ที่ผ่านมาดูเหมือนรัฐบาลพยายามหาข้ออ้างในการไม่ทำงาน ไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในการบังคับใช้กฏหมาย ด้วยข้ออ้างต่างๆ นาๆ
ตอนนี้แม้จะดูเหมือนว่า รัฐบาลจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า อำนาจในการทำงาน หรือบังคับใช้กฏหมาย เป็นของรัฐบาล ดังนั้นการที่รัฐบาลเลือกที่จะนิ่ง ไม่ขยับตัวทำ ด้วยความกลัวจะโดนข้อหาต่างๆ เพิ่มเข้ามา ผมว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างในการไม่ทำเท่านั้น
เพราะที่ผ่านมา ถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของพวกพ้อง รัฐบาลเลือกที่จะทำมาตลอด ไม่ว่าจะได้รับการทักท้วงจากฝ่ายใดก็ตาม ก็จะดันทุรังทำให้ได้ จนเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นมาถึงทุกวันนี้
แต่พอถึงเวลาที่ต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพื่อประโยชน์ของชาติ รัฐบาลกลับไม่กล้าทำอะไร เลือกที่จะตั้งรับอย่างเดียว โดยไม่มีการเสนอข้อเสนออะไร ออกมาให้สังคมเปรียบเทียบ เพื่อหาเสียงสนับสนุน ในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาของประเทศเลย
จริงๆ แล้ว ถ้าจะสู้กันด้วยการเปิดหาข้อกฏหมายมาสู้กันฝ่ายรัฐบาลก็มีนักกฏหมายฝีมือดีมากมาย ที่ผ่านมาข้อเสนอที่น่าจะเป็นประโยชน์กับฝ่ายรัฐบาลก็มีออกมาเรื่อยๆ แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่กล้าทำตามข้อเสนอนั้นๆ ทำแค่พยายามรักษาตัวรอดในพื้นที่ที่เหลือแคบลงเรื่อยๆ เท่านั้น
วันนี้สถานการณ์เหมือนจะมุ่งไปหาการตั้งนายกฯ คนใหม่จากฝ่ายตรงข้ามให้ได้ แต่เมื่อยังไม่ตั้ง หรือสุดท้ายตั้งได้ก็ตาม แต่ความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ในการเป็นรัฐบาลรักษาการ เพื่อรอนายกฯ คนใหม่ ที่จะมาจากการโหวตเลือกของ สส. ก็ยังเป็นของรัฐบาลนี้อยู่ดี
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำในช่วงนี้ก็คือทำในสิ่งที่ต้องทำ ทำในส่วนของตัวเองให้จบให้ชัดเจน เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจคนอื่นจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลหรือไม่ แต่งานส่วนความรับผิดชอบของรัฐบาลต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ
เช่นการกำหนดวันเลือกตั้ง ถึงแม้กกต.จะพยายามยื้อเวลา ด้วยข้ออ้างใดก็ตาม รัฐบาลต้องเจรจาให้จบ ด้วยการรับปากให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ จนหมดข้ออ้างให้ได้ ไม่ใช่แค่นัดเจอยังเลื่อนแล้วเลื่อนอีก
แล้วถ้าสุดท้ายกกต.ยังยึกยักมากเรื่อง ก็ควรเล่นไม้แข็งกับกกต. เพราะ กกต.ก็เคยติดคุกมาแล้ว ดังนั้น กกต.ควรทำงานในส่วนของตัวเองให้ดี ให้ถึงที่สุด ถ้าสุดท้ายที่เดินไปไม่ได้ เป็นเพราะขาดการสนับสนุนจากรัฐบาล อันนั้นค่อยว่ากันเป็นกรณีไป
เมื่อรัฐบาลชอบธรรม ทำไมถึงชอบไม่ทำงาน
ตอนนี้แม้จะดูเหมือนว่า รัฐบาลจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า อำนาจในการทำงาน หรือบังคับใช้กฏหมาย เป็นของรัฐบาล ดังนั้นการที่รัฐบาลเลือกที่จะนิ่ง ไม่ขยับตัวทำ ด้วยความกลัวจะโดนข้อหาต่างๆ เพิ่มเข้ามา ผมว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างในการไม่ทำเท่านั้น
เพราะที่ผ่านมา ถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของพวกพ้อง รัฐบาลเลือกที่จะทำมาตลอด ไม่ว่าจะได้รับการทักท้วงจากฝ่ายใดก็ตาม ก็จะดันทุรังทำให้ได้ จนเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นมาถึงทุกวันนี้
แต่พอถึงเวลาที่ต้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพื่อประโยชน์ของชาติ รัฐบาลกลับไม่กล้าทำอะไร เลือกที่จะตั้งรับอย่างเดียว โดยไม่มีการเสนอข้อเสนออะไร ออกมาให้สังคมเปรียบเทียบ เพื่อหาเสียงสนับสนุน ในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาของประเทศเลย
จริงๆ แล้ว ถ้าจะสู้กันด้วยการเปิดหาข้อกฏหมายมาสู้กันฝ่ายรัฐบาลก็มีนักกฏหมายฝีมือดีมากมาย ที่ผ่านมาข้อเสนอที่น่าจะเป็นประโยชน์กับฝ่ายรัฐบาลก็มีออกมาเรื่อยๆ แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่กล้าทำตามข้อเสนอนั้นๆ ทำแค่พยายามรักษาตัวรอดในพื้นที่ที่เหลือแคบลงเรื่อยๆ เท่านั้น
วันนี้สถานการณ์เหมือนจะมุ่งไปหาการตั้งนายกฯ คนใหม่จากฝ่ายตรงข้ามให้ได้ แต่เมื่อยังไม่ตั้ง หรือสุดท้ายตั้งได้ก็ตาม แต่ความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ ในการเป็นรัฐบาลรักษาการ เพื่อรอนายกฯ คนใหม่ ที่จะมาจากการโหวตเลือกของ สส. ก็ยังเป็นของรัฐบาลนี้อยู่ดี
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำในช่วงนี้ก็คือทำในสิ่งที่ต้องทำ ทำในส่วนของตัวเองให้จบให้ชัดเจน เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจคนอื่นจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลหรือไม่ แต่งานส่วนความรับผิดชอบของรัฐบาลต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ
เช่นการกำหนดวันเลือกตั้ง ถึงแม้กกต.จะพยายามยื้อเวลา ด้วยข้ออ้างใดก็ตาม รัฐบาลต้องเจรจาให้จบ ด้วยการรับปากให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ จนหมดข้ออ้างให้ได้ ไม่ใช่แค่นัดเจอยังเลื่อนแล้วเลื่อนอีก
แล้วถ้าสุดท้ายกกต.ยังยึกยักมากเรื่อง ก็ควรเล่นไม้แข็งกับกกต. เพราะ กกต.ก็เคยติดคุกมาแล้ว ดังนั้น กกต.ควรทำงานในส่วนของตัวเองให้ดี ให้ถึงที่สุด ถ้าสุดท้ายที่เดินไปไม่ได้ เป็นเพราะขาดการสนับสนุนจากรัฐบาล อันนั้นค่อยว่ากันเป็นกรณีไป