3 ประสบการณ์ของ ความผิดพลาด ความล้มเหลว และ การขาดทุน!!!

ในการเล่าเรื่องราวและเขียนบทความของผม ผมมักจะเล่าเรื่องราวที่สำเร็จทำแล้วดีทำแล้วรุ่ง จนหลายๆคนสงสัยว่า ทำแล้วไม่ “เจ้ง” บ้างเหรอ? มีความผิดพลาดหรือล้มเหลวหรือไม่อย่างไร?


เบื้องหน้าที่ผมเล่าดูเหมือนว่า “ค่อนข้างจะ” ประสบความสำเร็จลงทุนแล้วมีกำไร แต่เบื้องหลังหาเป็นเช่นดังฉากหน้าไม่ เพราะ มันไม่สวยงามและมันเจ็บปวดจากรอยแผลที่เกิดจาก ความผิดพลาด ความล้มเหลว และ การขาดทุน


ในบทนี้ผมขอแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาด ความล้มเหลว และ การขาดทุน 3 เรื่องเบาๆ



ประสบการณ์การแรก

เท้าความกลับไปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนครอบครัวผมโดนภาระหนี้สินหลักล้านจากหนี้ที่ไม่ได้ก่อ “จากการค้ำประกันหนี้” สองข้าราชการแทบล้มทั้งยืน นั่นคือบทเรียนจากความผิดพลาดเรื่องแรกที่ผมรับรู้ และแม่สอนผมด้วยน้ำตาของท่าน ... หลายปีผ่านไปท่านปลดหนี้สร้างความเป็นไทให้แก่ตัว และเก็บหอมรอมริบเงินได้จำนวนหนึ่งจึงได้ร่วมกับน้องชายเปิดร้านขายของขึ้น เปิดได้ไม่นานก็เจอกับวิกฤตต้มยำกุ้ง มีของกองเต็มบ้านแต่ขายไม่ได้ ภาระมีต้องจ่ายแต่รายได้มีไม่พอ โชคยังดีที่แม่ยังไม่ได้ลาออกจากราชการ จึงกลับมาทำงานพยาบาลเช่นเดิม แต่น้าชายยังคงขายของต่อไป ขอให้ได้ทุนคืนสักนิดก็ยังดีแต่กิจการกลับขายได้ดีขึ้นตามลำดับและแม่ผมออกจากราชการมาช่วยน้องชายในท้ายที่สุด

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เล่นงานเราเสียอ่วมอรทัย ... เหตุเกิดที่อเมริกาทำให้เศรษฐกิจโลกย่ำแย่ระส่ำระสาย มันได้ลามมาตามซัพพลายเชนจนมาถึงประเทศไทย และ ก็มาถึงร้านขายของเล็กๆพนักงานสิบคน กับ หนี้สูญหลายล้านบาท!!!! กำไรสะสมที่ทำมาหลายปีหมดไปในพริบตาเท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ “เรากำลังจะถูกฟ้องยึดทรัพย์โดยเจ้าหนี้ของเรา” คุณแม่กับน้าชายมีทางเลือกเดียวคือต้องหาเงินมาใช้คืนให้ได้!!!!

ผมได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญ เป็นโจทก์ขึ้นศาลฟ้องร้องและทวงหนี้!!!! ผมเป็นตัวแทนโจทก์ยื่นฟ้องร้องลูกหนี้ 11 ราย ที่เอาสินค้าของเราไปแล้วไม่จ่ายเงิน ... หนุ่มน้อยอายุ 23-24 ปี ขึ้นศาลทวงหนี้ ไกล่เกลี่ย ทำทุกทางให้ได้เงินคืนมาสักนิดก็ยังดี ... หนุ่มน้อยเข้าไปนั่งเจรจาหนี้ในห้องไกล่เกลี่ยกับกับลูกหนี้ที่เป็นนักธุรกิจข้ามชาติมี 5 โรงงานใน 3 ประเทศที่ทรุดจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ได้เงินก้อนคืนมาสองแสนจากยอดหนี้เป็นล้าน ... หนุ่มน้อยกับลูกน้องแอบไปดักเจอเจ้าของโรงงานที่กำลังจะพยายามขนเครื่องจักรออกจากโรงงานเพื่อหนีหนี้ ได้เงินคืนมาหกหมื่นจากยอดกนี้ 1.8 แสนก่อนที่เขาจะหายเข้ากลีบเมฆ!!! ... หนุ่มน้อยหลงเชื่อคารมลูกหนี้ที่เล่าความคับแค้นใจในชีวิตทั้งน้ำตาเพื่อขอร้องให้ไม่ฟ้อง แต่กลับมาถูกด่าลับหลังว่าไอ้เด็กนี่มันโง่เองที่ไม่ฟ้อง!!!! … ร้านค้าเล็กๆโดนโกงไปหลายล้านแบบนี้ก็คงไม่เหลืออะไร ... ถึงแม้เราจะไม่เหลือเงินแต่เรายังทำมาหากินต่อได้ เรายังมีสมองและสองมือ เรายังมีร้าน สินค้า และ ยังคงมีพนักงานที่อยู่กับเรา

ปัญหาเดิมๆที่เราแก้ไม่ตกก็วนเข้ามา เมื่อปีที่แล้วเราปล่อยเครดิตสินค้าล็อตใหญ่ให้ลูกค้าที่เคยซื้อขายกันมาหลายปีรายหนึ่ง มูลค่า 2 ล้านกว่าบาท ลูกค้าผมไปรับงานที่ใหญ่เกินตัวและปิดงานไม่ลงทำให้เขาไม่ได้รับเงินตามที่กำหนด แก้งานแล้วแก้งานอีกจนขาดทุนและเสียสภาพคล่อง ไม่มีเงินหมุน ผลก็คือผลัดผ่อนหนี้ 2 ล้านกว่าบาทนั้นต่อเราครั้งแล้วครั้งเล่า หลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ผมยื่นจดหมาย(โนติส)แจ้งว่าจะฟ้องบังคัดคดีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

หลังจากที่เขาได้รับจดหมาย(โนติส) เขาก็ติดต่อเข้ามาขอเจรจา ตีเช็คล่วงหน้ามาให้หนึ่งใบยอด 500,000 บาท ... สรุปก็เด้ง โทรทวงถามก็ตะคอกใส่เข้ามาในโทรศัพท์ “กรูก็โดนเขาโกงมา เงินก็ไม่ได้ จะเอาอะไรกับกรูอีก” ผมก็ถามกลับว่า “แล้วมันคือความผิดของผมหรือเปล่าที่พี่ทำงานพลาด ปิดงานไม่ลง แล้วจะไม่จ่ายเงินผม?” ความอดทนผมก็ขาดผึง เราให้เวลามาเกือบปีแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็ฟ้องทั้งแพ่งและอาญาคดีเช็ค ฉ้อโกง ถ้าไม่มีเงินจ่ายผมผมจะยึดบ้าน!!! ยังไม่เห็นหมายศาลคงยัง ไม่รู้สึกผมขึ้นศาลหลายนัด ในที่สุดเขาขอไกล่เกลี่ย โดยการนำเงินมาชำระบางส่วนและส่วนที่เหลือขอผ่อน ตอนนี้หนี้คงเหลือก็ราว 1.4 ล้านบาท ถ้าขาดส่งผมก็ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่บริษัทเขามีก็แค่นั้น ... เมื่อต้นเดือนลูกน้องแจ้งผมว่ามีอีกราย ลูกค้าค้างชำระเลยวันจ่ายเงินมา 2 เดือนแล้ว ตอนนี้กำลังทวงถามอยู่ สามแสนกว่าบาท!!! ตอนนี้ก็ได้แต่เตรียมตั้งหนี้สงสัยจะสูญ

สัดส่วนหนี้เสียมีสูงมาก เกิดจากหลายๆปัจจัย ความเชื่อใจ ความไว้ใจ ความผิดพลาดของผมและทีมงาน เพราะเห็นแก่ซื้อขายกันมานาน สถานประกอบการใหญ่โตน่าเชื่อถือ ปล่อยสินค้าให้เครดิตมากเกินกว่าที่กำหนด เพราะ อยากขาย อยากสร้างยอด … สองสามปีที่ผ่านมานี้ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ การเมือง และจากการบริหารงานของเราเอง ร้านค้าเล็กๆอย่างเราโดนไล่บี้อย่างหนักจากรายใหญ่จากเมืองหลวง ที่เข้ามาทำตลาด และ แรงกดดันมหาศาลจากการเกิดขึ้นอย่างกับดอกเห็ดของร้านค้าปลีกขนาดยักษ์!!! ยอดขายตก หนี้สูญเพิ่ม กำไรบางเฉียบลงไปทุกทีๆ


มันเป็นโจทย์ใหญ่ของผม ... ว่าผมควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้?




ประสบการณ์ที่สอง

ผมเริ่มทำงานได้เงินเดือน 13,000 บาท(ปี 2551) ทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ นอกเวลาเต็มที่ ไม่อั้น เพราะ เต็มใจทำฟรี ถ้ามีงานค้างให้ทำ!!! เรียนตามตรงว่า “มันก็ไม่พอใช้” สมัยผมเรียนผมสอนพิเศษ ทำงานนู่นนี้นั่นรายรับรวมมากกว่าสองหมื่น พอทำงานจริงรับ 13,000 บาทแทบไปไม่เป็น … ต้องหารายได้เสริม

วัยรุ่นใจร้อน คิดไวทำไว อาศัยคำว่าอยากทำนำทาง ... ทุบกระปุกออมสินลงขันกับพี่สาวคนละ 40,000 บาท ไปซื้อกระถางต้นไม้จากด่านเกวียนมาขายตามตลาดนัด ... คิดง่ายๆ หมู่บ้านจัดสรรเยอะเป็นพันหลัง ซื้อกระถางของผมบ้านละใบสองใบก็รวยแล้ว ... ว่าแผนง่ายๆก็เจ้งง่ายๆ เช่นกัน เลิกงานก็ขนของไปตั้งร้านกว่าแล้วก็หกโมงกว่า กว่าจะเก็บของกลับบ้านนอนก็เกือบเที่ยงคืน สองเดือนผ่านไปพอขายได้ แต่พอหักค่าที่กับค่าน้ำมัน ค่าข้าวของเสียหายจากการยกไปยกมาจำนวนมาก

สรุปก็ ขาดทุนเละเทะ กลายเป็นของประดับบ้านที่เสียดแทงใจไปในที่สุด



ประสบการณ์สุดท้าย

ผมเคยสัญญาไว้ครับว่า ถ้าร้านเครื่องเขียนมีกำไรเมื่อไหร่จะกลับมาเล่าให้ฟัง ที่ยังไม่ได้กลับมาเล่าเสียที ก็เพราะ มันยังคงขาดทุนอยู่

ผมขยับขยายและเปิดร้านเครื่องเขียน ชิงจังหวะรีบเปิดรองรับมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดห่างออกไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร ผมทุ่มเงินลงทุนหลักล้านบาท!!! ผมคิดว่าผมวางแผนมาอย่างดีและรัดกุม ... กันเงินสำรองไว้จำนวนมาก เพราะ คาดว่าจะขาดทุนถึง 7 เดือน ... แต่ก็ยังดีไม่พอ เพราะ กิจการขาดทุนต่อเนื่องสะสมมา 12 เดือน รวมแล้วกว่าสองแสนบาท!!!!

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ความผิดพลาดอย่างมหันต์ประการแรก ... เป็นความผิดพลาดในแผนเชิงรับ ผมแย่งชิงตลาดจากเจ้าตลาดเดิม แต่ผมประเมินคู่แข่งต่ำเกินไป ผมตีเจ้าตลาดไม่แตกยังไม่พอ เขาแข็งแกร่งถึงขนาดตีผมจนถอยร่น เขาขยายสาขาดักทางผม ตีโอบและกดดันผมจากสองทิศทาง ... ขาดทุนสะสม ทุนรอนหมดหน้าตัก และ ผมกลับเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำในเกมครั้งนี้ คงเข้าสำนวนที่ว่า ขโมยไก่ไม่สำเร็จขาดทุนข้าวสารไปกำมือ

ความผิดพลาดอย่างมหันต์ประการที่สอง ... เป็นความผิดพลาดในแผนเชิงรุก ผมวางแผนรุกตลาดวิ่งชนหาลูกค้าตามแผนที่ 1 2 3 ตามแผนต้องเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม จนบัดนี้เดือน พฤษภาคม ยังไม่ได้ออกหาลูกค้าเลยแม้แต่รายเดียว เพราะ ผมคาดการณ์ผิด คิดไม่ถึงว่าเจ้าตัวเล็กจะเลี้ยงยากขนาดนี้!!!! ภรรยาผมคลอดเจ้าตัวเล็กออกมาเดือนตุลาคมปีที่แล้ว(2556) ตอนผมวางแผนผมคิดว่าเดือนมกราคมน่าจะเข้าลองเข้าลอยและภรรยาผมสามารถออกเขาพบลูกค้าได้ แต่มันไม่ใช้เลย เพราะ การเลี้ยงลูกจริงๆนั้นต้องใช้เวลาและความเอาใจใส่มากกว่าที่คิดไว้เป็นหมื่นๆเท่า!!!

ผมพ่ายแพ้หมดรูปจากในสงครามเปิดฉาก ทั้งจากการประเมินคู่แข่งและการประเมินกระบวนการภายใน ... ถึงผมจะแพ้ในสงครามเปิดฉากแต่สงครามคงยังไม่จบแต่เพียงแค่นี้ เพราะ มันพึ่งเริ่มต้น!!!!



นี่คือรอยแผลที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของผม ... บางแผลเก่าจนขึ้นสะเก็ด ... บางแผลยังใหม่แบบเลือดซิบๆ ... บางแผลก็ลึกจนเป็นแผลฉกรรจ์ รอยแผลเกิดจาก วิเคราะห์พลาด เดินเกมผิด ดำเนินการล้มเหลว และ มันก็ขาดทุน!!! ผิดก็ต้องยอมรับว่าผิด พลาดก็ต้องยอมรับว่าพลาด ล้มก็ต้องยอมรับว่าล้ม แต่ถ้าล้มแล้วจงตั้งสติและทบทวนความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แล้วลุยต่อ ...

ในการแข่งขันที่มีความสำเร็จเป็นเส้นชัย มันไม่สำคัญหรอกครับว่า คุณจะพลาดล้มหัวคะมำบ่อยแค่ไหน มันสำคัญตรงที่ว่า คุณวิ่งเข้าเส้นชัยได้เร็วแค่ไหน .... ดังนั้น  ถ้าล้ม จงรีบลุก


เป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังฝ่าฟันอุปสรรคทุกๆท่านครับ

…[^_^]…
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่