ครบหนึ่งปีบนหลังจักรยาน...กับจุดหมายที่สูงที่สุดบนแผ่นดินสยาม

กระทู้สนทนา
เคยถามตัวเองบ้างไหม....ในทุกครั้งที่กดเท้าลงบนบันได เจ้าเพื่อนรักสองล้อนี้ พาคุณไปที่ไหนได้บ้าง

หากย้อนไปช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว ผมคงไม่กล้าที่จะคิดว่า
วันหนึ่ง....เจ้าสองล้อนี้จะพาผมไปพบกับเพื่อนๆ มากหน้าหลายตา นับสิบ นับร้อยทริป
วันหนึ่ง....ผมจะได้ปั่นจักรยานมากกว่าร้อยกิโลเมตร เพราะในวันนั้น ระยะทางแค่ ห้ากิโลเมตรมันก็ทำให้ผมแทบสลบสไล
วันหนึ่ง....ที่ผมได้สัมผัสความสุข บนเส้นทางที่ถ้าไม่ปั่นจักรยาน เราจะไม่มีทางได้พบเจอมัน......
และวันหนึ่ง...ผมจะได้ปั่นเจ้าสองล้อนี้ ท้าทาย ตัวเองกับผืนแผ่นดิน ที่อยู่บนจุดสูงสุดของแผ่นดินสยาม

“ดอยอินทนนท์” ทุกคนในประเทศนี้น่าจะต้องรู้จัก ในฐานะยอดเขาที่สูงที่สุดของไทย
บนผืนแผ่นดินของ "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ มหานครแห่งล้านนา"

ความสูงชัน...ความสวยงามของผืนป่า ธรรมชาติ....และสภาพอากาศที่หนาวเย็น ล้วนเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจ
ให้อดีตลูกช้างจากมอเฌองดอยคนนี้ ผมให้ขึ้นไปสัมผัสยอดดอยแห่งนี้มานับสิบๆครั้ง ตลอดห้าปีที่ได้อยู่ที่นั่น

และในวันนี้ ยอดดอยแห่งนี้ กลับมาท้าทายผมอีกครั้งในฐานะ “นักปั่นจักรยาน”

“พี่เต้.....พี่จะมาเชียงใหม่เมื่อไหร่พี่....มารอบนี้เอาจักรยานมาด้วยนะ...เดี๋ยวจะพาทัวร์ดอยอินทนนท์”
น้องชายตัวแสบของผมที่เพิ่งย้ายไปประจำบนอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ แชทมายั่วผมนับสิบครั้ง
ตั้งแต่ย้ายมาประจำการที่นี่ “บนนี้ทางสวยๆให้ปั่นเยอะเลยพี่ แต่ชันๆทั้งนั้น พี่น่าจะชอบ”

“พี่น่าจะชอบ.....พี่น่าจะชอบ” นั่นสิ เราเป็นคนชอบภูเขามาตั้งแต่เมื่อไรนะ
รู้แต่ว่า ตั้งแต่เริ่มปั่นจักรยาน ทุกครั้งที่เจอเนินเขา สะพาน สันเขื่อน หรือแผ่นดินใดๆที่มันดื้อไม่ยอมขนานไปกับพื้นโลก
หัวใจเราจะเต้นแรง สายตาเราจะจับจ้องไปแต่ข้างบนจนลืมสนใจรอบข้าง ขาจะเริ่มซอยขึ้น ซอยขึ้น
แม้มันจะหนักหน่วง อ่อนล้า....แต่เราก็จะยังขึ้นต่อไป......ไปให้ถึง และทุกครั้งที่เราพิชิตมันได้
มันจะเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก และครั้งนี้แหละ คือความท้าทายที่สุดในชีวิตที่จะพิชิตเพื่อนเก่าที่ชื่อ อินทนนท์

ผมเดินทางมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในช่วงบ่ายของวันจันทร์ ทำให้ถนนค่อนข้างโล่ง นักท่องเที่ยวแทบไม่มีให้เห็น
ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสดีที่เราได้ทดสอบกำลังเราอย่างเต็มที่ไม่มีอะไรมารบกวน

“วันนี้เย็นแล้ว เดี๋ยวผมพาพี่วอร์มขาก่อนละกัน แล้วพรุ่งนี้เช้าพี่ค่อยขึ้นยอดดอย จะได้มีเวลาเยอะๆ”
ซึ่งผมก็เห็นด้วย ขณะนั้นเป็นเวลาราวๆบ่าย 3 แล้วทั้งที่ระยะจากตัวอุทยานถึงยอดดอยนั้นมีระยะทางเพียง 16 กิโลเมตร
แต่ 16 กิโลนี้ในความทรงจำของผม ไม่น่าเป็นเส้นทางที่ผมพิชิตได้ในเวลาจำกัดเช่นนี้เป็นแน่

แต่ขึ้นชื่อว่ากลางป่ากลางดอยนี้แล้ว ทางวอร์มขาก็คงไม่ได้สงบราบเรียบ
ประดุจเลียบรันเวย์สุวรรณภูมิที่ผมใช้ซ้อมเป็นประจำอย่างแน่นอน

“หน่วยพิทักษ์อุทยาน ดอยผาตั้ง” ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลราว 1500 เมตรมีระยะทาง 8 กิโลเมตร (ไปกลับ 16 กม.)
ซึ่งตัวอุทยานที่เป็นจุดสตาร์ทของผมอยู่ที่ความสูงราวๆ 1200 เมตร....แปลว่า ในระยะ 8 กิโลเมตรนี้ ผมต้องไต่แนวดิ่งขึ้นไปราวๆ 300 เมตร.........

ระยะ 300 เมตรนี้แค่ไหนกัน......มันก็คือความสูงของ ตึกใบหยก 2
สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในประเทศไทยนั่นแหละ....นี่มันเส้นวอร์มขาจริงๆรึ  -*-

ดอยผาตั้งนี้ หากนับระยะในทางราบจริงๆ อยู่ห่างจากตัวอุทยานไม่มากนัก แต่ด้วยความสูงของมัน
เส้นทางตลอด 8 กม. จึงเป็นถนนแบบพับผ้าชันๆสลับขึ้นไปโดยตลอด นับว่าเป็นเส้นวอร์มที่โหดเอาเรื่องทีเดียว



เราทั้ง 3 คนออกเดินทางจากต้นทางราว 4 โมงเศษๆ โดยแฟนผมที่ไม่ค่อยถนัดทางขึ้นมากนัก สามารถไปได้เพียง 2 กิโลเมตร
ก็ไม่สามารถกดบันไดให้ขึ้นต่อไปได้ เธอจึงต้องกลับมายังที่พักก่อนกำหนด ทำให้ผมพอจะคาดได้ว่า เส้นทาง 16 กิโลเมตรในวันพรุ่งนี้
ผมน่าจะต้องปั่นเดี่ยวขึ้นไปแน่ๆ





ผมกับน้องใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง ก็ขึ้นมาได้จนถึงที่ทำการหน่วยพิทักษ์
ภาพที่เห็นตรงหน้า มันเป็นความงดงามอย่างบอกไม่ถูก พระตำหนักดอยผาตั้ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าอย่างเรียบง่าย
ให้มองผ่านไปเห็นทิวหุบสลับซับซ้อนของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อเรายืนอยู่ที่ศาลาชมวิวที่สุดดอยผาตั้ง
เราจะมองเห็นตัวอุทยาน บ้านแม่กลางหลวง และโครงการเกษตรหลวงดอยอินทนนท์ อยู่ท่ามกลางผืนป่าเขียวขจี........


และเมื่อมองตรงไปข้างหน้า หัวใจของผมก็เต้นรัวอีกครั้ง.....เมื่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้า คือยอดดอยอินทนนท์
ที่ปรากฏตัวอย่างท้าทายในท้องฟ้ากระจ่างไร้เมฆบดบัง เห็นพระธาตุนภเมทนีดล อยู่ลิบๆ ทำให้ความสูงของยอดตึกใบหยก
ที่ผมยืนอยู่นี้กลายเป็นยอดเนินเตี้ยๆไปเลยทีเดียว......

ตึกๆ ตึกๆ เอาละสิ ใจผมมันเต้นรัวกว่าเดิม ไม่รู้ว่าตอนนี้เหนื่อยตื่นเต้นมากกว่ากัน..............เอาสิเป็นไงเป็นกัน!!!





เมื่อทางขึ้นมันแสนลาดชัน ก็แปลว่า ทางลงมันก็เกือบเป็นแนวดิ่ง....ทักษะการควบคุมรถและการใช้เบรกทั้งหมดที่ฝึกปรือมา
ถูกนำมาใช้หมดในเวลาไม่ถึง 15 นาที T^T.......ถ้าพลาดซักจึ๊ก หรือรถมีปัญหา ผมคงลงไปนอนตีนดอยแล้ว.....

ดึกดื่นคืนนั้น ผมจึงต้องเอารถออกมาเช็คความเรียบร้อยใหม่หมด ทั้งระบบเกียร์ ระบบเบรก...
จนเจ้าสองล้อคู่ใจพร้อมเดินทางแล้วผมจึงต้องข่มตาลงนอน เพื่อวันพรุ่งนี้.......

.....................................................................................

เมื่อเสียงโทรศัพท์ที่ตั้งแทนนาฬิกาดังขึ้น ผมลุกจากเตียงแทบจะในทันที ราวกับร่างกายมันรอเวลานี้อยู่แล้ว
ซึ่งหากเป็นวันทำงานปกติผมคงเอื้อมมือไปปิดแล้วนอนต่อ 555+.....ลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัวในชุดเก่ง

ถุงมือ ปลอกแขน และผ้าบัพ รวมถึงน้ำดืมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับทริปวันนี้ เพราะทั้งอากาศร้อน อากาศเย็น และความสูงชัน
จะลงโทษเราอย่างไม่ปราณี หากเราไม่เตียมพร้อม......
จากนั้นเราทั้งสองคน(ผมกับแฟน) จึงเริ่มออกมาทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารด้านหน้าอุทยาน......

ฉับพลันสายตาเราก็ ไปพบกับ นักปั่น 3 ท่านที่คาดว่าจะมาพิชิตยอดดอยแห่งนี้เช่นกัน ด้วยเสือภูเขาครบเซต....
ผมเลยกลับมามองที่เจ้า Nirone7 คู่กายวันนี้....ฉันเอารถมาผิดคันหรือเปล่านี่ - -* ไม่เป็นไรน่า ต้องไหวสิ ต้องไหว!!!!



เราเริ่มต้นที่ระดับ 1200 เมตรเช่นเดียวกับเมื่อวาน เวลาเช้าแบบนี้ นักท่องเที่ยวที่ขึ้นสู่ยอดดอยยังบางตานัก
ซึ่งช่วยให้จังหวะเราในการเรียกแรงสู้ความชันได้โดยไม่ต้องระแวดระวังมากนัก.....

ออกมาจากตัวอุทยานได้ม่มากนัก เจ้าถิ่นชุดแรกก็ออกมาทักทายเราแทบจะในทันที นั่นคือเนินลาดชัน ยาวกว่า 4 กิโลเมตร
ที่มีแต่ขึ้นกับขึ้น และขึ้น เท่านั้น และเมื่อไรที่เราปลดคลีทวางขาลง การกลับขึ้นใหม่จะลำบากยากยิ่ง




ผมและแฟนค่อยๆปรับสภาพเกียร์เพื่อไต่เนินขึ้นไป จานใบเล็ก...และเฟืองใบใหญ่สุดถูกแฟนผมเรียกมาใช้ในเวลาไม่กี่อึดใจ
แสดงให้เห็นว่า เธอคงไปได้อีกไม่มากนัก จนถึงระยะประมาณ 3 กม. เธอก็ต้องถอดคลีทวางเท้าลงบนพื้นพร้อมลมหายใจหอบแรง.....

ซึ่งเมื่อวานนี้เธอสัญญากับผมไว้ว่า หากวันพรุ่งนี้ร็ตัวว่าไม่ไหว อย่าฝืนเด็ดขาด....ให้ลงในขณะที่ตัวเองยังพอมีกำลัง
เพราะหากฝืนไปจนหมดแรงแล้ว การลงจากความสูงชันนั้นมันอันตรายอย่างยิ่ง…..

เธอจึงต้องตัดใจลงอีกครั้งพร้อมกับคำสัญญาว่า คราวหน้าจะกลับไปซ้อมเพื่อกลับมาพิชิตให้ได้ในวันใดวันหนึ่ง
แต่ก็นับว่าเธอมาได้ไกลกว่าเมื่อวานแล้วหละ.....

เอาละ.....คู่ปั่นก็ไม่อยู่แล้ว 1....2....3 พร้อม!!! ขาผมวางบนบันไดอีกครั้งพร้อมที่จะเดินทางต่อ โดยจุกหมายในการพักแรกคือ
ด่านอุทยานที่ 2......จากจุดที่แฟนผมตัดใจลงไปนั้น ไม่ถึง 500 เมตร ผมก็ได้พบกับพี่ทั้ง 3 ที่ขี่เสือภูเขามาก่อนหน้าผมนักพักอยู่ข้างทาง......
พี่แกเป็นกลุ่มนักปั่นในเชียงใหม่นี่แหละได้คุยกันสองสามประโยคผมก็จากมา ก่อนที่อากาศจะร้อนเกินไป.....

พอพ้นระยะลาดชัน 4 กิโลเมตรนั้นแล้ว......เส้นทางก็เริ่มสบายขึ้น เป็นทางลาดขึ้นลงไม่ชันมากนัก
ทำให้เราได้พักขาซักครู่ก่อนถึงด่านต่อไป.....



ในที่สุด ผมก็พาตัวเองมาถึงด่านที่ 2.....จากตรงนี้ก็เหลือระยะอีก 10 กม.จะถึงยอดดอย แปลว่าผมมาได้ 1 ใน 3 ของเส้นทางแล้ว เย้!!!  
ว่าแต่....ตายละ...ลืมสนิทเลย ว่าเวลาเราขึ้นอินทนนท์ ด่านที่ 2 เราต้องเอาบัตรผ่านอุทยานแห่งชาติ ที่เราเสียเงินไปตอนขึ้นดอยมา
มาโชว์ด้วย...แต่ผมลืมไว้ในรถ....T^T...เวลาปั่นก็พกเงินไว้ไม่มากด้วยสิ ต้องจ่ายตรงนี้แล้วจะเอาที่ไหนกินน้ำล่ะนี่........
ว่าแล้วเราก็ไสจักรยานเดินไปเตรียมจ่ายเงิน

“มาคนเดวก๋า”.......ครับ
“มาครั้งแรกก่ะนิ”........ครั้บ มาครั้งแรกเลย
พี่เจ้าหน้าที่ก็ยิ้มๆ “ไปเต๊อะ....ทางที่ผ่านมานี่ยังเด็กๆ ข้างหน้าของจริง” แกพูดพร้อมกับหัวเราะ แล้วก็ให้ผมผ่านไป
พอผ่านมา ผมก็เจอกับป้าบอกระดับความสูง 1667 เมตร......สูงกว่าเมื่อวานนี้แล้ว
O_O เป็นไงเป็นกันสิ มาถึงนี่แล้วไม่ยอมถอยแน่ๆ



จากจุดนั้นไม่นานนัก ประโยคคลาสสิคของนักปั่นอินทนนท์ก็ลอยมาเข้าหูผม
“เมื่อไหร่ที่พระธาตุปรากฏให้เห็นในสายตา.....นรกจะเริ่มขึ้น”

นั่นไง พระธาตุออกมาให้เห็นแล้ว....ความชัน 4 กิโลเมตรที่ผมไต่ขึ้นมาเหมือนกลายเป็นเรื่องล้อเล่น
พื้นดินข้างหน้าค่อยๆเอียงขึ้นอย่างรวดเร็ว.....ต้นไม้ข้างทางทำมุมเอียงกับถนนอย่างน่าแปลกใจ
จนไม่รู้ว่า ผมหรือต้นไม้กันแน่ที่แปลกไป.....นำหนักที่กดลงบนบันได เพิ่มขึ้นๆ ๆ ๆ จนเริ่มทำร้ายร่างกาย
แดดที่เคยเผา กลายเป็นลมหนาวเข้ามาแทนที่



เป้าหมายต่อไปของผม คือจุดที่ผมต้องมาเยือนทุกครั้งที่มาบนดอยแห่งนี้ “จุดชมวิวดอยอินทนนท์”
ซึ่งเป็นผาหินข้างทางที่ตั้งชันโดดขึ้นไป มองเห็นทิวทัศน์อินทนนท์แบบพาโนรามา

“รู้มั๊ย ในการแข่งขันของนักไต่เขา ผู้ชนะจะเงยหน้าขึ้นฟ้า....และผู้แพ้จะก้มหน้าลงดิน....มันเป็นเช่นนั้นเสมอ”

ทำไมผมถึงมาเป็นนักไต่เขาน่ะหรือ....ผมได้คำตอบกับตัวเองแล้ว.....
เพราะบรรยากาศนี้.....เพราะความสวยงามนี้......เพราะมุมมองนี้......ผมถึงอยากขึ้นมาที่นี่
ภาพที่เห็นข้างหน้านี้คือรางวัลในชีวิตของผม...และครั้งนี้รางวัลนี้ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นไปอีก
เมื่อผมพิชิตมันด้วยเพื่อนรักของผม........

ความท้าทายต่อจุดหมายของนักไต่เขาเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก
ทำไมนักไต่เขาเวลาแข่งไม่ค่อยมองไปข้างหลัง.....เพราะเราไม่ต้องแข่งกับใครที่อยู๋ข้างหลังเลยน่ะสิ
คู่ต่อสู้ของเราอยู่ตรงหน้าเสมอ...คู่ต่อสู้ที่เป็นธรรมเสมอไม่ว่ากับใครๆ....ใจและการฝึกซ้อมเท่านั้น
ที่จะพาเราไปถึงจุดหมาย ..... ผมนั่งเอนกายลงพักก่อนที่จะไปต่อ





แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่