ระหว่างการเรียนปริญญาโทใบที่ 2 และ การเรียนปริญญาเอกใบแรก <คนทำงาน>

สวัสดีครับพี่ๆชาว Pantip  วันนี้มีเรื่องจะรบกวนปรึกษาและขอความคิดเห็นครับ

คือตอนนี้ผมมีตัวเลือกอยู่ 2 ทางสำหรับการเรียนต่อ ปัจจุบันทำงานด้านนโยบายอยู่ในมหาวิทยาลัย เนื่องจากต้องการต่อยอดงานและความชำนาญในสายงานให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการทำงานในระดับที่สูงขึ้นและสามารถใช้เวลาว่างทำงานพิเศษในสายงานที่ทำอยู่ได้ ซึ่งตอนนี้ผมได้ผ่านรับเข้าศึกษาต่อใน 2 หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตร 1 ป.เอก ด้านบริหารการศึกษา(มหาวิทยาลัย) / หลักสูตรที่ 2 ป.โท ด้านการกำกับดูแลกิจการ  โดยป.ตรีผมจบด้านเศรษฐศาสตร์มาและ ป.โทใบแรกผมจบด้านการศึกษา ครับ

งานที่รับผิดชอบ
- เสนอแผน จัดทำแผนทั้งยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ จัดการความเสี่ยง/ความต่อเนื่อง
- จัดทำฐานข้อมูลการดำเนินงาน KPI ของคณะ
- งานประกันคุณภาพการศึกษา (เนื่องจากคณะไม่ใหญ่เลยรับผิดชอบข้ามสายงานด้วย)
- การเงินงบประมาณ (ส่วนนี้ผมยังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่เพราะก่อนหน้าทำเอกชนมาก่อน ระบบระเบียบซับซ้อน ซึ่งกำลังเรียนรู้งานด้านนี้อยู่)
- งานพวกจัดฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร (ผมชอบเรียนรู้ครับเลยชอบเชิญวิทยากรที่รู้จัก รุ่นพี่บ้างมาให้ความรู้กับผู้บริหาร อาจารย์ เพื่อนร่วมงานในสำนักงาน) งานเสนอหน้าไม่มีใครใช้แต่ผมรักก็เลยทำเสริมครับ

เหตุผลที่อยากเรียนต่อ

1. หากเรียนปริญญาเอก แน่นอนครับระยะเวลาเรียนน่าจะ 4-5 ปีหรืออาจจะมากกว่า รายวิชาที่เรียน ก็เป็นเชิงบริหารการศึกษา วิชาการ หลักสูตร งานวิจัย บริการวิชาการ เป็นต้น ซึ่งผมตั้งใจจะทำหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ใช้ข้อมูลจากที่ทำงานมาทำครับ เพราะต้องทำคู่กับงานประจำไปด้วย ถ้าจบออกมาสำหรับงานสอนเป็นอาจารย์คงไม่รับครับเพราะไม่ได้เป็นคนเก่งและชำนาญมาก ผมชอบรู้กว้างมากกว่ารู้ลึก งานวิจัยพอทำได้ในรูปแบบของสายสนับสนุน เช่น งานวิเคราะห์ เขียนบทความประยุกต์เทคนิควิธีการ แต่ไม่ชอบสอนและทำวิจัยเชิงวิชาการมากนัก แต่สำหรับป.เอกก็คงเพิ่มความชำนาญด้านวิจัยมามากระหว่างที่เรียน ซึ่งใช้ระยะเวลาเรียนค่อนข้างนานเพื่อทุ่มเทให้กับการเรียน
- จบมาก็อาจจะสามารถเป็นผู้ตรวจประเมินภายในระดับมหาวิทยาลัยได้ เนื่องจากคุณวุฒิและอายุงานที่เพิ่มขึ้นตาม สายสนับสนุนที่เป็นดร.น่าจะได้รับการยอมรับไม่มากก็น้อยในระดับมหาวิทยาลัยเพราะอย่างน้อยเราก็คุณวุฒิเดียวกับอาจารย์ระดับต้นหลายๆท่าน แต่ผมมีข้อแย้งอย่างหนึ่งในความคิดนะครับว่า หากมีดร.นำหน้าอาจจะต้องแบกรับอะไรต่างๆในภาระหน้าที่อีกเยอะทั้งความรู้ ความสามารถที่จะต้องมีบทบาทมากขึ้นซึ่งอาจจะทำให้ชีวิตไม่ค่อยมีความสุขซักเท่าไหร่ เพราะผมเป็นประเภทไม่ให้ใครจ้างเราปล่าวๆอยู่แล้ว พยายามทำโน่นทำนี่ข้ามสายงานตลอดเพื่อพัฒนางานของเราเองงานของเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
- แถมตอนนี้ AEC ก็เริ่มจะมีบทบาทสำคัญสำหรับการเป็นอาจารย์ด้วย รุ่นผมหลังเรียนจบคงหางานได้ไม่ง่ายแน่ๆ เพราะรุ่นเก่งๆ อาวุโสกว่าผมก็มีเยอะมาก คนต่างชาติที่จะเข้ามาอีก

2. หากเรียนปริญญาโทใบที่ 2  ระยะเวลาไม่น่าจะเกิน 2 ปี หลักสูตรเน้นการปฏิบัติงานจริงในสายงานตรวจสอบภายในขององค์กร ผมคิดว่าสายนี้เป็นที่ต้องการของตลาดรวมถึงในองค์กรระดับมหาวิทยาลัย จากที่สืบประวัตินักตรวจสอบเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนักบัญชีเป็นหลัก คุณวุฒิระดับป.ตรีส่วนมากเป็นนักตรวจสอบมือใหม่ที่ทำงานยังไม่ครบ 1 ปี แต่รุ่นอาวุโสก็จะขั้นเทพไปเลย ซึ่งผมเคยให้สัมภาษณ์กับทีมตรวจสอบที่มาเยี่ยมคณะ ความชำนาญในเรื่องบริหาร รอบรู้ในเรื่องการตรวจสอบยังมีน้อย จะมุ่งแค่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียวทั้งๆที่การตรวจสอบน่าจะมีหลากหลายหมวดหมู่ให้ครอบคลุมทั้งระบบขององค์กร ระยะเวลาเรียนสั้นกว่า ผมสามารถทำคู่กับงานประจำได้อย่างสะดวกกว่า รวมถึงฝึกปฏิบัติงานจริงจากข้อมูลของที่ทำงานนี่แหละ ^^ สามารถขอตำแหน่ง ชำนาญการ เชี่ยวชาญได้เช่นเดียวกันเพราะงานวิจัยสายสนับสนุนก็จะระดับสารนิพนธ์ของปริญญาโท ซึ่งถ้าเรียนป.โทใบที่ 2 วิทยานิพนธ์ 2 เล่มที่ทำนี้ก็น่าจะทำให้ผมทำงานวิจัยของที่ทำงานได้ไม่ยาก

อนาคต
- ทำงานประจำอยู่ที่เดิมผมก็มีความยินดีครับและยังสนุกกับงานเดิมนี้อยู่ แม้ผมจะไม่ได้เป็นอาจารย์แต่รู้สึกทุกคนก็ให้ความร่วมมือกับผมทุกงานนะ ทั้งผมขอให้มาประชุม ขอให้มาร่วมเข้าอบรมให้ความรู้ ขอข้อเสนอแนะหรือผมแนะนำอะไรต่างๆไป รู้สึกได้รับการยอมรับจากการทำงานทั้งระดับผู้บริหาร อาจารย์ พี่ๆเพื่อนในสำนักงาน หากจบออกมาก็ยังอยากทำงานอยู่ในตำแหน่งเดิมนี้อยู่ เพราะรู้สึกชอบได้เป็นเบื้องหลังให้กับคณะ แต่ความชำนาญและหลากลหายของผมยังคิดว่ายังไม่ครบพอสำหรับตำแหน่งงานนี้ ที่จะก้าวสู่การเป็นผู้ชำนาญการพิเศษในอนาคต ที่คาดไว้ประมาณอีก 3 ปี (เพราะผมต้องทำวิจัยในสายงานอีก 2 เรื่อง ตอนนี้ทำไปแล้ว 1 เรื่อง)

- ทำงานพิเศษในช่วงหลังเวลาราชการ เช่น การเป็นอาจารย์พิเศษให้กับโรงเรียน/วิทยาลัยด้านพาณิชย์/อาชีวะต่างๆที่มีวิชาเรียนด้านบริหาร (จบป.โท2 ใบ หรือป.เอกก็พอที่น่าจะได้รับการพิจารณาหากมีประสบการณ์และชำนาญเพียงพอ) โดยปัจจุบันก็ทำอยู่เป็นอาจารย์พิเศษในวิทยาลัยเล็กๆแถวบ้าน ให้ความรู้นักศึกษานอกเวลา ซึ่งบางคนก็อาวุโสกว่าผมอีก ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไป สอนเป็นเสริมรายวิชาบริหาร เศรษฐกิจเบืองต้นเป็นเทอมๆก็สนุกดีครับ (แต่อาจารย์มหาวิทยาลัย ผมยังคิดว่าความสามารถผมยังไม่สูงพอครับ)

- งานเสริมจากสายงาน เช่น งานด้านการตรวจประเมินคุณภาพการศึกษา แต่ต้องอายุ 30 ก่อน ขณะนี้ผมยังอายุ 25 อยู่ครับ  / งานตรวจประเมินเบื้องต้น หรือเปลี่ยนสายงานจากคนทำแผนมาเป็นคนตรวจสอบองค์กรแทน เพราะเป็นที่ต้องการของมหาวิทยาลัยมาก ณ ตอนนี้

- งานโลกสวย เนื่องจากผมเป็นสายผสมผสานระหว่างนักเศรษฐศาสตร์+นักการศึกษา ผมก็อยากจะเอาความรู้พอจะมีอยู่บ้างไปแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ เช่น ให้ความรู้กับผู้ประกอบการใหม่ๆตามชมรมฝึกอาชีพในชุมชน สอนเขาทำแผนธุรกิจ ชวนเพื่อนๆไปหาไอเดียให้กับพ่อค้าแม่ค้าผู้ประกอบการ เหมือนเป็นที่ปรึกษาให้กับเขา เพราะผมโตมากับแม่ค้า "คุณแม่ของผมเอง" เลยอยากจะให้ความรู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสายอาชีพอื่นๆหรือคนรุ่นใหม่ ก็น่าจะเป็นความสุขอีกแบบในชีวิต  ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กับสังคม ไอดอลผมหลายคนเป็นพวกที่มีวุฒิโทหลายใบแต่เรียนหลายสาขาวิชา

ทั้งหมดทั้งพิมพ์มานี้จึงอยากให้เพื่อนๆพี่ใน Pantip ช่วยแนะนำนิดนึงครับว่าคนอยากผม ที่มีทัศนคติ มีความรู้ ความสามารถระดับผม แบบนี้น่าจะเรียนต่ออะไรดีครับ ระหว่างมุ่งไปสายแบบสุดโต่งแบบปริญญาเอก หรือ มุ่งข้ามแยกสายไปแบบปริญญาโทสาขาใหม่ รบกวนขอคำแนะนำด้วยนะครับ ผมชั่งใจไม่ถูกจริงๆแถมอาจารย์ 2 หลักสูตรก็โทรมาเชิญชวน ชวนคุยกับผมตลอดเพื่อไม่อยากให้เปลี่ยนใจ เลยขอคำแนะนำมา ณ โอกาสนี้ด้วย จักเป็นพระคุณยิ่งครับ

แรกๆหลังเรียนจบโทใหม่ๆผมก็คิดนะครับว่าต้องต่อเป็น ดร. ให้ได้ ให้ดูดีเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล เป็นป.เอกที่ทำงานสนับสนุนของมหาวิทยาลัย แต่พอได้มาทำงานแล้วมันก็ได้ทัศนคติอีกแบบหนึ่งจริงๆ ผมไม่ค่อยมีที่ปรึกษามากนักเพราะจะปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาป.โทท่านก็แนะให้เรียนเอกเลย/แม่ของผมก็ยังไงก็ได้แล้วแต่ลูก แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว/เพื่อนๆก็จะพูดว่าเรียนไปทำไมพอได้แล้ว จบป.ตรีก็หาเงินได้แล้ว มันจะได้คำตอบแบบนี้ทุกที ผมเลยอยากขอคำแนะนำจากมุมมองพี่ๆหลากหลายงานหลากหลายอาชีพ ด้วยครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ผมรู้ว่าคุณมีคำตอบในใจแล้ว แค่เพียงขาดความมั่นใจเท่านั้น ถ้าคิดได้ขนาดนี้แล้ว ท่านไม่น่าพลาดแล้วหล่ะ แต่เข้าใจว่า ท่านอาจจะเขียนขึ้นมาเพื่อแชร์และเป็นวิทยาทานแก่ผู้เข้ามาอ่าน ดังนั้น ผมไม่แสดงออกความคิดเห็น แต่ขอขอบคุณที่ให้แนวการคิดดีๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่