สวัสดีค่ะ วันนี้ขอเล่าเรื่องราวดีๆ และอาจเป็นเรื่องราวแห่งความเศร้าเล็กๆน้อยๆ ไว้ให้ทุกท่านได้ลองอ่านกันนะคะ
ซึ่งเรื่องนี้บางคนอาจจะยังไม่เคยได้เจอกับตัวเอง หรือไม่ก็บางคนก็เคยเจอมากับตัวเองบ้างแล้ว
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนคะ ชื่อ มด ค่ะ เป็นลูกชายคนเดียว (ย้ำ!!ลูกชายค่ะ 555 ) คุณพ่อรับราชการตำรวจและคุณแม่ทำธุระกิจส่วนตัวคือเปิดเป็นร้านค้าใจกลางตลาด และครอบครัวของเรามีกันอยู่3 คน พ่อแม่ลูก และใช้ชีวิตร่วมกันที่ต่างจังหวัด คุณพ่อข้อนข้างบังคับให้มดเป็นผู้ชายเต็มร้อย แต่มดก็ไม่สามารถทำตามสิ่งที่เค้าหวังได้ จึงได้ลูกสาวมาแทนค่ะ 5555 ส่วนคุณแม่ก็เหมือนพี่เลี้ยงนางงาม คอยสนับสนุนเรื่องสิ่งสวยๆงามๆ(แบบหลบๆซ่อนๆเพราะกลัวพ่อด่าเหมือนกัน) แต่เราทุกคนก็รักกันดีค่ะ จะบอกว่าใครที่คิดว่าลูกคนเดียวมักเอาแต่ใจ อันนี้สำหรับตัวมดเอง มดไม่ค่อยนะ มดไม่ค่อยเรียกร้องอะไรจากพ่อแม่เลย เช่นพวกของเล่นหรือคอวพิวเตอร์ ก็มีแต่พ่อแม่ยัดเยียดให้ เราเองแหล่ะที่บอกว่าพอก่อนเก็บตังไว้ใช้ดีกว่า อ้อ!ฐานะที่บ้านเราข้อนข้างปานกลางไม่ถึงกับรวย พอมีพอกิน และใช้ชีวิตติดดินมากๆ แต่ขอบอกว่า 3 คนพ่อแม่ลูกคือตัวอึด อึดในที่นี้คือไฮเปอร์ ทำงานสู้มากจนเป็นนิสัย จนไม่ค่อยห่วงสุขภาพตัวเองเลย และแบบนี้แหล่ะทำให้เรายิ่งรักกันมาก
จนกระทั้ง กำลังจะสอบเข้ามหาลัย พ่อแม่ตั้งใจจะให้เราเรียนที่ ตจว แถวๆบ้าน แต่ในใจเราต้องพยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและครอบครัว มดต้องการทำอะไรที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ให้เป็นคนที่คนรู้จัก คนยอมรับในความคิดเรา มดเป็นคนเรียนไม่เก่งนะคะ แต่มดไฟต์ มดเลือก ม.ธรรมศาสตร์อันดับ 1 และ 2 3 คือ ม.รัฐบาลใกล้ๆบ้าน แล้วด้วยความที่เลือก ม.อันดับต้นๆของประเทศไป ทำให้บรรดาญาติๆที่มั่นในความรู้ทุกท่านต่างเรียกเราเข้าไปเทคเดี่ยว ง่ายๆคือบรรยากาศห้องมืด ห้องปิด ผู้ใหญ่รุม คือจริงๆในบรรดาญาติเค้าข้องข้างซีเรียสกับเราเพราะในบรรดาญาติทุกคนเรียนเก่งหมด สอบได้ที่1 2 3 หมด แต่มดจะอยู่อันดับท้ายๆของห้อง คือพวกนางก็จิงจังกันแหล่ะ ซึ่งก็งง มดผิดหรอ มดไม่มีสิทธิเลือกหรอ ถึงคะแนนสอบเอ็นทรานมดจะน้อย แต่มดก็อยากเรียนคณะนี้ มหาลัยนี้นะ คุณพระ บรรดาญาติก็หวีดว่า เลือกอะไรไม่เคยดูตัวเองว่าตัวเองเป็นไง (ซึ่งในใจคือ จะมายุ่งอะไรกะเราวะ พ่อแม่มดก็ไม่เห็นต้องเครียดอะไรขนาดนี้) และแล้วตอนตี 2 ผลประกาศออกมาผ่านเน็ต คุณพระ!!! มดสอบติดที่มดเลือกอันดับที่ 1 คุณพ่อคุณแม่ตกใจเสียงกรี๊ดของมด เค้าเลยรีบวิ่งลงมาจากชั้น2 ว่าเกิดอะไรขึ้น และก็บอกพ่อกะแม่ไปว่า "มดติดธรรมศาสตร์" คุณพ่อดีใจมากๆๆๆๆ ที่สามารถไปสู้หน้ากับบรรดาญาติๆได้ แต่สีหน้าแม่นี่สิ เหมือนจะดีใจครึ่ง เสียใจครึ่ง(เสียใจเหมือนว่าลูกต้องจากบ้าน จากอกคนเป็นแม่ไปอยู่เมืองหลวงตามลำพัง) แม่ก็ถามดวยน้ำเสียงสั่นๆว่า "แล้วเค้าเรียกสัมภาษณ์วันไหน?" "อีก2วัน" คืนนั้นรีบเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเข้ากรุงเทพ และมีแม่คอยเฝ้าที่หน้าห้องเพื่อให้กำลังใจ ส่วนพ่อก็เก็บกระเป๋าเช่นกันเพราะต้องไปกับมด 2 คน และตอนเช้าก็เดินทางโดยรถทัวร์สู่มหานคร จากนั้นก็เป็นการห่างจากบ้านตลอดมา แต่เวลากลับบ้านน้อยกว่าเดิม เป็นระยะเวลา 3 ปี
จนกระทั่ง เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่4 เป็นช่วงของการทำ Thesis เพื่อจบปริญญา เหลือเทอมสุดท้ายแล้ว เทอมสุดท้าย มีทั้งหมด 3 โปรเจค ทำไปแล้ว 1 และ 2 เหลือตัวที่3 โปรเจคที่1 และ 2 มดทำได้คะแนนดีมากกกก และทางครอบครัวมดก็ให้กำลังใจและให้ทุนมาทำตลอด
จนมีอยู่วันหนึ่งมดได้ออกมาทานข้าวกับเพื่อน ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือติดตัวมาด้วย อ้อ!!โทรศัพท์เนี่ยมันพัง ดับๆติดๆ ชาร์ตแบททีใช้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ดับ แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยยึดติดกับโทรศัพท์จึงปล่อยละเลย ที่บ้านจะโทรมาก็แล้วแต่ดวงค่ะ 555 หรือมดจะโทรไปเอง พ่อเคยบอกให้ซื้อใหม่ เราก็ไม่ต้องการเพราะไม่จำเป็นเท่าไหร่ และวันนั้นเอง มดก็กลับหอเกับเพื่อนที่เป็นรูมเมทหลังทานข้าวเย็นเสร็จ และนอนจนถึงเช้า และทันใดนั้นโทรศัพท์ของเพื่อนรูมเมทดัง แล้วเพื่อนก็วิ่งมาปลุกมดว่า พ่อโทรหามีเรื่องด่วนมาก
พ่อบอกว่าแม่เข้าโรงพยาบาล แม่มีอาการปวดหน้าอก ตอนนี้กำลังอยูไอซียู แต่ไม่น่าเป็นไรมาก ขอดูอาการนิดหน่อยก่อน แล้วก็บอกว่าพ่อโกรธมากที่โทรหาลูกไม่ติดเลย เวลาเดือดร้อนก็ติดต่อยากมาก อย่าทำแบบนี้อีก พ่อก็บอกแหล่ะว่าให้รับโทรศัพท์ และมดก็ตกใจมาก แล้วคอยติดตามอาการของแม่มาตลอด จนแม่โทรมาเองว่า "แหมมม ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก 55555" มดได้ยินแบบนี้มดก็ดีใจ
ผ่านไป2 วันพ่อโทรมา พร้อมเสียงรถหวอ เสียงหวอรถโรงพยาบาล บอกว่าแม่ช็อคหนัก ให้รีบมาหาแม่ด่วน ที่โรงพยาบาลขอนแก่น มดก็ทิ้งงานโปรเจคเลยค่ะ ก่อนอีกมดตั้งสติ ไปบอกอาจารย์ที่คุมโปรเจครับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น บอกไปน้ำตาแตกไป ตกใจ ตัวสั่น พูดรัว เสียงสั่น แล้วอาจารย์ก็อนุญาติให้กลับบ้านได้ และโปรเจคของมดก็ไม่ได้หยุด แต่แค่บรรเทาไปบ้าง
ตอนนั้นพี่ที่เป็นญาติมารับที่มหาลัย และตีรถส่วนตัวพุ่งตรงจากกรุงเทพสู่ จ.ขอนแก่น ถึงขอนแก่นเวลาตี4 ใกล้เช้าแล้ว พ่อเดินมาจับมือเราว่าทำใจนะ แม่อาการ 50/50 ตอนนั้นมดยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกคนไม่เล่าให้มดฟังในส่วนของรายละเอียด เพราะกลัวมดคิดเยอะ คิดมากและเครียด แต่ก็ฟังที่พ่อพูกับญาติๆแหล่ะว่าอาการแม่เป็นยังไง พอสักเที่ยงๆอาการแม่ดีขึ้น พูดคุยได้ แต่เพลียๆจากการเดินทางบ้าง แต่มดก็พยายามให้กำลังใจ จนกระทั้งคุณหมอเดินมาคุยกับมดและพ่อว่า ผลจากการเอ็กซเรย์ที่หน้าอก พบว่ามีก้อนเนื้อชนิดหนึ่ง ไม่แย่ใจว่าเป็นเนื้องอกหรือเนื้อร้าย ต้องทำการผ่าตัดชิ้นเนื้อมาพิสูจน์ มดกับพ่อคุยกันและตัดสินใจกันว่าให้ผ่าตัดค่ะ แต่ผลของการผ่าตัดคือ 50/50 นะ คือมันข้องข้างใกล้หัวใจ คุณแม่อาจมีเอฟเฟค ให้ทำใจ ให้มดเข้าไปคุยกับแม่ นี่รู้มั้ยคะ ในใจมดอ่ะร้องไห้นะ ร้องไห้แบบ เออ ร้องไห้ใจจะขาด แต่หน้ามดยิ้มมาก ยิ้มแบบโลกสดใส ซึ่งอารมณ์และสีหน้าต่างกันคนละขั้วเลยค่ะ มดให้กำลังใจและมดก็เขียนจดหมายว่า หลังจากผ่าตัดแม่ต้องกลับมาเจอมดนะคะ และมีประโยคนึงที่มดไม่เคยปริปากพูดเลยในชีวิต เพราะมดเขินและไม่กล้าพูด แค่มดก็ได้เขียนประโยคนึงว่า "มดรักแม่มากที่สุดในโลก" อาจเป็นประโยคที่ฟังดูธรรมดา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยพูดนะ มันสำคัญนะ
เวลาผ่านไปนานมากกกก นานจนมดไม่เหลือน้ำตาให้ร้องแล้ว กินข้าวไม่ลง เอะอะวิ่งไปร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว กอดคอพ่อร้องไห้บ้าง พ่อร้องไห้ มดร้องไห้ตามบ้าง คือสงสารพ่อด้วย พ่อคงเครียด คือเข้าใจอารมณ์ในละครทีวีมั้ยคะ แบบทุกคนกระวนกระวายหน้าห้องไอซียู คุณหมอเดินออกมา แล้วก็วิ่งมาถามว่า คนไข้เป็นไงบ้างค่ะ นั่นแหล่ะ!!! ฟิวนั้นเลยค่ะ และแล้วแม่ก็ออกมาจากห้องผ่าตัด ไอซียูอย่างปลอดภัย และแม่ก็ลืมตาพร้อมกับสายยาง สายไฟ สายน้ำเกลือระโยงระยางเต็มไปแบบน่าสับสน เสียง ตี๊ดๆ ติ๊ดๆ ดังตลอดเวลา ในบรรยากาศห้องที่เงียบสงบ แม่พูดไม่ได้ค่ะ เพราะสายเครื่องช่วยกระตุ้นการหายใจอยู่ที่ปาก แม่จะเขียนว่าต้องการอะไรแล้อยากได้อะไรกับมด มดจัดการให้หมดทุกอย่าง และมดกับพ่อต้องสลับสับเปลี่ยนกันดูแลแม่ และมดก็ถือโอกาสไปทานข้าวคนเดียวตามปกติ แต่ไม่ปกติ งงมั้ยคะ คือแบบ กินคนเดียวที่รู้สึกว่าเหงาๆ วังเวง เหมือนชีวิตโหลงเหลง ทุกอย่างเป็นสีเทา คิดไรไม่ออก คาดเดาอนาคตไม่ถูก ทำแบบนี้มาเกือบ2 อาทิตย์จนกระทั้งแม่นั้นอาการดีขึ้น ย้ายแม่เข้าไปที่ห้องพักส่วนตัว แล้วมดก็ดูแลคุณแม่สลับกับพ่อได้2อาทิตย์ อาการแม่ก็หายห่วงแค่รอผลการตรวจชั้นเนื้อและพักผ่อนจากการผ่าตัด มดก็ได้กลับมากรุงเทพ กลับมหาลัยเพื่อสานต่องานและทำโปรเจคให้สำเร็จ และสลับไปๆกลับๆกรุงเทพ-ขอนแก่นเกือบเดือนกว่า และจนแม่ออกจากโรงพยาบาลมดก็พาแม่กลับบ้านไปพักฟื้น แม่ผอมลงมากๆๆๆเลยค่ะ ผิดหูผิดตาไปจากแต่ก่อนซึ่งแต่ก่อนข้อนข้างตัวใหญ่นิดๆ จากเป็นคนที่แข็งแรง กลายเป็นคนผอมบอบบาง แก้มตอบ ตาโบ๋ โทรมมากๆ เวลาถึงบ้าน (อันนี้ขำๆ) บังเอิญ คนที่ไปรับแม่กลับบ้านนั้นใส่ชุดสีขาวๆดำๆกันพอดี ลงจากรถมา ชาวบ้าน หรือแม่ค้าในตลาดต่างคนต่างตกใจว่าพาศพแม่มาที่บ้าน ตลาดลือให้แซบว่าแม่เสียแล้ว แล้วแม่ก็ขำๆนะ นางไปยืนหน้าบ้านแล้วตะโกนดังๆว่า "กู ยัง ไม่ ตาย โว้ย 555555" เท่านั้นแหล่ะเสียงกรี๊ดจากตลาดดังขึ้นมาทันที ถือว่าแม่ของมดป๊อปปูล่ามาก ทอร์คออฟเดอะทาวน์ และแม่ก็รักษาตัวมาเรื่อยๆ ส่วนมดก็ไปๆกลับๆเหมือนเดิมค่ะ จากที่เคยคิดว่าเดินทางจาก กรุงเทพมา ตจว มันไกลมาก แต่เดี๋ยวนี้ยังนึกว่า กรุงเทพ-รังสิตเลยค่ะ555
ผลตรวจพิสูจน์ออกมาแล้วค่ะ มดยังเรียนอยู่ พ่อมารายงานว่าแม่เป็นมะเร็งระยะที่ 3-4 มดเข่าทรุดเลยค่ะ ทรุดแบบทรุดจริงๆ แบบในละคนเลยค่ะ แต่เรา2พ่อลูกต้องให้กำลังใจแม่และให้กำลังใจตัวเอง ตอนแรกปิดเป็นความลับไม่ให้แม่รู้นะ เพื่อไม่ให้แม่รู้ เดี๋ยวรับรู้เรื่องราวแล้วจะเครียด จนแม่ทนไม่ได้ เลยถามหมอเองว่าสรุปว่าเป็นไง ถึงได้รู้กับตัว แต่แม่เข้มแข็งมากๆนะ
และแล้ววันที่นำเสนอ Thesisจบ ต่อหน้าสื่อมวลชน ต่อหน้าสาธารณชนก็มาถึง เพื่อนมดทุกคนมีพ่อมีแม่พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายมาเต็มมาก แต่มดก็บอกพี่ๆน้องๆให้มานะ เพราะวันนั้นเป็นวันที่ตรงกับแม่ต้องทำคีโม ไม่อยากให้มาเพราะเดินทางไกล เสี่ยง แต่ก็แอบเสียใจนะ แต่ก่อนโชว์ผลงานมดก็โทรหากำลังใจจากแม่นะคะ แต่แม่ก็ด่าๆ บ่นๆ ประมาณ "เออ สู้ๆ อย่าโทรมาบ่อย รำคาญ จะพักผ่อน" แต่มดเข้าใจแม่นะ คนทำคีโมมันจะหงุดหงิด แต่ก็แสดงออกแบบนี้ซึ่งมดเข้าใจ และมดไม่ซีเรียส แต่บรรดาญาติๆพี่ๆน้องๆมดล่ะ หายไปไหน โทรมาบอกไม่มาก่อนโชว์จะเริ่ม 5 นาที คืออะไร แล้วโชว์จบลง เพื่อนๆพี่ๆน้องๆต่างมีช่อดอกไม้มาแสดงความยินดี แต่มดได้ช่อดอกไม้ช่อเดียวจากพี่ที่สนิทในคณะ แล้วไหนพี่น้อง ไหนญาตุ มดยืนอยู่บนเวที คนเดียวในบรรยากาศที่เสียงดัง ทุกคนแฮปปี้ แต่มดมันเงียบ เงียบสนิท ไม่คิดว่าวันที่เราสำเร็จจะต้องมาเจอไรแบบนี้ ถามว่าน้อยใจมั้ย ก็นิดนึงค่ะ ก็พวกเค้าบอกจะมาๆ จะมาแทนพ่อแม่ พูดซะดิบดี มดคิดว่า ไม่ต้องมาดีกว่าค่ะ ช่างมันเถอะค่ะ มันผ่านมาแล้ว แคร์คนที่เราควรแคร์ดีกว่าเนอะ เหตุการณ์วันนั้นแค่เป็นวันพิเศษวันนึงแค่นั้น
จนกระทั่งวันรับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งตรงกับวันที่หมดนัดคุณแม่ทำคีโมพอดี คุณแม่ขอเลื่อนคีโมออกไปก่อน ตอนนั้นผมก็ร่วมแล้วนะ มดซื้อวิกปลอมทรงคุณนายให้แม่ 2 ทรง สั้นและยาว นางปลื้มมาก นางบอกสวยกว่าผมจริงๆที่นางเคยทำซะอีก แล้วแม่ก็ใส่วิกมาในวันรับปริญญา คุณแม่ดูแฮปปี้แล้วก็แข็งแรงขึ้นมาก ทั้งๆที่สถานที่รับปริญญาแดดร้อน คนเบียด ฝนตก แต่แม่ก็ไฟต์มาก มดก็เป็นห่วงและดีใจที่สุดในชีวิตที่กัดฟันเรียนจนถึงวันนี้
ทั้งๆที่มดเรียนไม่เก่งเลยค่ะ แต่มดต้องสู้จริงๆถ้าไม่สู้แม่อาจอยู่ไม่ทันวันนี้ของมดได้ อีกอย่างสิ่งที่มดทำ มดนึกถึงแม่ตลอดเลยค่ะ จนกระทั่งเวลาที่ออกจากหอประชุม เดินออกมาพร้อมใบปริญญา มดถือกับมือตลอดไม่ได้ปล่อยให้ใครถือเด็ดขาด แล้วคนที่รับใบปริญญาต่อจากมือมดคือแม่ มดมอบใบนี้ให้แม่เพราะมดคิดว่านี่คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทุ่มเทให้ ความเชิดหน้าชูตาในครอบครัว ความเชิดใส่บรรดาญาติๆที่ดูถูกมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่อดทนต่อสู้กับโรคมะเร็ง ขอบคุณที่มีวันๆนี้จริงๆค่ะ มดไม่เคยลืมภาพรอยยิ้มของแม่ที่แม่ภูมิใจในตัวมด (มดรู้สึกอย่างงั้น555) จนกระทั่งมดได้ทำงานในที่ๆมดต้องการ
อ้อ!! เรื่องโทรศัพท์ มดเข็ดมาก มดเลยเก็บเงินซื้อโทรศัพท์ใหม่ คราวนี้โทรหาแม่จนแม่รำคาญเลยล่ะคะ 5555
เรื่องราวยังไม่จบค่ะ ช่วงแรกๆที่มดเล่ามาอาจจะแฮปปี้ๆหน่อย ฮาๆบ้าง แต่เดี๋ยวมดจะมาต่อนะคะ คราวนี้อาจจะดราม่านิดนึง มดให้เวลาทุกคนไปเตรียมกระดาษทิชชู่ไว้รอเลย เดี๋ยวมดมาต่อนะคะ
ปล.แสดงความเห็นได้ค่ะ มดเขียนงงๆหรือเขียนผิดยังไงบอกได้นะเดี๋ยวมาแก้ในเรื่องต่อไปนะคะ อย่าเพิ่งหวีดมดเลย เดี๋ยวมดอารมณ์ไม่ต่อ 5555 เจอกันโพสหน้าค่ะ
ความรู้สึกและเรื่องราวดีๆ..เมื่อรู้ว่าแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
ซึ่งเรื่องนี้บางคนอาจจะยังไม่เคยได้เจอกับตัวเอง หรือไม่ก็บางคนก็เคยเจอมากับตัวเองบ้างแล้ว
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนคะ ชื่อ มด ค่ะ เป็นลูกชายคนเดียว (ย้ำ!!ลูกชายค่ะ 555 ) คุณพ่อรับราชการตำรวจและคุณแม่ทำธุระกิจส่วนตัวคือเปิดเป็นร้านค้าใจกลางตลาด และครอบครัวของเรามีกันอยู่3 คน พ่อแม่ลูก และใช้ชีวิตร่วมกันที่ต่างจังหวัด คุณพ่อข้อนข้างบังคับให้มดเป็นผู้ชายเต็มร้อย แต่มดก็ไม่สามารถทำตามสิ่งที่เค้าหวังได้ จึงได้ลูกสาวมาแทนค่ะ 5555 ส่วนคุณแม่ก็เหมือนพี่เลี้ยงนางงาม คอยสนับสนุนเรื่องสิ่งสวยๆงามๆ(แบบหลบๆซ่อนๆเพราะกลัวพ่อด่าเหมือนกัน) แต่เราทุกคนก็รักกันดีค่ะ จะบอกว่าใครที่คิดว่าลูกคนเดียวมักเอาแต่ใจ อันนี้สำหรับตัวมดเอง มดไม่ค่อยนะ มดไม่ค่อยเรียกร้องอะไรจากพ่อแม่เลย เช่นพวกของเล่นหรือคอวพิวเตอร์ ก็มีแต่พ่อแม่ยัดเยียดให้ เราเองแหล่ะที่บอกว่าพอก่อนเก็บตังไว้ใช้ดีกว่า อ้อ!ฐานะที่บ้านเราข้อนข้างปานกลางไม่ถึงกับรวย พอมีพอกิน และใช้ชีวิตติดดินมากๆ แต่ขอบอกว่า 3 คนพ่อแม่ลูกคือตัวอึด อึดในที่นี้คือไฮเปอร์ ทำงานสู้มากจนเป็นนิสัย จนไม่ค่อยห่วงสุขภาพตัวเองเลย และแบบนี้แหล่ะทำให้เรายิ่งรักกันมาก
จนกระทั้ง กำลังจะสอบเข้ามหาลัย พ่อแม่ตั้งใจจะให้เราเรียนที่ ตจว แถวๆบ้าน แต่ในใจเราต้องพยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและครอบครัว มดต้องการทำอะไรที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ให้เป็นคนที่คนรู้จัก คนยอมรับในความคิดเรา มดเป็นคนเรียนไม่เก่งนะคะ แต่มดไฟต์ มดเลือก ม.ธรรมศาสตร์อันดับ 1 และ 2 3 คือ ม.รัฐบาลใกล้ๆบ้าน แล้วด้วยความที่เลือก ม.อันดับต้นๆของประเทศไป ทำให้บรรดาญาติๆที่มั่นในความรู้ทุกท่านต่างเรียกเราเข้าไปเทคเดี่ยว ง่ายๆคือบรรยากาศห้องมืด ห้องปิด ผู้ใหญ่รุม คือจริงๆในบรรดาญาติเค้าข้องข้างซีเรียสกับเราเพราะในบรรดาญาติทุกคนเรียนเก่งหมด สอบได้ที่1 2 3 หมด แต่มดจะอยู่อันดับท้ายๆของห้อง คือพวกนางก็จิงจังกันแหล่ะ ซึ่งก็งง มดผิดหรอ มดไม่มีสิทธิเลือกหรอ ถึงคะแนนสอบเอ็นทรานมดจะน้อย แต่มดก็อยากเรียนคณะนี้ มหาลัยนี้นะ คุณพระ บรรดาญาติก็หวีดว่า เลือกอะไรไม่เคยดูตัวเองว่าตัวเองเป็นไง (ซึ่งในใจคือ จะมายุ่งอะไรกะเราวะ พ่อแม่มดก็ไม่เห็นต้องเครียดอะไรขนาดนี้) และแล้วตอนตี 2 ผลประกาศออกมาผ่านเน็ต คุณพระ!!! มดสอบติดที่มดเลือกอันดับที่ 1 คุณพ่อคุณแม่ตกใจเสียงกรี๊ดของมด เค้าเลยรีบวิ่งลงมาจากชั้น2 ว่าเกิดอะไรขึ้น และก็บอกพ่อกะแม่ไปว่า "มดติดธรรมศาสตร์" คุณพ่อดีใจมากๆๆๆๆ ที่สามารถไปสู้หน้ากับบรรดาญาติๆได้ แต่สีหน้าแม่นี่สิ เหมือนจะดีใจครึ่ง เสียใจครึ่ง(เสียใจเหมือนว่าลูกต้องจากบ้าน จากอกคนเป็นแม่ไปอยู่เมืองหลวงตามลำพัง) แม่ก็ถามดวยน้ำเสียงสั่นๆว่า "แล้วเค้าเรียกสัมภาษณ์วันไหน?" "อีก2วัน" คืนนั้นรีบเก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเข้ากรุงเทพ และมีแม่คอยเฝ้าที่หน้าห้องเพื่อให้กำลังใจ ส่วนพ่อก็เก็บกระเป๋าเช่นกันเพราะต้องไปกับมด 2 คน และตอนเช้าก็เดินทางโดยรถทัวร์สู่มหานคร จากนั้นก็เป็นการห่างจากบ้านตลอดมา แต่เวลากลับบ้านน้อยกว่าเดิม เป็นระยะเวลา 3 ปี
จนกระทั่ง เรียนอยู่มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่4 เป็นช่วงของการทำ Thesis เพื่อจบปริญญา เหลือเทอมสุดท้ายแล้ว เทอมสุดท้าย มีทั้งหมด 3 โปรเจค ทำไปแล้ว 1 และ 2 เหลือตัวที่3 โปรเจคที่1 และ 2 มดทำได้คะแนนดีมากกกก และทางครอบครัวมดก็ให้กำลังใจและให้ทุนมาทำตลอด
จนมีอยู่วันหนึ่งมดได้ออกมาทานข้าวกับเพื่อน ไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือติดตัวมาด้วย อ้อ!!โทรศัพท์เนี่ยมันพัง ดับๆติดๆ ชาร์ตแบททีใช้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ดับ แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยยึดติดกับโทรศัพท์จึงปล่อยละเลย ที่บ้านจะโทรมาก็แล้วแต่ดวงค่ะ 555 หรือมดจะโทรไปเอง พ่อเคยบอกให้ซื้อใหม่ เราก็ไม่ต้องการเพราะไม่จำเป็นเท่าไหร่ และวันนั้นเอง มดก็กลับหอเกับเพื่อนที่เป็นรูมเมทหลังทานข้าวเย็นเสร็จ และนอนจนถึงเช้า และทันใดนั้นโทรศัพท์ของเพื่อนรูมเมทดัง แล้วเพื่อนก็วิ่งมาปลุกมดว่า พ่อโทรหามีเรื่องด่วนมาก
พ่อบอกว่าแม่เข้าโรงพยาบาล แม่มีอาการปวดหน้าอก ตอนนี้กำลังอยูไอซียู แต่ไม่น่าเป็นไรมาก ขอดูอาการนิดหน่อยก่อน แล้วก็บอกว่าพ่อโกรธมากที่โทรหาลูกไม่ติดเลย เวลาเดือดร้อนก็ติดต่อยากมาก อย่าทำแบบนี้อีก พ่อก็บอกแหล่ะว่าให้รับโทรศัพท์ และมดก็ตกใจมาก แล้วคอยติดตามอาการของแม่มาตลอด จนแม่โทรมาเองว่า "แหมมม ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก 55555" มดได้ยินแบบนี้มดก็ดีใจ
ผ่านไป2 วันพ่อโทรมา พร้อมเสียงรถหวอ เสียงหวอรถโรงพยาบาล บอกว่าแม่ช็อคหนัก ให้รีบมาหาแม่ด่วน ที่โรงพยาบาลขอนแก่น มดก็ทิ้งงานโปรเจคเลยค่ะ ก่อนอีกมดตั้งสติ ไปบอกอาจารย์ที่คุมโปรเจครับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น บอกไปน้ำตาแตกไป ตกใจ ตัวสั่น พูดรัว เสียงสั่น แล้วอาจารย์ก็อนุญาติให้กลับบ้านได้ และโปรเจคของมดก็ไม่ได้หยุด แต่แค่บรรเทาไปบ้าง
ตอนนั้นพี่ที่เป็นญาติมารับที่มหาลัย และตีรถส่วนตัวพุ่งตรงจากกรุงเทพสู่ จ.ขอนแก่น ถึงขอนแก่นเวลาตี4 ใกล้เช้าแล้ว พ่อเดินมาจับมือเราว่าทำใจนะ แม่อาการ 50/50 ตอนนั้นมดยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกคนไม่เล่าให้มดฟังในส่วนของรายละเอียด เพราะกลัวมดคิดเยอะ คิดมากและเครียด แต่ก็ฟังที่พ่อพูกับญาติๆแหล่ะว่าอาการแม่เป็นยังไง พอสักเที่ยงๆอาการแม่ดีขึ้น พูดคุยได้ แต่เพลียๆจากการเดินทางบ้าง แต่มดก็พยายามให้กำลังใจ จนกระทั้งคุณหมอเดินมาคุยกับมดและพ่อว่า ผลจากการเอ็กซเรย์ที่หน้าอก พบว่ามีก้อนเนื้อชนิดหนึ่ง ไม่แย่ใจว่าเป็นเนื้องอกหรือเนื้อร้าย ต้องทำการผ่าตัดชิ้นเนื้อมาพิสูจน์ มดกับพ่อคุยกันและตัดสินใจกันว่าให้ผ่าตัดค่ะ แต่ผลของการผ่าตัดคือ 50/50 นะ คือมันข้องข้างใกล้หัวใจ คุณแม่อาจมีเอฟเฟค ให้ทำใจ ให้มดเข้าไปคุยกับแม่ นี่รู้มั้ยคะ ในใจมดอ่ะร้องไห้นะ ร้องไห้แบบ เออ ร้องไห้ใจจะขาด แต่หน้ามดยิ้มมาก ยิ้มแบบโลกสดใส ซึ่งอารมณ์และสีหน้าต่างกันคนละขั้วเลยค่ะ มดให้กำลังใจและมดก็เขียนจดหมายว่า หลังจากผ่าตัดแม่ต้องกลับมาเจอมดนะคะ และมีประโยคนึงที่มดไม่เคยปริปากพูดเลยในชีวิต เพราะมดเขินและไม่กล้าพูด แค่มดก็ได้เขียนประโยคนึงว่า "มดรักแม่มากที่สุดในโลก" อาจเป็นประโยคที่ฟังดูธรรมดา แต่สำหรับคนที่ไม่เคยพูดนะ มันสำคัญนะ
เวลาผ่านไปนานมากกกก นานจนมดไม่เหลือน้ำตาให้ร้องแล้ว กินข้าวไม่ลง เอะอะวิ่งไปร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียว กอดคอพ่อร้องไห้บ้าง พ่อร้องไห้ มดร้องไห้ตามบ้าง คือสงสารพ่อด้วย พ่อคงเครียด คือเข้าใจอารมณ์ในละครทีวีมั้ยคะ แบบทุกคนกระวนกระวายหน้าห้องไอซียู คุณหมอเดินออกมา แล้วก็วิ่งมาถามว่า คนไข้เป็นไงบ้างค่ะ นั่นแหล่ะ!!! ฟิวนั้นเลยค่ะ และแล้วแม่ก็ออกมาจากห้องผ่าตัด ไอซียูอย่างปลอดภัย และแม่ก็ลืมตาพร้อมกับสายยาง สายไฟ สายน้ำเกลือระโยงระยางเต็มไปแบบน่าสับสน เสียง ตี๊ดๆ ติ๊ดๆ ดังตลอดเวลา ในบรรยากาศห้องที่เงียบสงบ แม่พูดไม่ได้ค่ะ เพราะสายเครื่องช่วยกระตุ้นการหายใจอยู่ที่ปาก แม่จะเขียนว่าต้องการอะไรแล้อยากได้อะไรกับมด มดจัดการให้หมดทุกอย่าง และมดกับพ่อต้องสลับสับเปลี่ยนกันดูแลแม่ และมดก็ถือโอกาสไปทานข้าวคนเดียวตามปกติ แต่ไม่ปกติ งงมั้ยคะ คือแบบ กินคนเดียวที่รู้สึกว่าเหงาๆ วังเวง เหมือนชีวิตโหลงเหลง ทุกอย่างเป็นสีเทา คิดไรไม่ออก คาดเดาอนาคตไม่ถูก ทำแบบนี้มาเกือบ2 อาทิตย์จนกระทั้งแม่นั้นอาการดีขึ้น ย้ายแม่เข้าไปที่ห้องพักส่วนตัว แล้วมดก็ดูแลคุณแม่สลับกับพ่อได้2อาทิตย์ อาการแม่ก็หายห่วงแค่รอผลการตรวจชั้นเนื้อและพักผ่อนจากการผ่าตัด มดก็ได้กลับมากรุงเทพ กลับมหาลัยเพื่อสานต่องานและทำโปรเจคให้สำเร็จ และสลับไปๆกลับๆกรุงเทพ-ขอนแก่นเกือบเดือนกว่า และจนแม่ออกจากโรงพยาบาลมดก็พาแม่กลับบ้านไปพักฟื้น แม่ผอมลงมากๆๆๆเลยค่ะ ผิดหูผิดตาไปจากแต่ก่อนซึ่งแต่ก่อนข้อนข้างตัวใหญ่นิดๆ จากเป็นคนที่แข็งแรง กลายเป็นคนผอมบอบบาง แก้มตอบ ตาโบ๋ โทรมมากๆ เวลาถึงบ้าน (อันนี้ขำๆ) บังเอิญ คนที่ไปรับแม่กลับบ้านนั้นใส่ชุดสีขาวๆดำๆกันพอดี ลงจากรถมา ชาวบ้าน หรือแม่ค้าในตลาดต่างคนต่างตกใจว่าพาศพแม่มาที่บ้าน ตลาดลือให้แซบว่าแม่เสียแล้ว แล้วแม่ก็ขำๆนะ นางไปยืนหน้าบ้านแล้วตะโกนดังๆว่า "กู ยัง ไม่ ตาย โว้ย 555555" เท่านั้นแหล่ะเสียงกรี๊ดจากตลาดดังขึ้นมาทันที ถือว่าแม่ของมดป๊อปปูล่ามาก ทอร์คออฟเดอะทาวน์ และแม่ก็รักษาตัวมาเรื่อยๆ ส่วนมดก็ไปๆกลับๆเหมือนเดิมค่ะ จากที่เคยคิดว่าเดินทางจาก กรุงเทพมา ตจว มันไกลมาก แต่เดี๋ยวนี้ยังนึกว่า กรุงเทพ-รังสิตเลยค่ะ555
ผลตรวจพิสูจน์ออกมาแล้วค่ะ มดยังเรียนอยู่ พ่อมารายงานว่าแม่เป็นมะเร็งระยะที่ 3-4 มดเข่าทรุดเลยค่ะ ทรุดแบบทรุดจริงๆ แบบในละคนเลยค่ะ แต่เรา2พ่อลูกต้องให้กำลังใจแม่และให้กำลังใจตัวเอง ตอนแรกปิดเป็นความลับไม่ให้แม่รู้นะ เพื่อไม่ให้แม่รู้ เดี๋ยวรับรู้เรื่องราวแล้วจะเครียด จนแม่ทนไม่ได้ เลยถามหมอเองว่าสรุปว่าเป็นไง ถึงได้รู้กับตัว แต่แม่เข้มแข็งมากๆนะ
และแล้ววันที่นำเสนอ Thesisจบ ต่อหน้าสื่อมวลชน ต่อหน้าสาธารณชนก็มาถึง เพื่อนมดทุกคนมีพ่อมีแม่พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายมาเต็มมาก แต่มดก็บอกพี่ๆน้องๆให้มานะ เพราะวันนั้นเป็นวันที่ตรงกับแม่ต้องทำคีโม ไม่อยากให้มาเพราะเดินทางไกล เสี่ยง แต่ก็แอบเสียใจนะ แต่ก่อนโชว์ผลงานมดก็โทรหากำลังใจจากแม่นะคะ แต่แม่ก็ด่าๆ บ่นๆ ประมาณ "เออ สู้ๆ อย่าโทรมาบ่อย รำคาญ จะพักผ่อน" แต่มดเข้าใจแม่นะ คนทำคีโมมันจะหงุดหงิด แต่ก็แสดงออกแบบนี้ซึ่งมดเข้าใจ และมดไม่ซีเรียส แต่บรรดาญาติๆพี่ๆน้องๆมดล่ะ หายไปไหน โทรมาบอกไม่มาก่อนโชว์จะเริ่ม 5 นาที คืออะไร แล้วโชว์จบลง เพื่อนๆพี่ๆน้องๆต่างมีช่อดอกไม้มาแสดงความยินดี แต่มดได้ช่อดอกไม้ช่อเดียวจากพี่ที่สนิทในคณะ แล้วไหนพี่น้อง ไหนญาตุ มดยืนอยู่บนเวที คนเดียวในบรรยากาศที่เสียงดัง ทุกคนแฮปปี้ แต่มดมันเงียบ เงียบสนิท ไม่คิดว่าวันที่เราสำเร็จจะต้องมาเจอไรแบบนี้ ถามว่าน้อยใจมั้ย ก็นิดนึงค่ะ ก็พวกเค้าบอกจะมาๆ จะมาแทนพ่อแม่ พูดซะดิบดี มดคิดว่า ไม่ต้องมาดีกว่าค่ะ ช่างมันเถอะค่ะ มันผ่านมาแล้ว แคร์คนที่เราควรแคร์ดีกว่าเนอะ เหตุการณ์วันนั้นแค่เป็นวันพิเศษวันนึงแค่นั้น
จนกระทั่งวันรับพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งตรงกับวันที่หมดนัดคุณแม่ทำคีโมพอดี คุณแม่ขอเลื่อนคีโมออกไปก่อน ตอนนั้นผมก็ร่วมแล้วนะ มดซื้อวิกปลอมทรงคุณนายให้แม่ 2 ทรง สั้นและยาว นางปลื้มมาก นางบอกสวยกว่าผมจริงๆที่นางเคยทำซะอีก แล้วแม่ก็ใส่วิกมาในวันรับปริญญา คุณแม่ดูแฮปปี้แล้วก็แข็งแรงขึ้นมาก ทั้งๆที่สถานที่รับปริญญาแดดร้อน คนเบียด ฝนตก แต่แม่ก็ไฟต์มาก มดก็เป็นห่วงและดีใจที่สุดในชีวิตที่กัดฟันเรียนจนถึงวันนี้
ทั้งๆที่มดเรียนไม่เก่งเลยค่ะ แต่มดต้องสู้จริงๆถ้าไม่สู้แม่อาจอยู่ไม่ทันวันนี้ของมดได้ อีกอย่างสิ่งที่มดทำ มดนึกถึงแม่ตลอดเลยค่ะ จนกระทั่งเวลาที่ออกจากหอประชุม เดินออกมาพร้อมใบปริญญา มดถือกับมือตลอดไม่ได้ปล่อยให้ใครถือเด็ดขาด แล้วคนที่รับใบปริญญาต่อจากมือมดคือแม่ มดมอบใบนี้ให้แม่เพราะมดคิดว่านี่คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทุ่มเทให้ ความเชิดหน้าชูตาในครอบครัว ความเชิดใส่บรรดาญาติๆที่ดูถูกมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่อดทนต่อสู้กับโรคมะเร็ง ขอบคุณที่มีวันๆนี้จริงๆค่ะ มดไม่เคยลืมภาพรอยยิ้มของแม่ที่แม่ภูมิใจในตัวมด (มดรู้สึกอย่างงั้น555) จนกระทั่งมดได้ทำงานในที่ๆมดต้องการ
อ้อ!! เรื่องโทรศัพท์ มดเข็ดมาก มดเลยเก็บเงินซื้อโทรศัพท์ใหม่ คราวนี้โทรหาแม่จนแม่รำคาญเลยล่ะคะ 5555
เรื่องราวยังไม่จบค่ะ ช่วงแรกๆที่มดเล่ามาอาจจะแฮปปี้ๆหน่อย ฮาๆบ้าง แต่เดี๋ยวมดจะมาต่อนะคะ คราวนี้อาจจะดราม่านิดนึง มดให้เวลาทุกคนไปเตรียมกระดาษทิชชู่ไว้รอเลย เดี๋ยวมดมาต่อนะคะ
ปล.แสดงความเห็นได้ค่ะ มดเขียนงงๆหรือเขียนผิดยังไงบอกได้นะเดี๋ยวมาแก้ในเรื่องต่อไปนะคะ อย่าเพิ่งหวีดมดเลย เดี๋ยวมดอารมณ์ไม่ต่อ 5555 เจอกันโพสหน้าค่ะ