คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
จงเข้มงวดกับตนเอง แต่ผ่อนปรนกับผู้อื่น
สุภาษิตจีนเขียนไว้แบบนั้นครับ
ลองเอาไปปรับใช้ ถ้ายังเชื่อว่าการที่เราเป็นคนแข็งในหลักการนั้นมันดี ก็ให้มองที่ผลลัพธที่เกิดขึ้นในตอนนี้สิครับ ว่าในหลักการแบบนี้มันส่งผลอะไรกับชีวิตเราเองบ้าง เพื่อนๆไม่กล้าเข้าหาหรือเปล่า และอย่าหลอกตัวเองว่าคนอื่นเค้ามาตรฐานต่ำอย่างโน้นอย่างนี้ครับ คนเรามาจากต่างสังคม ต่างพื้นเพ ย่อมมีความแตกต่างอยู่แล้ว เดาว่า จขกท น่าจะเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำกลุ่มอยู่สูงซะด้วย
แล้วเหตุผลที่เรามีหลักการแบบที่ว่าก็ไม่มีใครเค้ามาพยามเข้าใจหรือสนใจเราหรอกครับ ว่าในอดีตเรา สังคมเรามีมารยาทแบบบไหนหรือจริงจังเรื่องเวลามากๆขนาดไหนมาก่อน
มีแต่เราเองที่ต้องสนใจว่าเราจะเป็นยังไงท่ามกลางสถานการณ์และสังคมที่เปลี่ยนไป
ถ้าคิดว่าจะเข้มงวดและยึดมั่นในหลักการ ก็จงทำกับตัวเองให้ดีแล้วคนอื่นๆที่เค้านิสัยดีพอ เค้าจะเริ่มเห็นและเริ่มรู้สึกเกรงใจเราครับ
การอลุ่มอล่วยนั้นก็ดีครับ แต่อย่าลืมว่าเราต้องรู้สึกไม่ตำหนิเค้าแม้แต่เพียงในใจครับ คนที่เราอลุ่มอล่วยให้เค้าเค้าจับ sense ถึงความไม่พอใจของเราผ่านสีหน้าและท่าทางเราได้ แม้เราจะพยามปกปิด หรือในกรณี จขกท อาจจะไม่ปกปิดความไม่พอใจเลย เพียงแค่ไม่ตำหนิเท่านั้น
แต่ก็เพียงพอที่จะให้เพื่อนๆนั้น "กลัว" ได้เหมือนกันครับ เปลี่ยนคำว่ากลัว เป็นคำว่า "เกรงใจ" ดีกว่าครับ
ทำตัวเราเป็นตัวอย่างให้เห็นครับ
สุภาษิตจีนเขียนไว้แบบนั้นครับ
ลองเอาไปปรับใช้ ถ้ายังเชื่อว่าการที่เราเป็นคนแข็งในหลักการนั้นมันดี ก็ให้มองที่ผลลัพธที่เกิดขึ้นในตอนนี้สิครับ ว่าในหลักการแบบนี้มันส่งผลอะไรกับชีวิตเราเองบ้าง เพื่อนๆไม่กล้าเข้าหาหรือเปล่า และอย่าหลอกตัวเองว่าคนอื่นเค้ามาตรฐานต่ำอย่างโน้นอย่างนี้ครับ คนเรามาจากต่างสังคม ต่างพื้นเพ ย่อมมีความแตกต่างอยู่แล้ว เดาว่า จขกท น่าจะเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำกลุ่มอยู่สูงซะด้วย
แล้วเหตุผลที่เรามีหลักการแบบที่ว่าก็ไม่มีใครเค้ามาพยามเข้าใจหรือสนใจเราหรอกครับ ว่าในอดีตเรา สังคมเรามีมารยาทแบบบไหนหรือจริงจังเรื่องเวลามากๆขนาดไหนมาก่อน
มีแต่เราเองที่ต้องสนใจว่าเราจะเป็นยังไงท่ามกลางสถานการณ์และสังคมที่เปลี่ยนไป
ถ้าคิดว่าจะเข้มงวดและยึดมั่นในหลักการ ก็จงทำกับตัวเองให้ดีแล้วคนอื่นๆที่เค้านิสัยดีพอ เค้าจะเริ่มเห็นและเริ่มรู้สึกเกรงใจเราครับ
การอลุ่มอล่วยนั้นก็ดีครับ แต่อย่าลืมว่าเราต้องรู้สึกไม่ตำหนิเค้าแม้แต่เพียงในใจครับ คนที่เราอลุ่มอล่วยให้เค้าเค้าจับ sense ถึงความไม่พอใจของเราผ่านสีหน้าและท่าทางเราได้ แม้เราจะพยามปกปิด หรือในกรณี จขกท อาจจะไม่ปกปิดความไม่พอใจเลย เพียงแค่ไม่ตำหนิเท่านั้น
แต่ก็เพียงพอที่จะให้เพื่อนๆนั้น "กลัว" ได้เหมือนกันครับ เปลี่ยนคำว่ากลัว เป็นคำว่า "เกรงใจ" ดีกว่าครับ
ทำตัวเราเป็นตัวอย่างให้เห็นครับ
แสดงความคิดเห็น
คนติดภาพลักษณ์เราจนไม่กล้าเข้าใกล้
จะหงุดหงิดมาก หากใครมาสาย ทั้งๆที่เตือนไปแล้ว
เรื่องทานอาหารใครกินเอาหน้าลงหรือยืนเพื่อตักอาหารก็ด้วย
เราจะรู้สึกขัดใจค่ะ ตอนเราเรียนประถมโรงเรียนเราเคร่งระเบียบมาก
เราเลยติดมา ที่แบบจะรู้สึกว่า เอ่อ ไม่มีมารยาทกันสักหน่อยเหรอ
เราอยู่ในกฏกติกาค่ะ เป็นนักเรียนแทบจะดีเด่น (เคยเกือบได้แต่ครูเห็นว่าเรายังป็นคนฮาๆและเป็นพวกเถื่อนมากไปในบางครั้ง)
ตอนอยู่ม.ปลาย จะมีเพื่อนมาสายบ่อยๆจนชินค่ะ เรื่องอาหารไม่มีปัญหาเขากินกันดี (เรียนหญิงล้วน)
แต่พอเข้ามหาลัย เหมือนว่านิสัยแบบนั้นจะทำคนกลัวเราอ่าค่ะ TT
มีหลายคนเรียกเราว่า นาซี ไม่ก็ฮิตเลอร์ เราชอบแบบพูดว่าต้องมาเวลาเท่านี้ๆ
เราเป็นคนกำหนดตลอดค่ะ กับตัวเองเราก็เคร่งครัด ถึงบางครั้งเราจะพลาดไป
แต่เราจะแก้ด้วยการตามไปแบบไวจนเพื่อนบอกจะตรงเกินไปแล้ว
แล้วเวลาเราหงุดหงิดหรือโกรธ เราจะพูดขู่ไปยิ้มไป ทุกคนบอกว่าแบบนั้นน่ะน่ากลัว
แล้วทีนี้พอเรียนมาปีนึง เราก็พยายามปรับตัวแล้วแบบอลุ่มอล่วย แต่เหมือนคนยังติดภาพลักษณ์นั้นอยู่
ทำเอาคนที่จะมาจับกลุ่มด้วยกันอะไรแบบนั้น ไม่กล้ายุ่งกับเรามากนักหรือไม่ก็ไม่กล้าจะสายเลยอ่ะ
ควรจะทำยังไงดีค่ะ หรือทำแบบอลุ่มอล่วยไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะรู้กันเองว่าเราเปิดใจมากขึ้น
เรารู้สึกไม่ดีเลย เรามีเพื่อนน้อยมากเลยถ้าเทียบกับตอนมัธยม ทั้งๆที่สังคมใหญ่ขึ้น