ขอให้ Feedback กับนักแสดง ทีมผู้จัดละคร "ไฟรักเพลิงแค้น"

ละครไฟรักเพลิงแค้น
สมาร์ท กฤษฎา พรเวโรจน์ , แยม มทิรา ตันติประสุต
ปี 2557


ขอเกริ่นก่อนว่าตัวของผมเองเคยดูละครโทรทัศน์ตอนเด็กๆ ช่วงนั้นนั่งดูกับคุณแม่น่ะครับ พอโตขึ้นมาหน่อยไม่ค่อยมีเวลาผนวกกับเราเองเป็นผู้ชายคงจะรู้สึกว่าดูละครไม่ค่อยอินเท่าไหร่(รู้สึกส่วนตัวนะครับ) และด้วยความที่เป็นคนชอบเรื่องการถ่ายภาพตั้งแต่เด็ก เวลาได้ดูละครกับคุณแม่ ก็ชอบที่จะสังเกตุมุมมองการถ่ายทำมากกว่าจะจดจ่อกับเนื้อเรื่อง

เรื่องล่าสุดที่ดูแบบเป็นจริงเป็นจังจำได้ว่าเป็นเรื่อง รุกฆาต(คมแฝก2) ของช่อง7 แล้วก็ไม่ได้ดูอีกเลย จนเมื่อที่ผ่านมาไม่นานก็ได้ดูเรื่อง พรพรหมอลเวง ของทางช่อง 3 ซึ่งเรื่องนี้มาทราบทีหลังว่าผ็กำกับเดียวกันกับไฟรักเพลิงแค้น สำหรับพรพรหมอลเวงดูแล้วรู้สึกสนุกแต่จะขอพูดถึงแค่นี้แล้วกัน

สำหรับ ไฟรักเพลิงแค้น

พูดถึงพระเอก-นางเอก
ได้พระเอกคุณสมาร์ทฯ มาเข้าคู่กับน้องแยม มทิรา  ตัวนางเอกอายุ 17 ปี ซึ่งอายุเท่ากับน้องสาวผมพอดีและห่างจากผม 4 ปี แต่ต้องมารับบทเป็นนักธุรกิจ ที่จบปริญญาโท จากต่างประเทศ แถมด้วยตัวเรื่องที่ต้องสร้างให้เกิดความแค้นฟังใจ และมีฉากอารมณ์เยอะแยะมากมายจนผมถือว่าเป็นละครไทยที่ดราม่าทั้งเรื่อง แต่ตัวนางเอกเองกลับฉีกภาพคนอายุ 17 ออกไปได้อย่างน่าชื่นชม แต่ทั้งนี้ก็ต้องชมฝ่ายเครื่องแต่งกายด้วย เพราะมีส่วนสำคัญในการปรับลุคนักแสดงเหมือนกัน ผมหาข้อมูลก่อนจะมาให้ฟีดแบคและทราบว่าตัวนางเอกเองพึ่งรับบทนางเอกเรื่องแรก ก่อนหน้ามีผลงานแสดงมาบ้าง แต่ยังถือว่าเพิ่งเริ่มได้ไม่นานสำหรับละครที่ไม่ใช่แนวจักรๆวงศ์ๆ แต่กลับแสดงได้ดี ฉากเศร้าก็ถ่ายทอดออกมาได้เศร้าจริงๆ ฉากมีความสุขที่มีอันน้อยนิดในเรื่องนี้ก็แสดงออกมาได้สุขจริงๆ สำหรับนางเอกผมให้ผ่านและคิดว่าเหมาะสมกับเนื้อเรื่องมากครับ อันนี้ชมคุณชุดาภา ผู้กำกับตาถึง

สำหรับพระเอก สมาร์ท กฤษฎา ชีวิตจริงอายุ 36 แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงช่องว่างระหว่างตัวพระเอกกับนางเอกสักเท่าไหร่ ด้วยองค์ประกอบของเรื่อง และความสามารถของพระ-นาง ทำให้ผมเองดูแล้วเรื่องอายุไม่เป็นปัญหากับความรู้สึกคนดูอย่างผมเลย ตรงนี้ยอมรับในฝีมือนักแสดง
ด้วยบทบาทของยศสรัลเองเป็นคนยอมคน พูดง่ายๆคือคนดี คิดดีไปหมดทุกอย่าง ก็เหมาะสมกับบุคลิกของคุณสมาร์ทครับ

สำหรับทั้งคู่ พอมาเข้าฉากอารมณ์ด้วยกันทำได้ดีจนถึงดีมาก มาโดยตลอด  ผมติดใจฉากจบและขอตินิดนึง เพราะคิดว่าทั้งพระเอกนางเอกสามารถดึงอารมณ์ของความอึดอัดใจที่แม้จะรักกันเท่าไหร่ก็ลงเอยกันไม่ได้ ผมคิดว่าด้วยความสามารถของทั้งคู่ สามารถดึงอารมณ์ให้คนดูรู้สึกถึงความอึดอัด อัดอั้นตันใจได้มากกว่านี้อีกระดับนึง วันนี้ลองรีเพลย์ดูฉากจบก่อนมาให้ฟีดแบค เข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะทั้งคู่ร้องไห้น้อยไปจึงไม่สมกับความอัดอั้นที่มีอยู่ตอนนั้น  ผมหมายความว่า ตัวเนื้อเรื่องดำเนินมาจนสุดท้ายแล้วทั้งคู่รักกันมาก แต่คบกันไม่ได้เพราะครอบครัวต่างก็มีความหลังที่ไม่ดีมาร่วมกัน ตัวคนรักกันแต่มันรักไม่ได้เพราะพ่อแม่ เพราะเรื่องที่ตนต่างก็ไม่ได้ก่อขึ้นมา มันไม่สมหวังเพราะคนอื่น เพราะเกิดมาในครอบครัวที่มีปัญหากัน
ทำให้รู้สึกว่าสุดท้ายแล้ว ฉากจบมันต้องดึงอารมณ์มากกว่านี้สักหน่อย ต้องทำให้คนดูอึดอัด โหวงเหวงใจมากกว่านี้อีก จึงจะถ่ายทอดอารมณ์ได้สมกับเนื้อเรื่องที่ดำเนินมา และมองดูแล้วตัวนักแสดงก็สามารถดึงอารมณ์ได้มากกว่านี้อีก แต่กลับดึงออกมาไม่หมด มันไม่สมกับการที่ต่อจากนี้ไปจะไม่ได้รักกันหรืออาจจะไม่ได้พบกันอีกตลอดชีวิต(ตรงนี้เนื้อเรื่องไม่เคีลยร์ ขอนำไปพูดถึงในส่วนของบทนะครับ)  แต่ฉากอื่นตั้งแต่ต้นจนจบ ชื่นชมครับ โดยเฉพาะฉากที่วีด้าถูกคัชพลจับตัวไป แล้วยศสรัลเข้าไปช่วยและทั้งคู่ช่วยกันปกป้องซึ่งกันและกัน ทั้งคู่แสดงได้ดี สื่อให้ผมรู้สึกได้ว่าตัววีด้าเพิ่งจะก้าวข้ามความโกรธที่มีต่อพระเอกมาได้ พูดง่ายๆคือเพิ่งวางทิฐิที่มีต่อพระเอกลงบ้างเมื่อเจอเหตุการณ์นี้ สำหรับตัวพระ-นาง ขอให้ฟีดแบคเพียงเท่านี้ครับ

พูดถึงการวางตัวละครอื่นๆ
โดยรวมแล้วเลือกนักแสดงได้สมบทบาทดีครับ ตรงนี้ไม่ได้ชื่นชมอะไรเป็นพิเศษเพราะเข้าใจว่าทีมงานจัดทำละครเป็นมืออาชีพในเรื่องนี้กันอยู่ก่อนแล้ว  ถ้าบอกว่าให้คอมเม้นท์บทบาทนักแสดงคนอื่นมาสักหน่อย ผมขอพูดถึงตัวหลักๆที่ผมรู้สึกว่าเล่นดีนะครับ คือบทบาท "นาย บัญชา"{ดุ๊ก ภาณุเดช} คนนี้เล่นร้ายได้สมบทบาท แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะเป็นนักแสดงเก๋าประสบการณ์แล้วล่ะ  อีกคนนึงคือ "คุณคัชพล"{โอ๊ต วรวุฒิ} แสดงได้ถึงความเจ็บแค้นที่ตัวเองถูกหลอกได้ผ่านทางสีหน้าและสายตาได้อย่างถึงอารมณ์มากโดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่ออนแอร์เมื่อวาน คุณคัชพลมีฉากไม่เยอะ ฉากพูดก็ไม่เยอะ แต่แค่ดูแววตาและสีหน้าก็ถ่ายอารมณ์ให้คนดูอย่างผมรู้สึกได้ถึงความเสียใจปนเจ็บแค้นนิดๆ สำหรับสองบทบาทนี้ชื่นชมครับ

สำหรับบทบาทที่ขอติคือบทบาท "เกรซ"{ผักไผ่ ปารีณา} ที่แสดงเป็นเพื่อนนางเอก
โดยรวมก็แสดงได้ถือว่าไม่ใช่ไม่ดี แต่บางฉากที่เป็นห่วงนางเอก หรือฉากที่เป็นกังวล ยังแสดงได้ไม่ถึงความรู้สึกของความห่วงเพื่อนรักจะเป็นอะไรไป จนทำให้ผมกลับรู้สึกว่าเหมือนเป็นเพื่อนที่ไม่ได้สนิทอะไรกันมากด้วยซ้ำ ทั้งที่เนื้อเรื่องแม้จะเขียนว่าทั้งคู่แยกกัน นางเอกไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วไม่ได้เจอกันนาน แต่ฉากแรกในช่วงเริ่มเรื่องที่นางเอกเดินอยู่กับกลุ่มเพื่อน 3 คน มันก็ยืนยันได้ว่าตัวเกรซกับวีด้าเองสนิทกันมาก ตรงนี้ขอติครับ

เรื่องสุดท้ายที่ขอให้ฟีดแบค และคิดว่าสำคัญที่สุดครับ
"ตัวบท เนื้อเรื่อง และการดำเนินเรื่อง"

สำหรับบท และเนื้อเรื่อง จัดวางมาได้ดีไม่ขัดแย้งกัน  เขียนได้น่าสนใจ น่าติดตาม ตรงนี้ไม่ขอพูดถึงมากเพราะมันอยู่ที่ความชอบของใครของมัน ดีหรือไม่ต้องวัดจาก Rating ละคร ซึ่งผู้จัดและนักแสดงคงทราบดี สำหรับผมผมถือว่าสนุกครับ เพราะถ้าไม่สนุกคงไม่นั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบและมานั่งพิมพ์ฟีดแบคเกือบ 2 ชั่วโมงขนาดนี้

สำหรับเนื้อเรื่องนั้นเข้าได้กับชื่อเรื่อง "ไฟรักเพลิงแค้น" อย่างดีในระดับที่ถือว่าดีเยี่ยม สุดท้ายแล้วจบด้วยเพลิงนั้นมอดไหม้และสงบลง แต่ก่อนจะมอดได้นั้นมันก็ได้เผาเอาสิ่งต่างๆให้เสียหายไปมากมาย ทั้งธุรกิจ ความรู้สึก และชีวิตคนรอบข้าง ทำให้สุดท้ายแล้วแม้เพลิงแค้นที่มีจะหมดลง แต่ไฟรักกลับไม่ได้หมดตามลงไปด้วย มันยังคงเผาพลาญใจของวีด้าจนทำให้ท้ายที่สุดแล้วไม่อาจยอมรับในรักที่สมหวังได้
เนื้อเรื่องที่จบแบบที่เรียกว่า ไม่ Happy Ending นั้น ไม่ใช่เกิดกับละคร-ภาพยนต์ไทยเรื่องนี้ครั้งแรก และก็เข้าใจดีว่าคนเขียนบทพยายามจะฉีกแนวละครไทยเดิมๆที่ไม่ว่าจะเป็นยังไง สุดท้ายพระนางก็รักกัน คนดูสมัยใหม่ไม่ใช่พ่อยกแม่ยกละครแบบสมัยก่อน เด็กวัยรุ่น เยาวชน ดูกันเยอะแยะมากมาย ทำให้เข้าใจได้ว่าการฉีกแนวละครแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกหรือแย่อะไรเลย ผมมองว่าดีด้วยซ้ำไปที่ทีมงานกล้าที่จะดีไซด์ให้เรื่องมันออกมาแบบนี้ และสุดท้ายก็ทำได้ดีมาก ผมให้ผ่าน

** ฝากถึงทีมงานและนักแสดง(ไม่รู้จะถึงไหม) : อย่าได้รู้สึกแย่กับฟีดแบคจากคนดูบางกลุ่มที่ไม่ชอบใจกับการที่เรื่องจบแบบไม่สมหวังนะครับ มันเป็นแค่อารมณ์ร่วมที่คนดูรู้สึก ไม่นานเขาก็หายไป สำคัญอยู่ที่คนทำหนังจะสื่ออะไรมากกว่า ถ้ามันสื่อได้อย่างที่ต้องการผมถือว่าพวกคุณSuccess นะ **

ขอพูดหนักๆ ถึงเรื่องการดำเนินเรื่องนะครับ
การดำเนินเรื่องเป็นมาด้วยดี จนตอนสองตอนสุดท้ายที่จะจบ ผมได้ไปอ่านฟีดแบคของหลายคนใน youtube ก่อนจะมาคอมเม้นท์ที่นี่แล้ว หลายคนให้ความเห็นตรงตามที่ผมรู้สึกคือ เนื้อเรื่องเหมือนพยายามถูกบีบให้ทันกับเวลาจบ ตัวละคร"สินี"{แม่พระเอก} กำลังแสดงความร้ายกาจ และเหมือนกำลังจะสื่อให้คนดูรู้สึกว่าตัวแม่เองก็ร้ายอยู่ลึกๆ และล่วงรู้ความลับต่างๆของบรรชากับคัชพลมานานแล้ว จากประโยคที่บอกคัชพลประมาณว่า "ถ้าฉันกลัว(ติดคุก)ฉันอยู่กับพ่อแกมาไม่ได้หรอก","ฉันรู้ทุกเรื่องมากกว่าที่แกรู้ซะอีก" อ้างอิงจาก http://www.youtube.com/watch?v=W-xclr5-k8Y นาทีที่ 14.30
แต่สุดท้ายกลับจบด้วยการที่สินีก็ยังแค้นตัวนางเอกอยู่ และไม่ได้แสดงความร้ายกาจมากมายถึงขนาดที่บทต้องการดันให้ตัวละครนี้ร้าย ราวกับว่าเนื้อเรื่องยังมีต่ออีกแต่ต้องถูกตัดให้จบเพื่อให้ทันเวลาเสียอย่างนั้น ตรงนี้คือจุดที่หลายๆคนที่ผมไปอ่านมาให้ฟีดแบคที่ตรงกันครับ

สำหรับเรื่องของคัชพลและมณฑิตา(เจิน ณิชชาพัณณ์) ที่มีอะไรกันแล้วสุดท้ายมีน้องจนท้ายที่สุดก็ลงเอยกันด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน และพร้อมใจกันหนีไปอยู่ต่างประเทศด้วยกัน หลายคนบอกว่ามันดูจบแบบห้วนๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าสมเหตุสมผลแล้ว เพราะเรื่องลูกในท้องก็สรุปได้ว่ามณฑิตาจะไม่ยอมทำแท้งเพราะรักลูก และตัวคัชพลในตอนแรกก็ไม่ได้บังคับให้ไปทำแท้งแต่อย่างใด และมีท่าทีไม่เห็นด้วยกับสินีที่สั่งให้ไปเอาลูกออกด้วย(ผมรู้สึกเล็กๆว่าคัชพลไม่เห็นด้วยจากท่าที) แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่มีความรักในเด็กที่กำลังจะเกิดมา ผนวกกับความเห็นอกเห็นใจจึงทำให้คนดูอย่างผมเข้าใจได้ว่าทั้งคู่ลงเอยกันด้วยครอบครัวเล็กๆในต่างประเทศ ตรงนี้ผมถือว่าจบได้ไม่เลว

สำหรับน้องเล็กของวงการอย่างบท ธัญกร และ รัชนา (โบ๊ท ธารา,น้ำหนึ่ง) ซึ่งเป็นนักแสดงใหม่ และหนึ่งในนี้ผมก็รู้จักทำให้รู้ว่าในชีวิตจริงเมื่อเปลี่ยนบทบาทไปเล่นละครจะต้องปรับตัวขนาดไหน ก็ไม่ขอติหรือชมอะไรมากสำหรับคู่นี้ เพราะไม่ค่อยมีอะไรให้ติ ถ้าเทียบกับการเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งประเดิมงานแสดง เล่นแข็ง เล่นไร้อารมณ์เป็นเรื่องธรรมดาที่ดาราใหม่แทบจะเป็นกันทุกคน ชื่นชมสำหรับธัญกร ที่แสดงบทเจ้าอารมณ์ในฉากวีนเหวี่ยงได้ดี ส่วนบทบาทรัชนา น้ำหนึ่งซึ่งก็เป็นนักแสดงใหม่แกะกล่อง ถ้าจะหาข้อติที่ปรับเปลี่ยนได้ง่ายที่สุดก็คงเป็นเรื่องสีหน้าที่แสดงออกมาเวลาพูด ยังมีความเกร๊งอยู่มาก แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรค์อะไรมากมาย ตรงนี้แก้ได้แน่นอนในอนาคต
สำหรับเรื่องของคู่นี้ ก็จบได้แบบไม่ค้างอาอะไรมากถ้าเทียบกับคู่พระ-นาง เพราะในช่วงท้ายก็บอกได้ว่ากำลังจะหมั้นกัน แม้เนื้อเรื่องไม่ได้ดำเนินให้คนดูเห็นว่าไปตกลงปลงใจกันตอนไหน แต่ตอนที่คุณบรรชาเสีย บทบาทการดูแลให้กำลังใจกันของทั้งคู่ก็ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่าคงจะรักกันจริงๆตอนนั้น

บทบาทเรื่องอื่นๆก็เป็นปกติดี ดูเร่งรัดแบบแปลกๆตามที่คนส่วนใหญ่ให้คอมเม้นท์
และบทบาทที่สำคัญที่ขอพูดสุดท้ายคือ เนื้อเรื่องของพระเอกนางเอก  ที่ตอนจบแม้จะไม่สมหวังและถูกแฟนละครแนว Happy Ending บางคนถึงกับตัดพ้อ ไม่พอใจ แต่ก็อย่างที่ผมได้บอกไป มันคืออารมณ์ร่วมมากกว่า นั่นหมายความว่าตัวผู้กำกับและทีมงานทำออกมาได้ดีมาก จนคนดูอินขนาดนี้ 5555 สำหรับส่วนของการแสดงผมได้พูดไปในช่วงต้นแล้วว่ามันสามารถดึงอารมณ์เศร้าได้มากกว่านี้อีกระดับนึง แต่จะไม่ขอพูดถึงอีกแล้วกัน เพราะงานที่ออกมาก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ผมว่ารวมๆฉากอารมณ์ตอนจบก็ทำให้ผมนอนเกือบจะไม่หลับไปครึ่งคืนเพราะความอิน แค่รู้สึกว่าถ้าดึงอารมณ์ขึ้นอีก มันจะพีคสอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่ควรจะเป็นมากกว่า พูดง่ายๆคือเนื้อเรื่องวางออกมาได้เศร้ามาก แต่พระ-นางยังเศร้าได้ไม่ถึง ประมาณนั้น
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเนื้อเรื่องของพระ-นาง ผมคิดว่าถ้ามีเวลาเหลือมากกว่านี้อีกซักครึ่งชั่วโมง ให้เรื่องได้ดำเนินให้ผู้ชมเห็นว่าสุดท้ายแล้วหลังจากวีด้ายอมรับรักของยศสรัลไม่ได้(แม้จะสวนทางกับใจตัวเองมาก) แล้วต่อไปจะเป็นยังไง?? นางเอกไปอยู่สิงค์โปรแล้วต่างคนต่างหมกมุ่นตั้งใจทำงานและไม่ยอมที่จะรักใครอีกต่อไป หรือต่างคนต่างแยกกันไปเพื่อมีชีวิตใหม่และพร้อมจะมีรักใหม่ หรือว่ายังไง??
ตรงนี้เนื้อเรื่องไม่ดำเนินต่อให้ผู้ชมทราบ ถ้าดำเนินต่ออีกสักหน่อยและจบด้วยฉากทะเลในช่วงที่วีด้ายังเป็นน้องแพรเหมือนที่จบไป ก็ยังถือว่ากระชากใจคนดูได้แบบไม่คาใจกับเนื้อเรื่องแบบนี้

แต่ทั้งนี้ก็เข้าใจนะครับว่าทำไมถึงต้องจบห้วนๆแบบนี้ ถ้าไม่นับเรื่องเวลาก็อาจจะเป็นเพราะผู้ทำหนังต้องการสื่ออารมณ์ความอึดอัดใจที่วีด้า(แพร)และยศสรัลรักกันมาก แต่สุดท้ายแล้วลงเอยไม่ได้ เลยทิ้งคนดูไว้ด้วยความว่างเปล่าในใจ พร้อมกับความอัดอั้นตันใจ ตรงนี้ก็ถือว่าถ่ายทอดได้ดี มองรวมๆแล้วแม้จะดูรวบรัดเนื้อเรื่องไปหน่อย แต่ก็ถือว่าผมให้ผ่านครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่