ภาพที่นำมารีวิวนี้ ถ่ายไว้ประมาณเดือนมีนาคม 2557 ที่ผ่านมาค่ะ ตัวเจ้าของกระทู้เองไม่สามารถล๊อกอินเข้ามาตั้งกระทู้ได้ เนื่องจากลืมพาสเวิร์ดล๊อกอินตัวเอง ทำเรื่องแจ้งฝ่ายสมาชิกพันทิป รวมทั้งพยายามนึกพาสเวิร์ดที่ลืมไปให้ออก ใช้เวลานานเกือบสองเดือน กว่าจะได้มาเขียนก็ปาไปเดือนพฤษภาคมแล้ว เป็นภาพถ่ายช่วงที่ภาคเหนือประสบกับปัญหาหมอกควัน จากการเผาป่า ในภาพอาจจะหม่นๆ มีควันขาว ใช้อุปกรณ์ถ่ายภาพจากกล้องถ่ายรูปโทรศัพท์มือถือ และกล้องคอมแพคเล็กๆ ชัดบ้าง เบลอบ้าง แต่อยากจะนำเสนอเรื่องราวดีดีที่ได้ไปเจอจากสถานที่แห่งนี้ค่ะ
เราขอออกตัวก่อนว่า ทริปนี้ตัวเราเองไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพราะมีโอกาสได้ไปช่วยรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันเขามาทำงานที่นี่ พูดง่ายๆ ก็คือช่วยเป็นลูกมือทำงานค่ะ เลยมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขที่ลอยบนอยู่น้ำได้ โดยส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าจะมีสถานที่แห่งนี้ในเขื่อนใกล้ๆ บ้าน หลังจากที่ว่างจากช่วยงานพี่เขาเสร็จแล้ว เราเลยมีเวลาไปถ่ายรูปเล่นบนแพ เป็นช่วงเวลาที่น้องพนักงานกำลังทำความสะอาดห้อง เพื่อเตรียมพร้อมรับแขกที่มาพักในช่วงเวลาประมาณบ่ายโมงค่ะ
ตอนที่เราเข้าไปแพร้านอาหารกำลังทำค่ะ หลังจากที่เราออกมาได้ประมาณเดือนหนึ่ง แพร้านอาหารทำเสร็จ ก็ลากมาทีหลัง เราเลยไม่มีภาพส่วนของแพร้านอาหารในรีวิวนี้นะคะ
เรือนแพภูเขาลอยน้ำ ตั้งอยู่ในเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ตำบลบ้านเป้า อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทางจากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่จนถึงเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลประมาณ 51 กิโลเมตร บนถนนทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) เดินทางจากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ มาตามเส้นทาง 107 เชียงใหม่-ฝาง ผ่านอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง เมื่อผ่านที่ว่าการอำเภอแม่แตงไปไม่ไกลมากนัก จะมีแยกสัญญาณไฟจราจร สามแยกเลี้ยวขวาไปเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ขับรถเข้าไปจนถึงเขื่อน เราก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเข้าเขื่อน ค่าเข้าเขื่อนคนล่ะ 20 บาท รถยนต์คันล่ะ 30 บาท
ทางแพเมาเทนโฟร์ทจะมีท่าเทียบเรือใกล้กับร้านค้าสหกรณ์เขื่อนแม่งัดค่ะ อยู่ด้านซ้ายมือ เลยที่จอดรถของเจ้าหน้าที่ และร้านประจำด้านใน เข้ามาด้านในจนบังคับให้เลี้ยวขวา เราจะเจอป้ายของแพอยู่ตรงใกล้ๆ มุมเลี้ยวอยู่ด้านซ้ายมือค่ะ
ก่อนที่เราจะเข้าแพ เราจะต้องโทรเข้าไปนัดกับน้องพนักงานที่ดูแลแพก่อนล่วงหน้า เพื่อให้เขาส่งเรือสปีดโบ๊ทมารับลูกค้าที่ท่าเทียบเรือ ระหว่างรอก็จะมีชิงช้าไม้ไว้นั่งรอแบบนี้ มาพร้อมกับบรรยากาศช่วงเช้าของวัน เป็นเวลาที่ไปถึงค่ะ ต้องเข้าแพเช้า เลยได้เห็นบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าตรู่ ปกติจะตื่นนอนสายมาก สายๆ นู่นแหละค่ะ
บรรยากาศท่าเทียบเรือของแพเมาเทนโฟร์ทจะเป็นแบบนี้ค่ะ ระหว่างที่รอเรือจากแพออกมารับ เดินขึ้นเดินลง ออกกำลังกายไปในตัว นานๆ จะได้ทำอะไรแบบนี้ที แต่ก็เสียวๆ ที่จะกลิ้งลงเนินดิน ทางขึ้นลงท่าเทียบเรือตอนที่ไปยังเป็นดินลูกรังค่ะ เวลาเดินขึ้นลงก็ต้องระมัดระวังกันนิดหนึ่ง
ระหว่างที่เดินไปเดินมา ส่องนั่น ส่องนี่ ซักพักก็ได้ยินเสียงเรือสปีดโบ๊ท ลำเล็กๆ กำลังวิ่งฝ่าหมอกควันมาแต่ไกล นั่นแน่ะ มาแล้วแน่ๆ โดยส่วนตัวเป็นคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ไม่ค่อยชอบน้ำ แต่ก็นะ มาจนถึงที่แล้ว จะถอยทัพก็เกรงว่าจะโดนว่าป๊อด ใจดีสู้เสือทำหน้าเฉยๆ ยิ้มมุมปากเล็กๆ เก็บอาการป๊อดไว้ข้างใน เอาวะเป็นไงเป็นกัน สักพักน้องพนักงานก็นำเรือมาเทียบท่า เพื่อพาเราเข้าไปในเขื่อนกันค่ะ
เรือจากแพเมาเทนโฟร์ทที่มารับเราจะเป็นเรือสปีดโบ๊ทแบบนี้ค่ะ นั่งได้ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง แต่เราว่า นั่งด้านหลังโดนน้ำกระเด็นใส่ค่ะ จึงหลบมุมมานั่งใกล้ๆ น้องคนขับเรือ ว่าแล้วก็ซิ่งโลดเลยน้อง เหยียบให้มิด พี่อยากขึ้นฝั่งไวไว (ฝั่งตรงไหน เขาจะไปแพกัน) ระหว่างการเดินทาง เราจะต้องสวมเสื้อชูชีพตอนขึ้นเรือค่ะ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ส่วนทรัพย์สินก็อีกเรื่อง กลัวมากใส่กระเป๋าแบบกันน้ำ รับรองลอยไม่จม อิอิ
ระหว่างทางที่เรานั่งเรือเข้าไป สองข้างทางเต็มไปด้วยหมอกควันไฟป่า ทั้งที่มีไฟกำลังปะทุอยู่ บางจุดก็กำลังส่งควันลอยขึ้นอากาศ ตอนที่อยู่ในแพแล้ว มีโอกาสได้คุยกับหัวหน้ากรมอุทยานฯ ท่านมาตรวจสถานการณ์ไฟป่าแล้วแวะมาที่แพ เราถามท่านว่า ส่วนมากไฟป่าที่เกิดขึ้นในเขื่อนนี้ เป็นเพราะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือว่าเป็นฝีมือมนุษย์ทำ ท่านก็ตอบเราว่า บางจุดที่เกิดไฟไหมป่า กว่าที่เจ้าหน้าที่จะเดินเข้าไปถึงจุดที่เกิดไฟป่า ใช้เวลาเดินเข้าไปเกือบสองวัน ทั้งระดับความสูงชัน การเดินทางไม่สะดวก ไม่ใช่การเกิดขึ้นตามธรรมชาติ บางจุดสังเกตได้ว่า ไฟจะไหม้ลามจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเป็นแนวยาว การเกิดขึ้นตามธรรมชาติถ้าให้นับ จำนวนน้อยกว่าการเผาจากฝีมือมนุษย์ม้าก.......(ลากเสียงสูง) ท่านสรุปคร่าวๆ ว่า ชาวบ้านต้องการจะล่าสัตว์ป่า หาของป่า ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี แต่มาพักหลังนับวันเริ่มจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เม้าท์มอยหอยสังข์กับท่านพอหอมปากหอมคอ ท่านก็ขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ไฟป่าที่อื่นๆ เราอยู่ที่นี่สองคืน กลางคืนจะเห็นเป็นแนวไฟป่าชัดเจนเลยค่ะ ประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในบรรยากาศหนังเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริง
จากท่าเทียบเรือ เดินทางเข้ามาถึงแพเมาเทนโฟร์ท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีค่ะ (จำไม่ค่อยได้ค่ะ น่าจะประมาณนี้) เราก็จะมาถึงแพ มองแพจากมุมไกลๆ สวยอ่ะ สวยเหมือนในรูปเลย (ก่อนมาไม่กี่วัน มีเพื่อนในเฟชบุ๊คโพสต์ที่นี่ไว้ค่ะ ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เราจะได้มาเหยียบเหมือนกัน อิอิ กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ) โอ้ว.....ว พระพุทธเจ้า......ขา มันจอร์จมาก วันนี้โชคดีที่มีเจ้าของแพที่ใจดีทั้งสามคนออกมาต้อนรับ ต้องบอกกับทุกท่านว่า "ขอเรียนด้วยความสัจจริงว่า หนูไม่คิดว่าพี่ทั้งสามคนจะเป็นเจ้าของแพเลย เพราะพวกพี่ๆ ให้ความเป็นกันเองมากๆ สงสัยเราจะตาไม่ถึง บุคลิกเจ้าของสถานที่พัก เท่าที่เคยเดินทางมา เป็นเจ้าของรายแรก ที่เข้ามาดูแลด้วยความเป็นกันเองนับตั้งแต่เหยียบขึ้นแพ (ไม่ได้สปอยล์เน้อ เจอมายังไงก็บอกไปอย่างงั้น) ปกติพี่ๆ เจ้าของจะเข้าแพเกือบทุกวันค่ะ ถ้าไม่ติดธุระ
หลังจากเดินขึ้นแพไป การยืนอยู่บนแพ ไม่เหมือนเราเหยียบอยู่บนพื้นดิน แต่ก็ไม่ถึงกับเมาเรือ ยังไหวอยู่ พี่เจ้าของแพทั้งสาม ก็เดินมาทักทาย เดินทางเป็นยังไงบ้าง? เมาเรือไหม? ไหวไหม? กินอะไรมาหรือยัง? ตอบได้คำเดียว.....................ไหว (แพไหวโครงเครง) ขอตัวพี่ๆ ไปล้างหน้าล้างตา น้องผู้จัดการก็เอาสัมภาระของเราไปเก็บไว้ที่ห้องพัก เพื่อให้ความเคยชินเราจะต้องทำตัวให้ชินกับสภาพการอยู่บนแพ วิธีที่ทำก็คือเดินสำรวจให้ทุกซอก ทุกมุม ส่วนไหนของแพมีคนเขาพักเราจะไม่ไป (วันที่ไปมีเข้าพักมาแพหลังเดียวค่ะ ส่วนแพที่เหลือ จัดเพื่อเตรียมรับสื่อมวลชนที่เข้ามาทำข่าว วันที่เราเข้าไป ไปเตรียมรับศึกกับสื่อมวลชนที่เข้ามาทำข่าวประมาณเกือบ 30 คน..... มั้ง อีกแระ จำไม่ได้ 555)
แพหลังนี้ค่ะที่เราจะเข้าพัก สวรรค์บนแพเห็นอยู่ข้างหน้า.............
[SR] เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า แล้วเราก็ไปเมาเทนโฟร์ท เรือนแพภูเขาลอยน้ำ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เชียงใหม่....เจ้า
เราขอออกตัวก่อนว่า ทริปนี้ตัวเราเองไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพราะมีโอกาสได้ไปช่วยรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันเขามาทำงานที่นี่ พูดง่ายๆ ก็คือช่วยเป็นลูกมือทำงานค่ะ เลยมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขที่ลอยบนอยู่น้ำได้ โดยส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าจะมีสถานที่แห่งนี้ในเขื่อนใกล้ๆ บ้าน หลังจากที่ว่างจากช่วยงานพี่เขาเสร็จแล้ว เราเลยมีเวลาไปถ่ายรูปเล่นบนแพ เป็นช่วงเวลาที่น้องพนักงานกำลังทำความสะอาดห้อง เพื่อเตรียมพร้อมรับแขกที่มาพักในช่วงเวลาประมาณบ่ายโมงค่ะ
ตอนที่เราเข้าไปแพร้านอาหารกำลังทำค่ะ หลังจากที่เราออกมาได้ประมาณเดือนหนึ่ง แพร้านอาหารทำเสร็จ ก็ลากมาทีหลัง เราเลยไม่มีภาพส่วนของแพร้านอาหารในรีวิวนี้นะคะ
เรือนแพภูเขาลอยน้ำ ตั้งอยู่ในเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ตำบลบ้านเป้า อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทางจากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่จนถึงเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลประมาณ 51 กิโลเมตร บนถนนทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ฝาง) เดินทางจากตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ มาตามเส้นทาง 107 เชียงใหม่-ฝาง ผ่านอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง เมื่อผ่านที่ว่าการอำเภอแม่แตงไปไม่ไกลมากนัก จะมีแยกสัญญาณไฟจราจร สามแยกเลี้ยวขวาไปเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล ขับรถเข้าไปจนถึงเขื่อน เราก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเข้าเขื่อน ค่าเข้าเขื่อนคนล่ะ 20 บาท รถยนต์คันล่ะ 30 บาท
ทางแพเมาเทนโฟร์ทจะมีท่าเทียบเรือใกล้กับร้านค้าสหกรณ์เขื่อนแม่งัดค่ะ อยู่ด้านซ้ายมือ เลยที่จอดรถของเจ้าหน้าที่ และร้านประจำด้านใน เข้ามาด้านในจนบังคับให้เลี้ยวขวา เราจะเจอป้ายของแพอยู่ตรงใกล้ๆ มุมเลี้ยวอยู่ด้านซ้ายมือค่ะ
ก่อนที่เราจะเข้าแพ เราจะต้องโทรเข้าไปนัดกับน้องพนักงานที่ดูแลแพก่อนล่วงหน้า เพื่อให้เขาส่งเรือสปีดโบ๊ทมารับลูกค้าที่ท่าเทียบเรือ ระหว่างรอก็จะมีชิงช้าไม้ไว้นั่งรอแบบนี้ มาพร้อมกับบรรยากาศช่วงเช้าของวัน เป็นเวลาที่ไปถึงค่ะ ต้องเข้าแพเช้า เลยได้เห็นบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าตรู่ ปกติจะตื่นนอนสายมาก สายๆ นู่นแหละค่ะ
บรรยากาศท่าเทียบเรือของแพเมาเทนโฟร์ทจะเป็นแบบนี้ค่ะ ระหว่างที่รอเรือจากแพออกมารับ เดินขึ้นเดินลง ออกกำลังกายไปในตัว นานๆ จะได้ทำอะไรแบบนี้ที แต่ก็เสียวๆ ที่จะกลิ้งลงเนินดิน ทางขึ้นลงท่าเทียบเรือตอนที่ไปยังเป็นดินลูกรังค่ะ เวลาเดินขึ้นลงก็ต้องระมัดระวังกันนิดหนึ่ง
ระหว่างที่เดินไปเดินมา ส่องนั่น ส่องนี่ ซักพักก็ได้ยินเสียงเรือสปีดโบ๊ท ลำเล็กๆ กำลังวิ่งฝ่าหมอกควันมาแต่ไกล นั่นแน่ะ มาแล้วแน่ๆ โดยส่วนตัวเป็นคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น ไม่ค่อยชอบน้ำ แต่ก็นะ มาจนถึงที่แล้ว จะถอยทัพก็เกรงว่าจะโดนว่าป๊อด ใจดีสู้เสือทำหน้าเฉยๆ ยิ้มมุมปากเล็กๆ เก็บอาการป๊อดไว้ข้างใน เอาวะเป็นไงเป็นกัน สักพักน้องพนักงานก็นำเรือมาเทียบท่า เพื่อพาเราเข้าไปในเขื่อนกันค่ะ
เรือจากแพเมาเทนโฟร์ทที่มารับเราจะเป็นเรือสปีดโบ๊ทแบบนี้ค่ะ นั่งได้ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง แต่เราว่า นั่งด้านหลังโดนน้ำกระเด็นใส่ค่ะ จึงหลบมุมมานั่งใกล้ๆ น้องคนขับเรือ ว่าแล้วก็ซิ่งโลดเลยน้อง เหยียบให้มิด พี่อยากขึ้นฝั่งไวไว (ฝั่งตรงไหน เขาจะไปแพกัน) ระหว่างการเดินทาง เราจะต้องสวมเสื้อชูชีพตอนขึ้นเรือค่ะ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ส่วนทรัพย์สินก็อีกเรื่อง กลัวมากใส่กระเป๋าแบบกันน้ำ รับรองลอยไม่จม อิอิ
ระหว่างทางที่เรานั่งเรือเข้าไป สองข้างทางเต็มไปด้วยหมอกควันไฟป่า ทั้งที่มีไฟกำลังปะทุอยู่ บางจุดก็กำลังส่งควันลอยขึ้นอากาศ ตอนที่อยู่ในแพแล้ว มีโอกาสได้คุยกับหัวหน้ากรมอุทยานฯ ท่านมาตรวจสถานการณ์ไฟป่าแล้วแวะมาที่แพ เราถามท่านว่า ส่วนมากไฟป่าที่เกิดขึ้นในเขื่อนนี้ เป็นเพราะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือว่าเป็นฝีมือมนุษย์ทำ ท่านก็ตอบเราว่า บางจุดที่เกิดไฟไหมป่า กว่าที่เจ้าหน้าที่จะเดินเข้าไปถึงจุดที่เกิดไฟป่า ใช้เวลาเดินเข้าไปเกือบสองวัน ทั้งระดับความสูงชัน การเดินทางไม่สะดวก ไม่ใช่การเกิดขึ้นตามธรรมชาติ บางจุดสังเกตได้ว่า ไฟจะไหม้ลามจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเป็นแนวยาว การเกิดขึ้นตามธรรมชาติถ้าให้นับ จำนวนน้อยกว่าการเผาจากฝีมือมนุษย์ม้าก.......(ลากเสียงสูง) ท่านสรุปคร่าวๆ ว่า ชาวบ้านต้องการจะล่าสัตว์ป่า หาของป่า ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกปี แต่มาพักหลังนับวันเริ่มจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เม้าท์มอยหอยสังข์กับท่านพอหอมปากหอมคอ ท่านก็ขอตัวไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ไฟป่าที่อื่นๆ เราอยู่ที่นี่สองคืน กลางคืนจะเห็นเป็นแนวไฟป่าชัดเจนเลยค่ะ ประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในบรรยากาศหนังเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริง
จากท่าเทียบเรือ เดินทางเข้ามาถึงแพเมาเทนโฟร์ท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีค่ะ (จำไม่ค่อยได้ค่ะ น่าจะประมาณนี้) เราก็จะมาถึงแพ มองแพจากมุมไกลๆ สวยอ่ะ สวยเหมือนในรูปเลย (ก่อนมาไม่กี่วัน มีเพื่อนในเฟชบุ๊คโพสต์ที่นี่ไว้ค่ะ ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้เราจะได้มาเหยียบเหมือนกัน อิอิ กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ) โอ้ว.....ว พระพุทธเจ้า......ขา มันจอร์จมาก วันนี้โชคดีที่มีเจ้าของแพที่ใจดีทั้งสามคนออกมาต้อนรับ ต้องบอกกับทุกท่านว่า "ขอเรียนด้วยความสัจจริงว่า หนูไม่คิดว่าพี่ทั้งสามคนจะเป็นเจ้าของแพเลย เพราะพวกพี่ๆ ให้ความเป็นกันเองมากๆ สงสัยเราจะตาไม่ถึง บุคลิกเจ้าของสถานที่พัก เท่าที่เคยเดินทางมา เป็นเจ้าของรายแรก ที่เข้ามาดูแลด้วยความเป็นกันเองนับตั้งแต่เหยียบขึ้นแพ (ไม่ได้สปอยล์เน้อ เจอมายังไงก็บอกไปอย่างงั้น) ปกติพี่ๆ เจ้าของจะเข้าแพเกือบทุกวันค่ะ ถ้าไม่ติดธุระ
หลังจากเดินขึ้นแพไป การยืนอยู่บนแพ ไม่เหมือนเราเหยียบอยู่บนพื้นดิน แต่ก็ไม่ถึงกับเมาเรือ ยังไหวอยู่ พี่เจ้าของแพทั้งสาม ก็เดินมาทักทาย เดินทางเป็นยังไงบ้าง? เมาเรือไหม? ไหวไหม? กินอะไรมาหรือยัง? ตอบได้คำเดียว.....................ไหว (แพไหวโครงเครง) ขอตัวพี่ๆ ไปล้างหน้าล้างตา น้องผู้จัดการก็เอาสัมภาระของเราไปเก็บไว้ที่ห้องพัก เพื่อให้ความเคยชินเราจะต้องทำตัวให้ชินกับสภาพการอยู่บนแพ วิธีที่ทำก็คือเดินสำรวจให้ทุกซอก ทุกมุม ส่วนไหนของแพมีคนเขาพักเราจะไม่ไป (วันที่ไปมีเข้าพักมาแพหลังเดียวค่ะ ส่วนแพที่เหลือ จัดเพื่อเตรียมรับสื่อมวลชนที่เข้ามาทำข่าว วันที่เราเข้าไป ไปเตรียมรับศึกกับสื่อมวลชนที่เข้ามาทำข่าวประมาณเกือบ 30 คน..... มั้ง อีกแระ จำไม่ได้ 555)
แพหลังนี้ค่ะที่เราจะเข้าพัก สวรรค์บนแพเห็นอยู่ข้างหน้า.............
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น