###### 7 วิธีที่ไม่ยากเกินความสามารถ แต่อยู่รอดในตลาดหุ้น !!!!! ######

7 วิธีที่ไม่ยากเกินความสามารถ แต่อยู่รอดในตลาดหุ้น!!!

การอยู่ให้รอดในตลาดหุ้น ทำยังไง... หลายคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นทั้งมือใหม่และมือเก่าที่ยังขาดทุนอยู่ คงอยากรู้วิธีการอยู่รอดในตลาด
วิธีการทำกำไร และหลีกเลี่ยงการขาดทุนจำนวนมากๆ วันนี้ผมจะบอกวิธีการเอาชนะตลาดแบบง่ายๆ ให้ทุกคนได้ทราบกันครับ

จากประสบการณ์ที่ผมอยู่ในตลาดหุ้นมาประมาณ 3 ปี ผ่านวิกฤตตลาดหุ้นมาระดับนึง อาจจะไม่หนักเท่าวิกฤตแฮมเบอเกอร์
หรือต้มยำกุ้ง แต่ก็พอให้เห็นถึงอะไรหลายๆอย่าง ผมจะเขียนตามประสบการณ์ที่ได้รับมาโดยตรง ถูกผิดยังไงก็ชี้แนะหรือ ออกความเห็นได้เลยครับ


1. เวลาที่เราเล่นหุ้น ไม่ว่าจะลงทุนหรือเก็งกำไร เราต้องมีระบบที่ชัดเจน

นักลงทุนหรือเทรดเดอร์มืออาชีพ จะมีระบบซื้อขายเป็นของตัวเอง แน่นอนว่า...นักลงทุนกับเทรดเดอร์จะมีระบบที่แตกต่างกัน
นักลงทุนก็ใช้ปัจจัยทางพื้นฐานธุรกิจนั้นๆ เทรดเดอร์ก็จะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค บางคนเป็นสาย Hybrid คือนำทั้งสองแนว
มาเป็นระบบซื้อขาย ซึ่งถ้าใครมาแนว Hybrid ได้ จะเก่งมากๆครับ เพราะรู้ทั้งพื้นฐานและเทคนิค ซึ่งตัวผมเองรู้แค่เทคนิคเท่านั้น
(เรื่องพื้นฐานนี่เข้าขั้นโง่เลยครับ 55555) แต่จริงๆแล้ว ใช้แนวไหนมันไม่สำคัญเท่า การที่เรารู้ลึกและรู้จริง ในระบบที่เราใช้นะครับ
เพราะถ้าเราศึกษาไม่ถึงแก่นมันจริงๆ แล้ว เท่ากับว่าระบบเรานั้นยังไม่ดีพอ

2. The closer you look, the less you see...ยิ่งใกล้ ยิ่งไม่เห็น!!

สำนวนนี้เอามาจากหนัง Now you see me ครับ ดูแล้วนึกว่าตลาดหุ้นขึ้นมาทันที จริงๆ ตลาดหุ้นก็เหมือนการเล่นกลอย่างนึงครับ
มือใหม่หลายๆคนในนี้ คงงงว่าทำไม พอเราซื้อหุ้นปั๊บ มันลงปุ๊บ พอขายเท่านั้นแหละ ขึ้นกระจุย จริงๆแล้ว ผมคิดว่า สภาพแวดล้อม
ทำให้เราคิดแบบนั้นครับ เราควรถอยออกมาครับ อันนี้รวมถึงการเล่นหุ้นแบบDay-trading ด้วยนะครับ การเล่นหุ้นแบบ Day-trading
คือการที่เราเข้าไปตลาดหุ้นมากเกินไป ทำให้เรามองไม่เห็นภาพใหญ่และจะเจ๊งในที่สุด  แต่สำหรับคนที่เล่น Day-trading แล้วสำเร็จนี่
ต้องเรียกว่าเทพเลยล่ะครับ ยากมากจริงๆ ดั้งนั้น ถ้าเราคิดว่าฝีมือเรายังไม่เทพขนาดนั้น เราควรจะมองภาพที่กว้างขึ้น ถอยออกมาให้
มากๆ เพราะยิ่งใกล้ ยิ่งไม่เห็น...


3. มีวินัยและรอให้เป็น

อันนึงจะโยงกับข้อที่ 1 นะครับ คือถ้าระบบเราดีแล้วเนี่ย แต่ถ้ารอไม่เป็น หรือไม่มีวินัย ก็เท่ากับ fail นะครับ เช่น หุ้น B พื้นฐานเปลี่ยนแล้ว
ระบบก็สั่งขาย แต่เราดื้อไม่ขาย ไม่ยอมตัดขาดทุนเล็กๆน้อยๆ จากที่ขาดทุนน้อยๆ จะกลับเป็นการขาดทุนมากๆ คราวนี้แหละครับ
ติดดอยหนัก หรือ หุ้น A มีสัญญาณซื้อแล้ว เราก็ได้เข้าซื้อตามระบบของเรา แต่...รอไม่เป็น คือขายซะก่อน แล้วมันก็วิ่งต่อ
อันนี้ คือ ขายหมู แล้วมานั่งเสียดาย .... มีวินัยและรอให้เป็น ข้อนี้ทำได้ยากจริงๆ ถ้าฝึกได้ เราก็จะเก่งขึ้นไปอีกเลยแหละครับ


4. การรักษาเงินต้น สำคัญกว่าการทำกำไร!!!

หลายๆคน ช่วงแรกที่เข้ามาในตลาดหุ้น คงฝันไว้ว่าจะทำกำไรได้มากมายใช่มั้ยครับ ผมเองก็เป็น 5555 สรุปก็ขาดทุนไปตามระเบียบ
จริงๆแล้ว การรักษาเงินต้นเนี่ยแหละครับ คือ แก่นหลักของการเล่นหุ้นเลย ไม่ต้องหุ้นหรอกครับ ทุกธุรกิจก็ต้องเป็นแบบนี้เพราะเรารักษา
เงินต้นไม่ได้ เราก็จะไม่มีเงินที่จะไปลงทุนต่อครับ แต่กลับกัน ถ้าเรารักษาเงินต้นของเราได้แล้ว เดี๋ยวกำไรมันจะมาเอง นักลงทุนหรือ
เทรดเดอร์มืออาชีพจะมองหาความเสี่ยงก่อนที่จะมองหากำไร แต่มือใหม่มักจะมองหากำไรก่อน โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยงเลย
เลยขาดทุนในที่สุด ดังนั้นการรักษาเงินต้นนี่สำคัญมากเลยครับ

5. การกระจายความเสี่ยง คือความเสี่ยง!!!

ข้อนี้ดูแล้วอาจจะขัดๆ กับคำสอนของปู่บัฟเฟตซักหน่อยนะครับ คือผมคิดว่าถ้าเราศึกษาข้อมูลหุ้นตัวนั้นๆ มาอย่างดีแล้ว เราก็ไม่มี
ความจำเป็นจะต้องซื้อหุ้นหลายๆตัว ถ้ามันเป็นไปตามที่เราวิเคราะห์แล้ว เดี๋ยวผลมันก็ตามมาเองครับ ผมจึงชอบที่จะซื้อหุ้นตัวเดียว
และซื้อไม้หนักๆ ที่เดียวเลย อาจจะ Aggressive สำหรับบางคนเกินไป ข้อนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของเราดีกว่านะครับ 555


6. ตลาดหุ้นให้ความมั่งคั่ง แต่ไม่ให้ความมั่นคง

แน่นอนครับ...ผลตอบแทนในตลาดหุ้นนั้นดีกว่าการฝากแบงค์หรือแม้กระทั่ง ซื้อกองทุน จึงไม่แปลกที่หลายๆคน เข้ามาเล่นหรือลงทุน
ในหุ้น แทนที่จะเอาไปฝากแบงค์ ถ้าเราศึกษาดีๆ บางทีสามารถทำกำไรได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ แต่!! ตลาดหุ้นมันไม่ได้ให้ความมั่นคง
กับเรา แต่ถ้าเรามีระบบซื้อขายหุ้นที่ดี เราก็สามารถแก้ข้อนี้ได้ระดับนึง แต่ก็นั่นแหละครับ... ตลาดหุ้นมันไม่แน่นอน การที่เรายืนอยู่ฝั่ง
Market Maker (Market Maker คือเจ้าตลาด บางคนบอกว่าเป็นเจ้ามือ) ก็ไม่ได้ประกันว่า หุ้นจะไปทิศทางนั้นจริงๆ ดังนั้น ใครจะคิดจะ
เอากำไรจากตลาดหุ้นเป็นรายได้ทางเดียว คงต้องคิดใหม่นะครับ ถ้าวันที่เลวร้ายมาถึงจริงๆ จะมีแผน B รับรองยังไง...


7. ขั้นสุด คือ การปลง!!

อย่างที่บอกครับ ตลาดหุ้นมันมีขึ้นมีลง มันต้องมีวันที่เราพลาดบ้าง มันเป็นเรื่องปกติครับ กำไรก็เฉยๆ เวลาขาดทุนก็อย่าไปเสียใจ
สำคัญห้ามเสียกำลังใจ!! ตอนเราขาดทุน อย่าคิดว่าขาดทุนจริงๆนะครับ เราอาจจะขาดทุนเป็นรูปแบบของเงิน แต่สิ่งที่เราได้คือ
จุดบกพร่องของเรา ถ้าเราไม่ขาดทุน เราก็ไม่รู้หรอกครับ มันเป็นเรื่องดีซะอีก แล้วพลิกจุดอ่อนให้เป็นจุดแข็งให้ได้ แบบนี้จากที่เราขาดทุน
เราจะกำไรแทน กลับกัน เวลาเรากำไร ถ้าเรามองแต่เหลิง คิดว่าตัวเองนั้นเก่งมากพอแล้ว คิดแบบนี้เราจะขาดทุนแทนครับ
ผมคิดว่าที่สุดของการเล่นหรือลงทุนหุ้น คือการปลงกับมัน กำไรอย่าเหลิง ขาดทุนอย่าเศร้า


จบแล้วครับสำหรับ 7 วิธีที่ไม่ยากเกินความสามารถ แต่อยู่รอดในตลาดหุ้น ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้จะอวดว่าเก่งหรืออะไรนะครับ
เพราะผมเองก็เพียงแค่อยู่รอดในตลาดหุ้นได้ อยากให้ที่เขียนไปนี้เป็นประโยชน์กับหลายๆคน ที่ทั้งเป็นมือใหม่หรือมือเก่านะครับ

โชคดีทุกคนครับ!!!

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่