...
หลังจากเข้ามาส่องดูห้องโน้นห้องนี้บ่อยๆ และเห็นว่าทริปนี้เป็นทริปที่น่าสนใจสำหรับใครหลายๆคน ก็เลยมาทำรีวิวให้เพื่อนๆได้ดูกัน เผื่อว่าจะไปสะกิดต่อมความอยากของใครบ้าง อิๆ นี่จึงเป็นกระทู้แรกที่ จขกท มารีวิวค่ะ ผิดพลาดประการใดรบกวนชี้แนะมือใหม่หัดรีวิวด้วยนะคะ >,<
ทิเบตเป็นเมืองที่เรากะเมท(สมัย.ตรี)เคยพูดกันว่าจะไป อยากไปมากๆ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นทิเบตมีปัญหาหลายๆอย่าง เราเองก็ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ก็เลยพับทิเบตออกไปจากโปรแกรมเที่ยวมาโดยตลอด จนกระทั่งปีที่แล้ว เพื่อนคนจีนส่งรูปมาอวดเรา(จขกท เรียนอยู่ที่จีนค่ะ) เราก็แบบ เฮ้ยยยย สวยยยย นี่แกนั่งรถไฟไปด้วยรึ!!!? ต่อมความอยากกระตุกขึ้นมาทันที เริ่มหาคนไปด้วย หาข้อมูลบนเน็ต pantip(ซึ่งพบว่ามีคนไปหลายอยู่) และถามๆเพื่อนเอาด้วย ซึ่งเพื่อนบอกว่า ให้รอไปปีหน้าเถอะ (2014) นี่ก็จะปิดเทอมแล้ว อากาศก็ร้อน ปีหน้าน่าจะเหมาะกว่า เราก็โอเคๆปีหน้าก็ได้ จะได้มีเวลาเตรียมตัว และหาเพื่อนไปด้วยได้สบายๆหน่อย
และแล้วเราก็หาเพื่อนไปด้วยได้(แต่เมทเรานางไม่ว่างเลยอด) และตัดสินใจไปแบบปุ๊บปั๊บกันเลยทีเดียว ทีแรกจะไปช่วงมิถุนา แต่พี่ที่ไปด้วยอาจจะติดสอบปลายภาค เอาวะ ปลายเมษานี่แหล่ะ อากาศกำลังดี(นั่งรถไฟยาวๆตัวจะได้ไม่เน่าด้วย) ว่าแล้วก็คอนเฟิร์มกับบริษัททัวร์ที่เพื่อนของเพื่อนคนจีนเราทำงานอยู่ ตกลงซื้อ 6 days trip แบบกรุ๊ปทัวร์ช่วงปลายเมษา ,, จริงๆเราอยากไป EBC ด้วย ซึ่งปกติแล้วจะเป็น 8 days trip แต่พี่ที่ไปด้วยกันบอกว่าไม่อิน และเค้าต้องโดดเรียนหลายวัน เราก็เลยหาทริปที่ไม่ต้องไป EBC แต่ก็ไม่ได้เที่ยวเฉพาะใน Lhasa เท่านั้น ซึ่งบริษัทที่เพื่อนของเพื่อนเราทำงานอยู่มี 6 days trip และดูโปรแกรมแล้วก็น่าสนใจดี ไม่ได้มีแต่วัดเท่านั้น เราจึงตัดสินใจซื้อทัวร์กับบริษัทนี้แบบไม่ลังเล (บริษัทอื่นที่เราเช็คดูเหมือนจะมี 4 days trip เที่ยวเฉพาะใน Lhasa แล้วกระโดดไปเป็น 8 days trip เลย และปกติเวลาเราเที่ยวในจีนเราจะเที่ยวเอง ไม่ซื้อทัวร์เด็ดขาด แต่งานนี้รู้สึกว่ามีหลายๆสิ่งที่เราเข้าไม่ถึงและทำเองไม่ได้ เลยซื้อทัวร์ดีกว่า) โปรแกรมทัวร์ของเราคือ "6 days Lhasa Gyantse Shigatse ancient city tour"
Day1: Arrival Lhasa
Day2: Potala palace, Jokhang monastery, Barkhor street (in Lhasa)
Day3: Drepung monastery, Sera monastery (in Lhasa)
Day4: Yamdrok lake, Karola glacier, Gyantse Kumbum (Lhasa to Gyantse to Shigatse) *overnight at Shigatse
Day5: Tashi Lhunpo monastery (Shigatse to Lhasa) *overnight at Lhasa
Day6: Departure Lhasa
บริษัทนี้ชื่อ "Tibet travel operator" สามารถเข้าไปหาข้อมูลในเวปไซด์ (
http://www.tibettraveloperator.com/) ได้นะคะ เค้าจัดทั้ง private tour และเป็นกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งราคาของ private tour ก็จะแพงกว่าหลายอยู่ คนรวยอย่างเราก็ต้องซื้อเป็นกรุ๊ปทัวร์สิ 555 แต่..เดี๋ยวก่อน!!! ก่อนเดินทางไม่กี่วัน เพื่อนของเพื่อนเราก็โทรมาบอกว่าจำนวนคนในกรุ๊ปเยอะเกินจำนวน(กรุ๊ปนึงไม่เกิน 12 คน และกรุ๊ปคนจีน กับ ต่างชาติต้องแยกกัน เพราะฉะนั้นสบายใจได้ค่ะ เราไม่ต้องร่วมขบวนกะคนจีนแน่นอน) เค้าจึงจับเราสามคนแยกออกมาเป็น private group ใช่รถตู้ 7 ที่นั่งเที่ยวกันสามคนสบายใจไป อิๆ
** ถ้าส่งเมลล์ไปสอบถามข้อมูล คนตอบเมลล์น่าจะเป็น Peter Kwan นะคะ คนนี่แหล่ะที่เป็นเพื่อนของเพื่อนเรา ลองบอกๆเค้าดูว่าเพื่อนคนไทยแนะนำมา เผื่อเค้าจะให้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง อิๆ
หลังจากตกลงกันได้แล้วว่าจะไปวันไหน ไปกี่วัน คราวนี้ก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปยังไง กลับยังไง ของเราตัดสินใจว่าจะไปรถไฟ เพราะแรงยังแน่น นั่งชิลไปเรื่อยๆกับวิวสวยๆตลอดทาง และค่อยบินกลับ เพราะคงเหนื่อยและอยากถึงบ้านไวๆ ,, การเดินทางโดยรถไฟไปทิเบตสามารถเดินทางได้จากหลายเมืองมากๆค่ะ ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับระยะทางจากเมืองที่ขึ้น โดยในแต่ละวันมีรถไฟเข้า Lhasa ทั้งหมด 7 เที่ยว เราแปลมาให้คร่าวๆตามตารางด้านล่างนะคะ โดยรถแต่ละเที่ยวก็จะผ่านเมืองต่างๆในเวลาต่างๆกันออกไปค่ะ สามารถเช็ครายละเอียดได้อีกทีจากเว็ป www.huoche.com ค่ะ
พวกเราที่เรียนอยู่ที่จีนอยู่แล้วก็จะจองตั๋วและเดินทางสะดวกหน่อย สองปัจจัยหลักที่เรานำมาพิจารณาเลือกว่าจะขึ้นรถไฟที่เมืองไหนดีคือ 1.ระยะเวลาบนรถไฟ และ 2.ราคาตั๋วเครื่องบินจากเมืองที่เราอยู่ไปถึงเมืองที่ขึ้นรถไฟ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า Lanzhou เวิร์คสุด ค่าตั๋วเครื่องไม่แพงมาก และนั่งรถไฟอีก 26 ชม.ก็ถึง Lhasa ทั้งสองอย่างกะลังดี ร่างกายรับได้ กำลังทรัพย์รับไหว 555 ,, เราเลือกรถเที่ยว T265 เพราะขบวนนี้จะออกจาก Lanzhou ตอน 16:53 เราสามารถใช้เวลาช่วงเช้าถึงช่วงบ่ายไปกับการเดินทางจากเมืองที่เราอยู่ไปที่นั่นได้แบบไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องกลัวตกรถ ,, เราให้บริษัททัวร์หาตั๋วรถไฟให้ก่อนเป็นอันดับแรก (เพราะถ้าหาตั๋วรถไฟไม่ได้ แต่ซื้อตั๋วเครื่องบินไปแล้วชั้นก็แย่สิ) โดยทางบริษัทก็จะติดต่อไปทางเอเจนซี่ตั๋วรถไฟอีกทีนึง เค้าจะขอไฟล์สแกนพาสปอร์ตเราไปเพื่อซื้อตั๋วผ่านเน็ตให้ โดยระบบจะเปิดให้ซื้อล่วงหน้าได้ 20 วัน เราลุ้นขั้นตอนนี้มากๆ เพราะตั๋วเปิดขายแค่แป๊บบบบบบเดียวก็หมดแล้ว และระบบก็จะ random ที่นั่งให้เราด้วย เพราะฉะนั้นจองก่อนได้ก่อน และมีสิทธิ์ได้ที่นั่งติดกันมากกว่า .. หัวใจจะวายตั้งแต่ยังไม่ขึ้นทิเบต --"
สรุปว่าเราได้เป็นเตียงนอนแบบ hard sleep 3 ที่ติดกัน คือ เตียงหมายเลข 10 ล่าง กลาง บน นอนกันเป็นขนมชั้นน่ารักๆ ,, โดยแต่ละห้องจะมี 6 เตียง ล่าง 2 กลาง 2 และบน 2 เราสามคนจึงยึดพื้นที่ฝั่งนึงไปทั้งหมด อิๆ (ถ้าเป็นแบบ Soft sleep ห้องนึงจะมี 4 เตียง และมีประตูปิดห้องด้วย) หน้าห้องก็จะเป็นทางเดินและมีเก้าอี้ให้นั่งกะโต๊ะเล็กๆตรงขอบหน้าต่าง พวกเราชาวรถไฟก็จะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมานั่งชมวิว ที่โชคดีสุดๆคือ ปลั๊กไฟอยู่ตรงหน้าห้องเราพอดี เปรม smart phone สิคับงานนี้ ^0^ แต่เรื่องห้องน้ำบนรถไฟก็ต้องทำใจนะคะ เพราะมีบางช่วงที่ระบบเอ๋อ น้ำไหลช้าบ้าง ไม่ไหลบ้าง และคนจีนเค้าก็ไม่ค่อยรักษาความสะอาดเท่าไหร่ ทำใจ(อั้นไว้)สถานเดียวค่ะ ,, ส่วนราคาตั๋วรถไฟนั้นจริงๆแล้วอยู่ที่ 550(ล่าง) 535(กลาง) และ 522(บน) แต่เอเจนซี่เก็บเราใบละ 700 หยวนเท่ากันทั้งหมด เค้าบอกว่าเป็นค่าดำเนินการ(ตบตีแย่งชิงตั๋วมาให้เรา) .. ใช่สิ ชั้นซื้อเองไม่ได้นิ ยอมมมมม~
หลังจากซื้อตั๋วรถไฟเรียบแล้ว ทางบริษัทจะยังไม่ให้รหัสซื้อตั๋วออนไลน์เรามาก่อนนะคะ เราจะต้องจ่ายเงินมัดจำให้เค้าก่อน เค้าถึงจะให้รหัสเรามาอีกที (รู้สึกว่าโดยปกติแล้วเราจะต้องโอนเงินมัดจำให้เค้าก่อนนะคะ เค้าถึงจะซื้อตั๋วให้ แต่เค้าบอกว่าเราเป็นเพื่อนของเพื่อนเค้า เค้าเลยซื้อให้ก่อน หุหุ) แล้วเราก็ต้องนำพาสปอร์ตไปขึ้นตั๋วที่สถานีรถไฟค่ะ โดยสามารถนำรหัสซื้อตั๋วออนไลน์และพาสปอร์ตไปขึ้นตั๋วที่สถานีไหนในจีนก็ได้ค่ะ แต่ต้องจ่ายค่าดำเนินการ 5 หยวนต่อตั๋ว 1 ใบ ยกเว้นขึ้นตั๋วที่สถานีที่เราขึ้นรถไฟ ไม่ต้องจ่ายค่ะ แต่เรากลัวเวลาจะกระชั้นชิด ยอมจ่ายคนละ 5 หยวนดีกว่า ตั๋วอยู่ในเป๋าอุ่นใจดี
ทีนี้มันมีอุปสรรคเกิดขึ้นนิดหน่อยสำหรับเพื่อนๆที่จะเดินทางจากเมืองไทย คือ ก่อนที่จะนำพาสปอร์ตไปขึ้นตั๋วที่ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตได้นั้น จะต้องนำพาสปอร์ตไปตรวจสอบและพิสูจน์ที่สถานีรถไฟก่อน จริงๆแล้วก็เป็นแค่การนำพาสปอร์ตไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สถานี และเค้าก็จะกรอกข้อมูลของเราเข้าระบบเหมือนการลงทะเบียนเปิดใช้บริการ มันจึงสามารถยืนยันและระบุตัวบุคคลที่ขึ้นรถไฟได้ บนตั๋วรถไฟทุกใบก็จะมีชื่อผู้โดยสารอยู่ ยุ่งยากแต่สบายใจค่ะ ,, ดังนั้น หากเพื่อนๆคนไหนอยากนั่งรถไฟแบบเราก็อาจจะต้องเผื่อเวลาช่วงก่อนรถไฟออกเยอะนิดนึง เพื่อจัดการกับขั้นตอนนี้และไปขึ้นตั๋วค่ะ เราแนะนำว่าซัก 2 ชม.นะคะ เผื่อหาช่องดำเนินการไม่เจอและเผื่อคนเยอะค่ะ หรือไม่ก็ค่อยนั่งขากลับ เพราะเรามีเวลาใน Lhasa หลายวันที่จะจัดการกับตั๋วรถไฟให้เรียบร้อยก่อนค่ะ
ป.ล. กฏการยืนยันพาสปอร์ตนี้เพิ่งเริ่มอย่างจริงจังไปเมื่อช่วงต้นเดือนมีนา 2014 นะคะ ใครที่ไปมาก่อนหน้าก็สบายไปค่ะ ( - - ;)
= โฉมหน้าตั๋วรถไฟค่ะ ,, Lanzhou – Lhasa ตู้ 12 เตียง 10 บน =
หลังจากซื้อตั๋วรถไฟแล้วเราก็มาซื้อตั๋วเครื่องบินกันค่ะ เรากะพี่ๆอยู่เมือง Xiamen(ตรงข้ามกะไต้หวันค่ะ) เราจองตั๋วบินสายการบิน Hainan airline จาก Xiamen ไป Lanzhou ค่ะ โดยเที่ยวบินนี้มี 1 stop ที่ Changsha ส่วนขากลับเป็น Lhasa to Chongqing แล้วก็ Chongqing to Xiamen ค่ะ ค่าตั๋วเครื่องบิน 3 เที่ยว+ค่าตั๋วรถไฟ 700 หยวน รวมแล้ว 3500 หยวนนิดๆค่ะ ซี๊ดดดดด.... ปาดเหงื่อ (>_<;)
ในส่วนของทัวร์นั้น ของเราเป็น 6 days trip โดยวันแรกและวันสุดท้ายเค้าจะนับเป็นวันเดินทางของเรานะคะ ไกด์จะไปรับและไปส่งที่สถานีรถไฟหรือสนามบิน ถ้าไปถึงเร็วหรือกลับช้าก็หาที่เดินเที่ยวแถวๆนั้นเองได้ค่ะ แต่พวกเราชอบความรวดเร็วค่ะ เราเห็นว่า day 5 นั้นไปชมวัดแค่วัดเดียวในช่วงเช้า ช่วงบ่ายตีรถกลับไป Lhasa เราไม่อยากค้างที่ Lhasa แล้ว จึงจะขอกลับในคืนนั้นเลย ซึ่งตั๋วเครื่องบินค่อนข้างถูกด้วย อิชั้นเลยซื้อตั๋วกลับ Chongqing ในคืนนั้นเลย นอนสนามบินเอา และบินต่อ Xiamen ในตอนเช้าวันต่อมา เค้าก็ลดค่าทัวร์ในส่วนของโรงแรมไปให้อีกนิดหน่อย เริ่ดดดฮะ ประหยัดทั้งเวลาและตังค์ อิๆ
เมื่อเส้นทางการเดินทางของเราตกลงชัดเจนแล้ว ทางบริษัทก็จะดำเนินการทำ Permit ให้เราค่ะ (ค่าใช่จ่ายรวมอยู่ในค่าทัวร์แล้วค่ะ) เค้าจะให้เราสแกนพาสปอร์ตและวีซ่าเข้าจีนให้เค้าเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอ permit ค่ะ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะขอ permit ได้ เพื่อนๆก็ต้องขอวีซ่าเข้าจีนให้เรียบร้อยก่อนนะคะ (ของเราข้ามขั้นตอนนี้ไป อิๆ) การทำ permit นั้นจะต้องใช้เวลาในการยื่นเอกสารไปประมาณ 10 วันค่ะ บน Permit ก็จะระบุจำนวนคน ชื่อนักท่องเที่ยว วันที่เดินทางทั้งไปและกลับ เข้ามาทางเมืองไหน จะกลับออกไปทางเมืองไหน และเมืองที่จะไปเที่ยวชมในทิเบตอย่างชัดเจนค่ะ (แทบจะกระดิกตัวไม่ได้ ไปทิเบตไม่กล้าซ่าเลยทีเดียว --") เมื่อเอกสารออกมาเรียบร้อยทางบริษัทก็จะสแกนส่งมาให้เราค่ะ เราก็ต้องปริ๊นท์ออกมาติดตัวไว้ นางสำคัญเสมือนพาสปอร์ตเพราะต้องใช้แสดงคู่กับตั๋วรถไฟหรือตั๋วเครื่องบินด้วยค่ะ ถ้าไม่มี permit ก็ขึ้นรถขึ้นเครื่องไม่ได้อยู่ดี ,, ไปทิเบตไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะคะ >_<
Part 2:
http://ppantip.com/topic/32016184
Part 3:
http://ppantip.com/topic/32017178
[CR] "ทิเบตตต" .. ไปเที่ยวกันมั๊ยยยยยย!? [Part 1]
หลังจากเข้ามาส่องดูห้องโน้นห้องนี้บ่อยๆ และเห็นว่าทริปนี้เป็นทริปที่น่าสนใจสำหรับใครหลายๆคน ก็เลยมาทำรีวิวให้เพื่อนๆได้ดูกัน เผื่อว่าจะไปสะกิดต่อมความอยากของใครบ้าง อิๆ นี่จึงเป็นกระทู้แรกที่ จขกท มารีวิวค่ะ ผิดพลาดประการใดรบกวนชี้แนะมือใหม่หัดรีวิวด้วยนะคะ >,<
ทิเบตเป็นเมืองที่เรากะเมท(สมัย.ตรี)เคยพูดกันว่าจะไป อยากไปมากๆ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นทิเบตมีปัญหาหลายๆอย่าง เราเองก็ไม่มีเงิน ไม่มีเวลา ก็เลยพับทิเบตออกไปจากโปรแกรมเที่ยวมาโดยตลอด จนกระทั่งปีที่แล้ว เพื่อนคนจีนส่งรูปมาอวดเรา(จขกท เรียนอยู่ที่จีนค่ะ) เราก็แบบ เฮ้ยยยย สวยยยย นี่แกนั่งรถไฟไปด้วยรึ!!!? ต่อมความอยากกระตุกขึ้นมาทันที เริ่มหาคนไปด้วย หาข้อมูลบนเน็ต pantip(ซึ่งพบว่ามีคนไปหลายอยู่) และถามๆเพื่อนเอาด้วย ซึ่งเพื่อนบอกว่า ให้รอไปปีหน้าเถอะ (2014) นี่ก็จะปิดเทอมแล้ว อากาศก็ร้อน ปีหน้าน่าจะเหมาะกว่า เราก็โอเคๆปีหน้าก็ได้ จะได้มีเวลาเตรียมตัว และหาเพื่อนไปด้วยได้สบายๆหน่อย
และแล้วเราก็หาเพื่อนไปด้วยได้(แต่เมทเรานางไม่ว่างเลยอด) และตัดสินใจไปแบบปุ๊บปั๊บกันเลยทีเดียว ทีแรกจะไปช่วงมิถุนา แต่พี่ที่ไปด้วยอาจจะติดสอบปลายภาค เอาวะ ปลายเมษานี่แหล่ะ อากาศกำลังดี(นั่งรถไฟยาวๆตัวจะได้ไม่เน่าด้วย) ว่าแล้วก็คอนเฟิร์มกับบริษัททัวร์ที่เพื่อนของเพื่อนคนจีนเราทำงานอยู่ ตกลงซื้อ 6 days trip แบบกรุ๊ปทัวร์ช่วงปลายเมษา ,, จริงๆเราอยากไป EBC ด้วย ซึ่งปกติแล้วจะเป็น 8 days trip แต่พี่ที่ไปด้วยกันบอกว่าไม่อิน และเค้าต้องโดดเรียนหลายวัน เราก็เลยหาทริปที่ไม่ต้องไป EBC แต่ก็ไม่ได้เที่ยวเฉพาะใน Lhasa เท่านั้น ซึ่งบริษัทที่เพื่อนของเพื่อนเราทำงานอยู่มี 6 days trip และดูโปรแกรมแล้วก็น่าสนใจดี ไม่ได้มีแต่วัดเท่านั้น เราจึงตัดสินใจซื้อทัวร์กับบริษัทนี้แบบไม่ลังเล (บริษัทอื่นที่เราเช็คดูเหมือนจะมี 4 days trip เที่ยวเฉพาะใน Lhasa แล้วกระโดดไปเป็น 8 days trip เลย และปกติเวลาเราเที่ยวในจีนเราจะเที่ยวเอง ไม่ซื้อทัวร์เด็ดขาด แต่งานนี้รู้สึกว่ามีหลายๆสิ่งที่เราเข้าไม่ถึงและทำเองไม่ได้ เลยซื้อทัวร์ดีกว่า) โปรแกรมทัวร์ของเราคือ "6 days Lhasa Gyantse Shigatse ancient city tour"
Day1: Arrival Lhasa
Day2: Potala palace, Jokhang monastery, Barkhor street (in Lhasa)
Day3: Drepung monastery, Sera monastery (in Lhasa)
Day4: Yamdrok lake, Karola glacier, Gyantse Kumbum (Lhasa to Gyantse to Shigatse) *overnight at Shigatse
Day5: Tashi Lhunpo monastery (Shigatse to Lhasa) *overnight at Lhasa
Day6: Departure Lhasa
บริษัทนี้ชื่อ "Tibet travel operator" สามารถเข้าไปหาข้อมูลในเวปไซด์ (http://www.tibettraveloperator.com/) ได้นะคะ เค้าจัดทั้ง private tour และเป็นกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งราคาของ private tour ก็จะแพงกว่าหลายอยู่ คนรวยอย่างเราก็ต้องซื้อเป็นกรุ๊ปทัวร์สิ 555 แต่..เดี๋ยวก่อน!!! ก่อนเดินทางไม่กี่วัน เพื่อนของเพื่อนเราก็โทรมาบอกว่าจำนวนคนในกรุ๊ปเยอะเกินจำนวน(กรุ๊ปนึงไม่เกิน 12 คน และกรุ๊ปคนจีน กับ ต่างชาติต้องแยกกัน เพราะฉะนั้นสบายใจได้ค่ะ เราไม่ต้องร่วมขบวนกะคนจีนแน่นอน) เค้าจึงจับเราสามคนแยกออกมาเป็น private group ใช่รถตู้ 7 ที่นั่งเที่ยวกันสามคนสบายใจไป อิๆ
** ถ้าส่งเมลล์ไปสอบถามข้อมูล คนตอบเมลล์น่าจะเป็น Peter Kwan นะคะ คนนี่แหล่ะที่เป็นเพื่อนของเพื่อนเรา ลองบอกๆเค้าดูว่าเพื่อนคนไทยแนะนำมา เผื่อเค้าจะให้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง อิๆ
หลังจากตกลงกันได้แล้วว่าจะไปวันไหน ไปกี่วัน คราวนี้ก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปยังไง กลับยังไง ของเราตัดสินใจว่าจะไปรถไฟ เพราะแรงยังแน่น นั่งชิลไปเรื่อยๆกับวิวสวยๆตลอดทาง และค่อยบินกลับ เพราะคงเหนื่อยและอยากถึงบ้านไวๆ ,, การเดินทางโดยรถไฟไปทิเบตสามารถเดินทางได้จากหลายเมืองมากๆค่ะ ระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับระยะทางจากเมืองที่ขึ้น โดยในแต่ละวันมีรถไฟเข้า Lhasa ทั้งหมด 7 เที่ยว เราแปลมาให้คร่าวๆตามตารางด้านล่างนะคะ โดยรถแต่ละเที่ยวก็จะผ่านเมืองต่างๆในเวลาต่างๆกันออกไปค่ะ สามารถเช็ครายละเอียดได้อีกทีจากเว็ป www.huoche.com ค่ะ
พวกเราที่เรียนอยู่ที่จีนอยู่แล้วก็จะจองตั๋วและเดินทางสะดวกหน่อย สองปัจจัยหลักที่เรานำมาพิจารณาเลือกว่าจะขึ้นรถไฟที่เมืองไหนดีคือ 1.ระยะเวลาบนรถไฟ และ 2.ราคาตั๋วเครื่องบินจากเมืองที่เราอยู่ไปถึงเมืองที่ขึ้นรถไฟ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า Lanzhou เวิร์คสุด ค่าตั๋วเครื่องไม่แพงมาก และนั่งรถไฟอีก 26 ชม.ก็ถึง Lhasa ทั้งสองอย่างกะลังดี ร่างกายรับได้ กำลังทรัพย์รับไหว 555 ,, เราเลือกรถเที่ยว T265 เพราะขบวนนี้จะออกจาก Lanzhou ตอน 16:53 เราสามารถใช้เวลาช่วงเช้าถึงช่วงบ่ายไปกับการเดินทางจากเมืองที่เราอยู่ไปที่นั่นได้แบบไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องกลัวตกรถ ,, เราให้บริษัททัวร์หาตั๋วรถไฟให้ก่อนเป็นอันดับแรก (เพราะถ้าหาตั๋วรถไฟไม่ได้ แต่ซื้อตั๋วเครื่องบินไปแล้วชั้นก็แย่สิ) โดยทางบริษัทก็จะติดต่อไปทางเอเจนซี่ตั๋วรถไฟอีกทีนึง เค้าจะขอไฟล์สแกนพาสปอร์ตเราไปเพื่อซื้อตั๋วผ่านเน็ตให้ โดยระบบจะเปิดให้ซื้อล่วงหน้าได้ 20 วัน เราลุ้นขั้นตอนนี้มากๆ เพราะตั๋วเปิดขายแค่แป๊บบบบบบเดียวก็หมดแล้ว และระบบก็จะ random ที่นั่งให้เราด้วย เพราะฉะนั้นจองก่อนได้ก่อน และมีสิทธิ์ได้ที่นั่งติดกันมากกว่า .. หัวใจจะวายตั้งแต่ยังไม่ขึ้นทิเบต --"
สรุปว่าเราได้เป็นเตียงนอนแบบ hard sleep 3 ที่ติดกัน คือ เตียงหมายเลข 10 ล่าง กลาง บน นอนกันเป็นขนมชั้นน่ารักๆ ,, โดยแต่ละห้องจะมี 6 เตียง ล่าง 2 กลาง 2 และบน 2 เราสามคนจึงยึดพื้นที่ฝั่งนึงไปทั้งหมด อิๆ (ถ้าเป็นแบบ Soft sleep ห้องนึงจะมี 4 เตียง และมีประตูปิดห้องด้วย) หน้าห้องก็จะเป็นทางเดินและมีเก้าอี้ให้นั่งกะโต๊ะเล็กๆตรงขอบหน้าต่าง พวกเราชาวรถไฟก็จะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมานั่งชมวิว ที่โชคดีสุดๆคือ ปลั๊กไฟอยู่ตรงหน้าห้องเราพอดี เปรม smart phone สิคับงานนี้ ^0^ แต่เรื่องห้องน้ำบนรถไฟก็ต้องทำใจนะคะ เพราะมีบางช่วงที่ระบบเอ๋อ น้ำไหลช้าบ้าง ไม่ไหลบ้าง และคนจีนเค้าก็ไม่ค่อยรักษาความสะอาดเท่าไหร่ ทำใจ(อั้นไว้)สถานเดียวค่ะ ,, ส่วนราคาตั๋วรถไฟนั้นจริงๆแล้วอยู่ที่ 550(ล่าง) 535(กลาง) และ 522(บน) แต่เอเจนซี่เก็บเราใบละ 700 หยวนเท่ากันทั้งหมด เค้าบอกว่าเป็นค่าดำเนินการ(ตบตีแย่งชิงตั๋วมาให้เรา) .. ใช่สิ ชั้นซื้อเองไม่ได้นิ ยอมมมมม~
หลังจากซื้อตั๋วรถไฟเรียบแล้ว ทางบริษัทจะยังไม่ให้รหัสซื้อตั๋วออนไลน์เรามาก่อนนะคะ เราจะต้องจ่ายเงินมัดจำให้เค้าก่อน เค้าถึงจะให้รหัสเรามาอีกที (รู้สึกว่าโดยปกติแล้วเราจะต้องโอนเงินมัดจำให้เค้าก่อนนะคะ เค้าถึงจะซื้อตั๋วให้ แต่เค้าบอกว่าเราเป็นเพื่อนของเพื่อนเค้า เค้าเลยซื้อให้ก่อน หุหุ) แล้วเราก็ต้องนำพาสปอร์ตไปขึ้นตั๋วที่สถานีรถไฟค่ะ โดยสามารถนำรหัสซื้อตั๋วออนไลน์และพาสปอร์ตไปขึ้นตั๋วที่สถานีไหนในจีนก็ได้ค่ะ แต่ต้องจ่ายค่าดำเนินการ 5 หยวนต่อตั๋ว 1 ใบ ยกเว้นขึ้นตั๋วที่สถานีที่เราขึ้นรถไฟ ไม่ต้องจ่ายค่ะ แต่เรากลัวเวลาจะกระชั้นชิด ยอมจ่ายคนละ 5 หยวนดีกว่า ตั๋วอยู่ในเป๋าอุ่นใจดี
ทีนี้มันมีอุปสรรคเกิดขึ้นนิดหน่อยสำหรับเพื่อนๆที่จะเดินทางจากเมืองไทย คือ ก่อนที่จะนำพาสปอร์ตไปขึ้นตั๋วที่ซื้อผ่านอินเตอร์เน็ตได้นั้น จะต้องนำพาสปอร์ตไปตรวจสอบและพิสูจน์ที่สถานีรถไฟก่อน จริงๆแล้วก็เป็นแค่การนำพาสปอร์ตไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สถานี และเค้าก็จะกรอกข้อมูลของเราเข้าระบบเหมือนการลงทะเบียนเปิดใช้บริการ มันจึงสามารถยืนยันและระบุตัวบุคคลที่ขึ้นรถไฟได้ บนตั๋วรถไฟทุกใบก็จะมีชื่อผู้โดยสารอยู่ ยุ่งยากแต่สบายใจค่ะ ,, ดังนั้น หากเพื่อนๆคนไหนอยากนั่งรถไฟแบบเราก็อาจจะต้องเผื่อเวลาช่วงก่อนรถไฟออกเยอะนิดนึง เพื่อจัดการกับขั้นตอนนี้และไปขึ้นตั๋วค่ะ เราแนะนำว่าซัก 2 ชม.นะคะ เผื่อหาช่องดำเนินการไม่เจอและเผื่อคนเยอะค่ะ หรือไม่ก็ค่อยนั่งขากลับ เพราะเรามีเวลาใน Lhasa หลายวันที่จะจัดการกับตั๋วรถไฟให้เรียบร้อยก่อนค่ะ
ป.ล. กฏการยืนยันพาสปอร์ตนี้เพิ่งเริ่มอย่างจริงจังไปเมื่อช่วงต้นเดือนมีนา 2014 นะคะ ใครที่ไปมาก่อนหน้าก็สบายไปค่ะ ( - - ;)
หลังจากซื้อตั๋วรถไฟแล้วเราก็มาซื้อตั๋วเครื่องบินกันค่ะ เรากะพี่ๆอยู่เมือง Xiamen(ตรงข้ามกะไต้หวันค่ะ) เราจองตั๋วบินสายการบิน Hainan airline จาก Xiamen ไป Lanzhou ค่ะ โดยเที่ยวบินนี้มี 1 stop ที่ Changsha ส่วนขากลับเป็น Lhasa to Chongqing แล้วก็ Chongqing to Xiamen ค่ะ ค่าตั๋วเครื่องบิน 3 เที่ยว+ค่าตั๋วรถไฟ 700 หยวน รวมแล้ว 3500 หยวนนิดๆค่ะ ซี๊ดดดดด.... ปาดเหงื่อ (>_<;)
ในส่วนของทัวร์นั้น ของเราเป็น 6 days trip โดยวันแรกและวันสุดท้ายเค้าจะนับเป็นวันเดินทางของเรานะคะ ไกด์จะไปรับและไปส่งที่สถานีรถไฟหรือสนามบิน ถ้าไปถึงเร็วหรือกลับช้าก็หาที่เดินเที่ยวแถวๆนั้นเองได้ค่ะ แต่พวกเราชอบความรวดเร็วค่ะ เราเห็นว่า day 5 นั้นไปชมวัดแค่วัดเดียวในช่วงเช้า ช่วงบ่ายตีรถกลับไป Lhasa เราไม่อยากค้างที่ Lhasa แล้ว จึงจะขอกลับในคืนนั้นเลย ซึ่งตั๋วเครื่องบินค่อนข้างถูกด้วย อิชั้นเลยซื้อตั๋วกลับ Chongqing ในคืนนั้นเลย นอนสนามบินเอา และบินต่อ Xiamen ในตอนเช้าวันต่อมา เค้าก็ลดค่าทัวร์ในส่วนของโรงแรมไปให้อีกนิดหน่อย เริ่ดดดฮะ ประหยัดทั้งเวลาและตังค์ อิๆ
เมื่อเส้นทางการเดินทางของเราตกลงชัดเจนแล้ว ทางบริษัทก็จะดำเนินการทำ Permit ให้เราค่ะ (ค่าใช่จ่ายรวมอยู่ในค่าทัวร์แล้วค่ะ) เค้าจะให้เราสแกนพาสปอร์ตและวีซ่าเข้าจีนให้เค้าเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอ permit ค่ะ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะขอ permit ได้ เพื่อนๆก็ต้องขอวีซ่าเข้าจีนให้เรียบร้อยก่อนนะคะ (ของเราข้ามขั้นตอนนี้ไป อิๆ) การทำ permit นั้นจะต้องใช้เวลาในการยื่นเอกสารไปประมาณ 10 วันค่ะ บน Permit ก็จะระบุจำนวนคน ชื่อนักท่องเที่ยว วันที่เดินทางทั้งไปและกลับ เข้ามาทางเมืองไหน จะกลับออกไปทางเมืองไหน และเมืองที่จะไปเที่ยวชมในทิเบตอย่างชัดเจนค่ะ (แทบจะกระดิกตัวไม่ได้ ไปทิเบตไม่กล้าซ่าเลยทีเดียว --") เมื่อเอกสารออกมาเรียบร้อยทางบริษัทก็จะสแกนส่งมาให้เราค่ะ เราก็ต้องปริ๊นท์ออกมาติดตัวไว้ นางสำคัญเสมือนพาสปอร์ตเพราะต้องใช้แสดงคู่กับตั๋วรถไฟหรือตั๋วเครื่องบินด้วยค่ะ ถ้าไม่มี permit ก็ขึ้นรถขึ้นเครื่องไม่ได้อยู่ดี ,, ไปทิเบตไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะคะ >_<
Part 2: http://ppantip.com/topic/32016184
Part 3: http://ppantip.com/topic/32017178