาเป็นประเด็นหรือแก่นของเรื่อง (Theme) แล้วสร้างตัวละครขึ้นมาให้เดินตามโครงเรื่อง (plot)  อย่างเช่นเรื่อง “ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด” , “บัวแล้งน้ำ” , “ทองเนื้อเก้า” , “กว่าจะรู้เดียงสา” ฯลฯ

“อย่างตอนที่คิดตัวละครชื่อลำยอง  ดิฉันก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในตลาด  เธอเป็นคนที่เลี้ยงลูกแบบปล่อยปะละเลย  อาจจะดูแล้วสำมะเลเทเมาไปสักหน่อย  แต่ไม่ได้ขี้เมาหรือร่านสวาทเหมือนในละครนะ  แล้วเธอก็มีลูกชายเล็ก ๆ คนหนึ่ง  พอลูกชายเธอไปบวชเณรแล้วก็มีคนพาเณรกลับมาโปรดมารดา  พาเณรมาให้แม่กราบ  เราเห็นแล้วก็นะ รู้สึกซึ้ง ก็เลยสะท้อนออกมาเป็นเรื่องที่เล่าว่าลูกชายแสนประเสริฐทั้ง ๆ ที่มีแม่ไม่ค่อยจะเอาไหนเลย”

อ.โบตั๋น เล่าให้ฟังถึงที่มาของนิยายเรื่อง “ทองเนื้อเก้า”  ซึ่งผู้เข้าร่วมฟังการเสวนาสามารถนำกลับไประยุกต์ใช้ในงานเขียนของตัวเองได้เป็นอย่างดี  นอกจากนั้น อ.โบตั๋น ยังเปิดใจต่ออีกว่า  นิยายเรื่องที่รักมากที่สุดในชีวิตคือเรื่อง “ความสมหวังของแก้ว”  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท่านชอบมากเป็นพิเศษ  ส่วนรองลงมาก็คือเรื่อง “กว่าจะรู้เดียงสา”  เป็นเรื่องที่หยิบเอาปัญหาโสเภณีเด็กที่เป็นปัญหาสังคมในช่วงเวลานั้นนำมาเขียนเป็นโครงเรื่อง

อ.โบตั๋น ย้ำทิ้งท้ายให้ผู้เข้าฟังเสวนาที่อยากจะเป็นนักเขียนได้จำไว้เสมอว่า ...

“ถ้าไม่มีปมก็ไม่มีเรื่อง  ถ้ามีปมแล้วจะได้มีคำถามต่อไปว่า ทำไม? หรือเพราะอะไร?  ดังนั้นในเรื่องจำเป็นต้องมีปม  แล้วผูกปมเป็นชั้น ๆ จึงจะสร้างเป็นพล็อตเรื่องได้”

อ.โบตั๋น ในปัจจุบันนี้ยังคงเขียนนิยายอยู่ตลอด  แม้ว่าท่านจะไม่ได้มีผลงานหลั่งไหลออกมาอย่างมากมาย  แต่ท่านก็มีผลงานนิยายออกมาให้ได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง   ในวัยที่อายุ 70 ปีนี้ท่านยังคงเขียนหนังสืออยู่เสมอ  พยายามเขียนให้มีนิยายออกมาได้ปีละ 1 เรื่อง  โดยเน้นที่ผลงานต้องออกมาดี  พยายามไม่เขียนเยอะเพราะว่าคุณภาพไม่ดีแล้วจะไม่เป็นที่พอใจของตัวเอง  อ.โบตั๋น ใช้เวลาในวันจันทร์ถึงวันศุกร์บริหารสำนักพิมพ์ชมรมเด็ก  ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ที่ก่อตั้งขึ้นมาร่วมกับสามีคู่ชีวิต  ในวันที่สามีไม่อยู่แล้วท่านจึงต้องทุ่มเทเวลาสำหรับดูแลกิจการสำนักพิมพ์ให้ดำเนินก้าวหน้าต่อไปได้  โดยใช้เวลาว่างในวันเสาร์และอาทิตย์สำหรับการเขียนหนังสือ  ซึ่ง อ.โบตั๋น ยังฝากทิ้งทายสำหรับแฟนประจำผู้ชื่นชอบผลงานในนามปากกา “โบตั๋น” ว่า  เรื่องล่าสุดที่เพิ่งเขียนเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (พ.ค. 2557) มีชื่อเรื่องว่า “สุดทางฝันวันฟ้าใส”  ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการจัดพิมพ์  ผู้ที่สนใจอยากจะอ่านเรื่องล่าสุดนี้ก็สามารถไปตามหาซื้ออ่านกันได้ในงานสัปดาห์หนังสือ ที่บูธของสำนักพิมพ์ชมรมเด็ก ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2557 นี้

เขาว่ากันว่า ดอกไม้งามนั้นจะงามเมื่อแรกแย้ม  กลีบดอกที่มีสีสันสวยงามของดอกที่บานแล้วสามารถดึงดูดหมู่มวลภมรให้บินมาชื่นชมได้  แต่ดอกไม้ใดที่มีคุณค่าเกินเลยความงดงามไปแล้ว  ก็อาจจะทรงค่าเกินกว่าเพียงแค่ให้เหล่าแมลงได้บินตอมเท่านั้น  ดอกไม้ดอกนั้นจึงควรจะได้รับการยกย่องเพื่อประดับคุณงามไว้ให้เหล่ามนุษย์ได้ชื่นชมอีกด้วย  คงไม่ต่างไปจากดอกไม้งามเชื้อสายจีน  ดอกไม้หอมดอกใหญ่ผู้มีนามว่า “โบตั๋น” ดอกนี้  จึงทรงค่าสำหรับการยกย่องเชิดชูให้เป็นศิลปินแห่งชาติอย่างแท้จริง




















@@@@@@@@@@@


คุยกันท้ายเรื่อง

บทความเรื่องนี้ผมเขียนขึ้นหลังจากที่ผมได้ไปร่วมฟังงานเสวนาของ “โบตั๋น” ที่งาน “อลังการผสานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ”  ซึ่งห้างสรรพสินค้าซีคอน บางแค  ได้จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2557 โดยมีผู้ร่วมเสวนา 3 ท่านคือ  คุณสุภา สิริสิงห (โบตั๋น) ศิลปินแห่งชาติ , อาจารย์รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ และอาจารย์ชุติมา เสวิกุล  โดยในงานเสวนาได้พูดถึงเรื่องราวชีวิตการเป็นนักเขียนของ อ.โบตั๋น  ผมได้ฟังแล้วรู้สึกประทับในผลงานของท่านอาจารย์โบตั๋นเป็นอย่างมาก  ผมเลยเก็บรายละเดียดที่ได้ฟังจากในงานมาเรียบเรียงเพื่อเขียนเป็นบทความนี้ขึ้นมา  ตัวผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะสามารถรายละเอียดได้ถูกต้องและครบถ้วนทั้งหมดหรือไม่?  แต่ก็หวังว่าเรื่องราวในบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้ที่สนใจได้บ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่