กระทู้ Part 1 และ 1.5 ตามลิงค์นี้นะครับ
http://ppantip.com/topic/31985827
http://ppantip.com/topic/31988937
...ความเดิมตอนที่แล้ว...
ลองมาทบทวนกันก่อน ไตรภาคก่อนหน้านั้นของสตาร์วอร์มีธีมกว้างๆอย่างไร?
ในไตรภาคแรก(1-2-3) เราได้เห็น ความมืดกลืนกันแสงสว่าง (Dark>Light) ซิธครองอำนาจ ภาคีเจไดแทบสิ้นสูญ
ในไตรภาคหลัง(4-5-6) เราได้เห็น แสงสว่างมีชัยเหนือความมืด (Dark<Light) ซิธสิ้นอำนาจ ภาคีเจไดจะถูกก่อตั้งใหม่อีกครั้ง
งั้น....ในไตรภาคสุดท้ายนี้ควรจะใช้ธีมอะไร? เราจะให้ความมืดกลืนกินแสงสว่างอีกงั้นเหรอ? ก็ไม่ได้ นั่นจะเป็นตอนจบที่หดหู่เกินไป งั้นเราจะให้ความมืดพยามกลืนกินแสงสว่าง...แต่สุดท้ายแสงสว่างก็เอาชนะได้รึเป่า? ก็คงได้...แต่แบบนั้นก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่
แต่จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้ามันมีจุดสมดุลที่ความมืดและแสงสว่างสามารถอยู่ร่วมกันได้ หยุดความขัดแย้งอย่างถาวร และนำสันติที่แท้จริงมาสู่กาแล็กซี่?
เรามาเจาะลึกรายละเอียดของไอเดียนี้กัน
ลองคิดดูว่าจะเป็นอย่างไรหากจักรวาลนี้
ไม่ได้ไร้ขอบเขต? เมื่อคุณเดินทางไปในอวกาศจนไกลพอ จะถึงจุดๆหนึ่งที่คุณจะชนกับ
กำแพง กำแพงบาเรียขนาดใหญ่ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นตัวขวางกันระหว่างจักรวาลของเรากับอีกเขตแดนหนึ่ง แล้วอะไรที่อยู่หลังกำแพงนั้น?
พลังดิบ บริสุทธิ์ และเป็นอนันต์ (Raw Pure Infinite Force Energy)
บาเรียนี้เปรียบเสมือนกำแพงเขื่อนที่กักเก็บมหาสมุทรแห่ง Force ไว้เบื้องหลัง และ
เจตจำนงค์แห่งพลังคือการที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาลจะพยามทำลายบาเรียนนี้ เพื่อให้โลกแห่งกายภาพและโลกแห่งพลังรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และจักรวาลจะก้าวสู่ขอบเขตใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
หลักการนี้จะถูกเปิดเผยทีละเล็กละน้อยตลอดช่วงเวลาหนังทั้ง 3 ภาค(7-8-9) และด้วยคอนเซปต์นี้จะทำให้เราสามารถเชื่อมโยงตอนจบไปยังเนื้อเรื่องของาค 1-6 ได้อย่างมีเหตุผล
***ผมรู้ว่านี่เป็นไอเดียที่ฟังบ๊องๆเหมือนพวกติงต๊องเรื่องจิตวิญญาณ และอาจจะดูน้ำเน่าตายซากไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าไตรภาคนี้ต้องเป็นจุดจบของหนัง 9 เรื่อง จะแค่ให้มีตัวร้ายโดนกระบี่แสงผ่าครึ่งหรือสถานีอวกาศระเบิดนั้นไม่เพียงพออีกแล้ว เราต้องใช้จุดจบที่ยิ่งใหญ่และอลังการมากกว่านั้น***
การอธิบายเนื้อหาว่าบาเรียนี้คืออะไร? มีไว้ทำไม? อะไรอยู่เบื้องหลังบาเรีย? จะต้องถูกบอกเล่าที่ละน้อยผ่านการดำเนินเรื่องของหนัง โดยอาจใช้เทคนิคดังนี้
ใน SW7 นั้น ฝ่ายซิธเชื่อว่าเบื้องหลังบาเรียคือที่กักเก็บ
พลังด้านมืดอันไร้ขีดจำกัด พวกเขาจึงต้องการจะเจาะทะลวงบาเรียนี้ เพื่อให้พลังมืดทะลักเข้ามาในจักรวาล หนังภาค 7 จะจบลงที่แผนของพวกซิธล้มเหลว
เพราะวิธีที่จะทำลายบาเรียได้นั้น ต้องใช้ทั้งพลังด้านมืดและด้านสว่างร่วมกัน
ประเด็นนี้จะนำไปสู่ข้อเท็จจริงอีกอย่างว่าตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา เหล่าผู้มีพลังสถิต(Force Sensitive)นั้นจะมีความต้องการลึกๆในจิตใจที่อยากขยายพรหมแดนของตนออกไปในอวกาศ แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน
ซิธ : ต้องการขยายจักรวรรดิและอำนาจของตนไปทุกหมู่ดาว
เจได : ต้องการเผยแพร่สันติภาพและความสงบสุขไปทุกที่ในจักรวาล
แต่ทั้ง 2 ฝ่ายล้วนมีความปราถนาเดียวกันที่จะเดินทางออกไปเรื่อยๆในอวกาศ ก็เพราะ Force ได้แฝงเจตจำนงค์ที่จะทำลายบาเรียนี้ไว้ในจิตใต้สำนึกของ Force Sensitive ทุกคน และด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างความมืดและแสงสว่างขึ้น
เมื่อสาธารณรัฐฝ่ายเจไดเริ่มเกียจคร้าน เล่นแต่การเมือง หยุดการขยายพรหมแดนไปในอวกาศ อำนาจก็จะถูกเปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายมืดของจักรวรรดิซิธที่เข้ายึดครอง แต่เมื่อจักรวรรดิหยุดขยายพรหมแดนเพราะต้องการแค่จะรักษาอำนาจไว้ อย่างการสร้างสถานีอวกาศ Death Star เพื่อกดขี่ผู้คนแทนที่จะออกสำรวจอวกาศ อำนาจนั้นก็พลิกกลับมาอยู่ฝ่ายแสงสว่างอีกครั้งในยุคของพวกลุค สกายวอล์คเกอร์ที่ก่อตั้งนิกายเจไดพร้อมสาธารณรัฐใหม่
ซึ่งในจุดเริ่มต้อนของ SW7 จะอยู่ในช่วงเวลาที่บาเรียถูกค้นพบแล้ว และหน้าที่ในการทำลายบาเรียนี้ก็ตกอยู่มือของเหล่าเจไดและซิธรุ่นใหม่
ในภาค 7-8-9 นี้เอง
ด้วยธีมเรื่องในลักษณะหยิน-หยาง...การที่ทั้งความมืดและแสงสว่างร่วมมือกันทำงานโดยไม่รู้ตัวนี้ จะเปิดช่องให้นำไปสู่การถกเถียงถึงธรรมชาติที่แท้จริงของความดีและความชั่ว...ซึ่งเป็นหัวใจหลักของสตาร์วอร์เสมอมา เนื้อเรื่องของ
ความดี VS ความชั่ว
ใน EU(จักรวาขยาย) นั้น คำสอนของทั้งเจไดและซิธได้ถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นวิเคราะห์บ่อยครั้ง และแสดงให้เห็นว่าคำสอนของทั้ง 2 ฝ่ายล้วนมีจุดดีจุดด้อยในตัวมันเอง ตัวอย่างเช่น
-พวกซิธเชื่อว่าความก้าวหน้าและการพัฒนาต่างๆจะเกิดขึ้นจากการทำลายล้างเท่านั้น และ....
นี่เป็นเรื่องจริง เทคโนโลยีที่เรามีใช้อยู่ทุกวันนี้ส่วนมากถูกคิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแข่งขันพิชิตอวกาศก็เกิดขึ้นเพราะสงครามเย็นมีส่วนผลักดัน
แต่แนวคิดนี้หากถูกใช้แบบสุดโต่งก็จะไม่ได้ผล เพราะหากมีแต่การทำลายล้าง จะไม่มีช่วงเวลาเหลือให้การพัฒนา
ในอีกด้านหนึ่ง...
-เจไดเชื่อว่าอารมณ์ด้านลบทุกอย่างสมควรจะถูกละทิ้งไป ละทิ้งความโกรธ ละทิ้งความเกลียด ละทิ้งความริษยา แต่...
นั่นไม่ถูกต้อง เพราะอารมณ์เหล่านี้เองก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมของพวกมัน เราสามารถ
เกลียดความชั่วร้ายได้ เราสมควร
โกรธเมื่อเห็นความอยุติธรรม คู่แต่งงานจะรู้สึก
ริษยาในความรักต่อคู่ครองของตน
นี่คือกรณีที่อารมณ์ด้านลบเหล่านี้นำไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มี
อารมณ์ที่ผิด มีแต่การ
ใช้อารมณ์ในทางที่ผิด เจไดจึงค่อนข้างจำกัดตัวเองที่คิดแต่จะทำลายอารมณ์เหล่านี้ เพราะหากไร้ซึ่งความปรารถนา...ชีวิตก็แทบไม่เหลือความหมายอะไร นี่คือการใช้คำสอนแบบสุดโต่งในฝั่งของเจได
เพราะฉะนั้น ทั้งฝ่ายซิธและเจไดสามารถเรียนรู้จากกันและกันได้ ซึ่งก็เข้ากันพอดีกับธีม
"ความปรองดองระหว่างความมืดและแสงสว่าง" ที่ผมเสนอไปข้างต้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปในไตรภาคสุดท้าย ฝ่ายดี-ฝ่ายร้ายในเรื่องจะถูกแบ่งแยก...ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็น
ซิธ หรือ
เจได แต่จากการที่พวกเขาเป็น
ฝ่ายสุดโต่ง หรือ
ฝ่ายสมดุล และนำไปสู่การต่อสู้ระหว่าง
"เจไดและซิธแบบสุดโต่งหัวรุนแรง" กับ
"เจไดและซิธแบบสมดุลประณีประนอม"
บางทีเราอาจกำหนดให้ฝั่ง
ซิธสุดโต่งนั้นเชื่อว่าบาเรียนี้คือขุมพลังแห่งความมืดและคิดครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว ในขณะฝั่ง
เจไดสุดโต่งก็ออกแนว "ม่ายยย! เราไม่ควรทำอะไรทั้งนั้น!! อย่าไปยุ่งกับบาเรีย ปล่อยมันไว้เฉยๆแล้วปิดหูปิดตาไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น!!" จบลงที่ฝั่ง
ซิธเจไดแบบสมดุลซึ่งเข้าใจว่า "ไม่ นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น(ทำลายบาเรีย) และเราต้องร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์ของจักรวาล และเพื่อเจตจำนงค์แห่งพลัง"
สิ่งหนึ่งที่
ดาร์ธ เวเดอร์ แสดงให้เราเห็นคือ การที่คุณเป็นเจไดไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นคนเลวไม่ได้ และการที่คุณเป็นซิธไม่ได้หมายความว่าคุณกลับมาเป็นคนดีอีกครั้งไม่ได้เช่นกัน
ตัวอย่างของเวเดอร์ได้ทำลายข้อจำกัดที่คนๆหนึ่งจะอยู่ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง อีกทั้งยังทำให้การเป็นเจไดหรือซิธนั้น...ไม่สำคัญเท่าตัวตนภายในที่คนๆหนึ่งเลือกจะเป็น เราจึงกล่าวได้ว่าดาร์ธเวเดอร์คือต้นแบบของการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเจไดและซิธ ซึ่งถือเป็นการนำ
สมดุลมาสู่พลัง......
..........................................
.................................
.............................
.......................
...................
.................
.............
..........
.......
....
In the time of greatest despair,
a child shall be born
who will destroy the Sith
and bring balance to the Force.
ในยุคแห่งวิกฤตกาล
เด็กผู้หนึ่งจะถือกำเนิด
ผู้ที่จะทำลายซิธ
และนำสมดุลมาสู่พลัง
................มีใครอยากพูดถึง....
คำทำนายมั้ย?.....
...to be continued...
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
[กระทู้วิเคราะห์-กึ่ง-Fanfic] เนื้อเรื่องของ Star Wars : VII ควรเป็นอย่างไร?[Part 2]
http://ppantip.com/topic/31985827
http://ppantip.com/topic/31988937
...ความเดิมตอนที่แล้ว...
ลองมาทบทวนกันก่อน ไตรภาคก่อนหน้านั้นของสตาร์วอร์มีธีมกว้างๆอย่างไร?
ในไตรภาคแรก(1-2-3) เราได้เห็น ความมืดกลืนกันแสงสว่าง (Dark>Light) ซิธครองอำนาจ ภาคีเจไดแทบสิ้นสูญ
ในไตรภาคหลัง(4-5-6) เราได้เห็น แสงสว่างมีชัยเหนือความมืด (Dark<Light) ซิธสิ้นอำนาจ ภาคีเจไดจะถูกก่อตั้งใหม่อีกครั้ง
งั้น....ในไตรภาคสุดท้ายนี้ควรจะใช้ธีมอะไร? เราจะให้ความมืดกลืนกินแสงสว่างอีกงั้นเหรอ? ก็ไม่ได้ นั่นจะเป็นตอนจบที่หดหู่เกินไป งั้นเราจะให้ความมืดพยามกลืนกินแสงสว่าง...แต่สุดท้ายแสงสว่างก็เอาชนะได้รึเป่า? ก็คงได้...แต่แบบนั้นก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่
แต่จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้ามันมีจุดสมดุลที่ความมืดและแสงสว่างสามารถอยู่ร่วมกันได้ หยุดความขัดแย้งอย่างถาวร และนำสันติที่แท้จริงมาสู่กาแล็กซี่?
เรามาเจาะลึกรายละเอียดของไอเดียนี้กัน
ลองคิดดูว่าจะเป็นอย่างไรหากจักรวาลนี้ ไม่ได้ไร้ขอบเขต? เมื่อคุณเดินทางไปในอวกาศจนไกลพอ จะถึงจุดๆหนึ่งที่คุณจะชนกับ กำแพง กำแพงบาเรียขนาดใหญ่ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นตัวขวางกันระหว่างจักรวาลของเรากับอีกเขตแดนหนึ่ง แล้วอะไรที่อยู่หลังกำแพงนั้น?
พลังดิบ บริสุทธิ์ และเป็นอนันต์ (Raw Pure Infinite Force Energy)
บาเรียนี้เปรียบเสมือนกำแพงเขื่อนที่กักเก็บมหาสมุทรแห่ง Force ไว้เบื้องหลัง และเจตจำนงค์แห่งพลังคือการที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาลจะพยามทำลายบาเรียนนี้ เพื่อให้โลกแห่งกายภาพและโลกแห่งพลังรวมกันเป็นหนึ่งเดียว และจักรวาลจะก้าวสู่ขอบเขตใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
หลักการนี้จะถูกเปิดเผยทีละเล็กละน้อยตลอดช่วงเวลาหนังทั้ง 3 ภาค(7-8-9) และด้วยคอนเซปต์นี้จะทำให้เราสามารถเชื่อมโยงตอนจบไปยังเนื้อเรื่องของาค 1-6 ได้อย่างมีเหตุผล
***ผมรู้ว่านี่เป็นไอเดียที่ฟังบ๊องๆเหมือนพวกติงต๊องเรื่องจิตวิญญาณ และอาจจะดูน้ำเน่าตายซากไปบ้าง แต่อย่าลืมว่าไตรภาคนี้ต้องเป็นจุดจบของหนัง 9 เรื่อง จะแค่ให้มีตัวร้ายโดนกระบี่แสงผ่าครึ่งหรือสถานีอวกาศระเบิดนั้นไม่เพียงพออีกแล้ว เราต้องใช้จุดจบที่ยิ่งใหญ่และอลังการมากกว่านั้น***
การอธิบายเนื้อหาว่าบาเรียนี้คืออะไร? มีไว้ทำไม? อะไรอยู่เบื้องหลังบาเรีย? จะต้องถูกบอกเล่าที่ละน้อยผ่านการดำเนินเรื่องของหนัง โดยอาจใช้เทคนิคดังนี้
ใน SW7 นั้น ฝ่ายซิธเชื่อว่าเบื้องหลังบาเรียคือที่กักเก็บพลังด้านมืดอันไร้ขีดจำกัด พวกเขาจึงต้องการจะเจาะทะลวงบาเรียนี้ เพื่อให้พลังมืดทะลักเข้ามาในจักรวาล หนังภาค 7 จะจบลงที่แผนของพวกซิธล้มเหลว เพราะวิธีที่จะทำลายบาเรียได้นั้น ต้องใช้ทั้งพลังด้านมืดและด้านสว่างร่วมกัน
ประเด็นนี้จะนำไปสู่ข้อเท็จจริงอีกอย่างว่าตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา เหล่าผู้มีพลังสถิต(Force Sensitive)นั้นจะมีความต้องการลึกๆในจิตใจที่อยากขยายพรหมแดนของตนออกไปในอวกาศ แต่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน
ซิธ : ต้องการขยายจักรวรรดิและอำนาจของตนไปทุกหมู่ดาว
เจได : ต้องการเผยแพร่สันติภาพและความสงบสุขไปทุกที่ในจักรวาล
แต่ทั้ง 2 ฝ่ายล้วนมีความปราถนาเดียวกันที่จะเดินทางออกไปเรื่อยๆในอวกาศ ก็เพราะ Force ได้แฝงเจตจำนงค์ที่จะทำลายบาเรียนี้ไว้ในจิตใต้สำนึกของ Force Sensitive ทุกคน และด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างความมืดและแสงสว่างขึ้น
เมื่อสาธารณรัฐฝ่ายเจไดเริ่มเกียจคร้าน เล่นแต่การเมือง หยุดการขยายพรหมแดนไปในอวกาศ อำนาจก็จะถูกเปลี่ยนมาอยู่ฝ่ายมืดของจักรวรรดิซิธที่เข้ายึดครอง แต่เมื่อจักรวรรดิหยุดขยายพรหมแดนเพราะต้องการแค่จะรักษาอำนาจไว้ อย่างการสร้างสถานีอวกาศ Death Star เพื่อกดขี่ผู้คนแทนที่จะออกสำรวจอวกาศ อำนาจนั้นก็พลิกกลับมาอยู่ฝ่ายแสงสว่างอีกครั้งในยุคของพวกลุค สกายวอล์คเกอร์ที่ก่อตั้งนิกายเจไดพร้อมสาธารณรัฐใหม่
ซึ่งในจุดเริ่มต้อนของ SW7 จะอยู่ในช่วงเวลาที่บาเรียถูกค้นพบแล้ว และหน้าที่ในการทำลายบาเรียนี้ก็ตกอยู่มือของเหล่าเจไดและซิธรุ่นใหม่
ในภาค 7-8-9 นี้เอง
ด้วยธีมเรื่องในลักษณะหยิน-หยาง...การที่ทั้งความมืดและแสงสว่างร่วมมือกันทำงานโดยไม่รู้ตัวนี้ จะเปิดช่องให้นำไปสู่การถกเถียงถึงธรรมชาติที่แท้จริงของความดีและความชั่ว...ซึ่งเป็นหัวใจหลักของสตาร์วอร์เสมอมา เนื้อเรื่องของ ความดี VS ความชั่ว
ใน EU(จักรวาขยาย) นั้น คำสอนของทั้งเจไดและซิธได้ถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นวิเคราะห์บ่อยครั้ง และแสดงให้เห็นว่าคำสอนของทั้ง 2 ฝ่ายล้วนมีจุดดีจุดด้อยในตัวมันเอง ตัวอย่างเช่น
-พวกซิธเชื่อว่าความก้าวหน้าและการพัฒนาต่างๆจะเกิดขึ้นจากการทำลายล้างเท่านั้น และ....นี่เป็นเรื่องจริง เทคโนโลยีที่เรามีใช้อยู่ทุกวันนี้ส่วนมากถูกคิดค้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการแข่งขันพิชิตอวกาศก็เกิดขึ้นเพราะสงครามเย็นมีส่วนผลักดัน
แต่แนวคิดนี้หากถูกใช้แบบสุดโต่งก็จะไม่ได้ผล เพราะหากมีแต่การทำลายล้าง จะไม่มีช่วงเวลาเหลือให้การพัฒนา
ในอีกด้านหนึ่ง...
-เจไดเชื่อว่าอารมณ์ด้านลบทุกอย่างสมควรจะถูกละทิ้งไป ละทิ้งความโกรธ ละทิ้งความเกลียด ละทิ้งความริษยา แต่...นั่นไม่ถูกต้อง เพราะอารมณ์เหล่านี้เองก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมของพวกมัน เราสามารถเกลียดความชั่วร้ายได้ เราสมควรโกรธเมื่อเห็นความอยุติธรรม คู่แต่งงานจะรู้สึกริษยาในความรักต่อคู่ครองของตน
นี่คือกรณีที่อารมณ์ด้านลบเหล่านี้นำไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มี อารมณ์ที่ผิด มีแต่การ ใช้อารมณ์ในทางที่ผิด เจไดจึงค่อนข้างจำกัดตัวเองที่คิดแต่จะทำลายอารมณ์เหล่านี้ เพราะหากไร้ซึ่งความปรารถนา...ชีวิตก็แทบไม่เหลือความหมายอะไร นี่คือการใช้คำสอนแบบสุดโต่งในฝั่งของเจได
เพราะฉะนั้น ทั้งฝ่ายซิธและเจไดสามารถเรียนรู้จากกันและกันได้ ซึ่งก็เข้ากันพอดีกับธีม "ความปรองดองระหว่างความมืดและแสงสว่าง" ที่ผมเสนอไปข้างต้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปในไตรภาคสุดท้าย ฝ่ายดี-ฝ่ายร้ายในเรื่องจะถูกแบ่งแยก...ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็น ซิธ หรือ เจได แต่จากการที่พวกเขาเป็น ฝ่ายสุดโต่ง หรือ ฝ่ายสมดุล และนำไปสู่การต่อสู้ระหว่าง "เจไดและซิธแบบสุดโต่งหัวรุนแรง" กับ "เจไดและซิธแบบสมดุลประณีประนอม"
บางทีเราอาจกำหนดให้ฝั่งซิธสุดโต่งนั้นเชื่อว่าบาเรียนี้คือขุมพลังแห่งความมืดและคิดครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว ในขณะฝั่งเจไดสุดโต่งก็ออกแนว "ม่ายยย! เราไม่ควรทำอะไรทั้งนั้น!! อย่าไปยุ่งกับบาเรีย ปล่อยมันไว้เฉยๆแล้วปิดหูปิดตาไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น!!" จบลงที่ฝั่งซิธเจไดแบบสมดุลซึ่งเข้าใจว่า "ไม่ นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น(ทำลายบาเรีย) และเราต้องร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์ของจักรวาล และเพื่อเจตจำนงค์แห่งพลัง"
สิ่งหนึ่งที่ ดาร์ธ เวเดอร์ แสดงให้เราเห็นคือ การที่คุณเป็นเจไดไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นคนเลวไม่ได้ และการที่คุณเป็นซิธไม่ได้หมายความว่าคุณกลับมาเป็นคนดีอีกครั้งไม่ได้เช่นกัน
ตัวอย่างของเวเดอร์ได้ทำลายข้อจำกัดที่คนๆหนึ่งจะอยู่ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง อีกทั้งยังทำให้การเป็นเจไดหรือซิธนั้น...ไม่สำคัญเท่าตัวตนภายในที่คนๆหนึ่งเลือกจะเป็น เราจึงกล่าวได้ว่าดาร์ธเวเดอร์คือต้นแบบของการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเจไดและซิธ ซึ่งถือเป็นการนำสมดุลมาสู่พลัง......
.................................
.............................
.......................
...................
.................
.............
..........
.......
....
a child shall be born
who will destroy the Sith
and bring balance to the Force.
ในยุคแห่งวิกฤตกาล
เด็กผู้หนึ่งจะถือกำเนิด
ผู้ที่จะทำลายซิธ
และนำสมดุลมาสู่พลัง
................มีใครอยากพูดถึง....คำทำนายมั้ย?.....
...to be continued...