ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าผมเป็นเพียงผู้ชมละครเวทีธรรมดา ๆ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านละครเวที จึงไม่บังอาจใช้คำว่าวิจารณ์ แต่จะขอเรียกว่าเล่าสู่กันฟังมากกว่า อาจจะเล่าได้ไม่ทุกองค์ประกอบ ขอเก็บมาเฉพาะความประทับใจครับ
เมื่อวันที่เสาร์ที่ 26 เมษายน 2557 ผมได้ไปดูเรื่องซูสีไทเฮา เดอะมิวสิคัล ผลงานของ The Musicals Society of Bangkok ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบเรื่องซูสีไทเฮาที่ท่านคึกฤทธิ์ประพันธ์เท่าใดนัก เพราะด้วยความประสงค์ของท่านผู้ประพันธ์ที่ต้องการให้เป็นเพียงเกร็ดพงศาวดาร ไม่ใช่หนังสืออ้างอิงประวัติศาสตร์ ดังนั้นท่านจึงใส่สีตีไข่ให้พระนางซูสีร้ายจนเกินงาม บางเรื่องก็ไม่ได้มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน (อย่างแกล้งท้อง ขโมยเด็กชาวบ้าน) ขณะเดียวกันก็แต่งให้พระนางซูอัน (ไทเฮาอีกองค์) เป็นคนดีแสนดีไร้พิษภัยเพื่อให้ตรงข้ามกับพระนางซูสี เรื่องนี้ท่านผู้ประพันธ์เองก็ยอมรับว่าถึงกับต้องไปขอขมาต่อดวงพระวิญญาณของพระนางซูสี ถ้าใครประสงค์จะดูซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นที่ยุติธรรมกับพระนางขึ้นมาหน่อย แนะนำให้ดูของที่ญี่ปุ่นร่วมทุนสร้างกับจีน (นางเอกเป็นคนเดียวกับที่แสดงโอชิน) จะเจอบทพูดหนึ่งที่โดนใจมาก “บอกว่าข้าลอบปลงพระชนม์เสียนเฟิงฮ่องเต้ ลอบปลงพระชนม์ซูอันไทเฮา บอกว่าข้าเป็นชู้กับหลงรู่ซ้ำมีลูกด้วยกัน ข้าจะไปไหนมาไหน ขันทีนางกำนัลล้อมหน้าล้อมหลัง จะทำอะไรก็มีแต่คนคอยจับจ้องคอยจับผิด ข้าจะไปแอบมีลูกได้ยังไง ทำเป็นมาแพร่กระจายข่าวสารไปทั่วโลก เขียนกันมาได้ไม่คิด”
ละครเวทีเรื่องนี้จัดแสดงที่ M theatre ซึ่งเป็นโรคละครเล็ก ๆ ดังนั้นฉากและ effect ก็จะเล็กตาม แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความอลังการ โดยเฉพาะบัลลังก์มังกรที่ใช้ว่าราชการ แต่สิ่งที่ต้องชมว่าดีมากคือระบบเสียง ทั้งเรื่องไม่มีความจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังเลยว่าตัวละครพูดหรือร้องว่าอย่างไร และอีกเรื่องคือเพลง เพราะมาก จัดมาได้ลงตัว
เรื่องตัวบท เนื่องจากเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่แค่ได้ยินหลายคนก็คงถอยแล้ว จึงต้องสอดแทรกมุกตลกเข้าไปเรื่อย ๆ ผู้ชมจะได้ไม่เบื่อ ซึ่งก็ทำได้ดีมาก กล่าวคือมุกไม่แป๊ก แล้วก็ไม่ผิดที่ผิดทางเกินงาม ยังคงกลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องหลักได้อยู่
สำหรับนักแสดง ขอเล่าถึงสองคนกับอีกหนึ่งพระองค์ที่ประทับใจมากคือ
1.เนท - กานดา วิทยานุภาพยืนยง ผมติดตามน้องคนนี้มาตั้งแต่เรื่องสี่แผ่นดิน อีกทั้งน้องเนทยังเคยผ่านผลงานระดับอินเตอร์อย่างมิสไซง่อนมาแล้ว ผมจึงคาดหวังกับเธอไว้มาก ซึ่งเธอก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริง ๆ ผมว่างานนี้เธอต้องร้องเยอะและร้องต่อเนื่องกว่ามิสไซง่อนอีก แต่พลังเสียงไม่ตกเลย และสิ่งสำคัญคือ ด้วยอุปนิสัยของพระนางซูสีไทเฮาที่ค่อนข้างจะมีพระอารมณ์ขึ้นลง ทำให้เธอต้องเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน แบบกำลังรักอยู่ดี ๆ หันขวับอีกทีกลายเป็นหน้าเหี้ยม เธอก็ทำได้ แล้วเธอยังต้องเล่นเป็นพระนางซูสีทั้งวัยสาว วัยกลางคน และวัยแก่ ต้องปรับน้ำเสียงและสีหน้าตามวัยและประสบการณ์ที่เคี่ยวกรำเช่นนั้นอีกด้วย
2.อาจารย์สุรุจ ทิพกรเสนี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างละครเพลงเรื่องนี้ด้วย พอได้เห็นท่านเล่นบทลิเลียนยิงมหาขันทีคู่ใจพระนางซูสีแล้ว เลยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงยกให้ท่านเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีอันดับต้น ๆ ของประเทศ เพราะจะว่าไปแล้ว บทนี้มีความสำคัญไม่แพ้พระนางซูสีเลย จะสนุกไม่สนุกก็เพราะตัวนี้ เพราะต้องรับส่งกับพระนางซูสีตลอด แต่ก็ต้องให้พอดี ไม่แย่งซีนนางเอกด้วย ซึ่งอาจารย์ท่านก็ทำได้ดี จนผมยกว่านี่แหละ พระเอกของเรื่อง บางฉากท่านก็เล่นได้เจ้าเล่ห์เพทุบายเสียจนภาษาชาวบ้านเรียกว่า “อยากถีบยอดอก”
3.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ท่านทรงรับบทเป็นนางนิวฮูลู่ พระมารดาของพระนางซูสี ด้วยพระวุฒิวัยและประสบการณ์ ท่านจึงทรงเล่นเป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ขณะที่ทรงนั่งอยู่เฉย ๆ แต่แค่เห็นพระพักตร์ก็จะรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้นางนิวฮูลู่รู้สึกอย่างไร ฉากที่กินใจผมที่สุดคงเป็นฉากที่ขันทีมาเลือกลูกสาวของนางเข้าวัง สีหน้านางนิวฮูลู่ตอนนั้นเป็นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสีหน้าจนใจและเจียมตัวที่เป็นเพียงหญิงม่ายไร้ทรัพย์ จะติดสินบนใครก็ไม่ได้ แล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้ากระอักกระอ่วนตอนที่ลูกสาวคนเล็กทำเสียเรื่อง ก่อนจะเป็นสีหน้าลุ้นแทบนั่งไม่ติดว่าลูกสาวคนโตจะได้เข้าวังหรือไม่ ย้ำว่าทั้งหมดนี่ไม่มีบทพูด ท่านต้องทรงสื่อสารกับผู้ชมด้วยสีพระพักตร์เอง ผมถึงกับน้ำตารื้นตอนที่ท่านทรงร้องว่า “หากเราบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน ก็ไม่ต้องอนาทรร้อนใจ ผู้คนมากมายก็คงมาสนใจ ช่างกระไรหนอชีวี”
แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดสำหรับละครเวทีเรื่องนี้คือความนอบน้อมของนักแสดงและทีมงาน จากที่เคยดูละครเวทีเรื่องอื่น ๆ พอม่านปิดผู้ชมกับนักแสดงก็จะแยกย้ายกลับบ้านไป แต่ที่นี่จะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เข้าพบปะกับนักแสดงอย่างใกล้ชิดมาก นักแสดงทุกคนจะยกมือสวัสดีผู้ชมและถามอย่างนอบน้อมว่า “ละครสนุกไหมครับ/ค่ะ” พอได้รับคำชมก็จะยกมือขอบคุณผู้ชม คำว่านักแสดง “ทุกคน” รวมถึงองค์นักแสดงเกียรติยศคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุด้วย ท่านจะมีรับสั่งถามกับผู้ชมที่รอเฝ้าหน้าเวทีทุกคนว่า “ละครสนุกไหมคะ” และถ้ามีคนถามอะไรที่เกี่ยวข้องกับการแสดงอย่างมีรอบไหนบ้าง (จริง ๆ จะไม่ทรงตอบก็ยังได้ เพราะมีคนตอบแทนท่านได้อยู่แล้ว) ท่านก็จะตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “อ๋อ มีวันที่...... เวลา……ค่ะ พระองค์หญิงแสดงเองทุกรอบเลยนะคะ” ไม่ให้ความรู้สึกว่าต่างจากนักแสดงคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย ความเป็นกันเองของพระองค์ท่านทำให้ผมถึงกับทูลขอประทานพระอนุญาตบางอย่างเป็นการพิเศษ ซึ่งท่านก็ทรงพระเมตตาประทานตามที่ขอ เป็นพระกรุณาอย่างที่ผมจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต
ขอส่งท้ายด้วยบันทึกภาพขณะพระองค์หญิงมีพระปฏิสันถารกับผู้ชมที่มารอเฝ้าหน้าเวทีครับ (ภาพสั่นหน่อยนะครับ เพราะถ่ายจากกล้อง iPhone)
[CR] ความประทับใจจากละครเวที ซูสีไทเฮา เดอะมิวสิคัล (Spoil alert)
เมื่อวันที่เสาร์ที่ 26 เมษายน 2557 ผมได้ไปดูเรื่องซูสีไทเฮา เดอะมิวสิคัล ผลงานของ The Musicals Society of Bangkok ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบเรื่องซูสีไทเฮาที่ท่านคึกฤทธิ์ประพันธ์เท่าใดนัก เพราะด้วยความประสงค์ของท่านผู้ประพันธ์ที่ต้องการให้เป็นเพียงเกร็ดพงศาวดาร ไม่ใช่หนังสืออ้างอิงประวัติศาสตร์ ดังนั้นท่านจึงใส่สีตีไข่ให้พระนางซูสีร้ายจนเกินงาม บางเรื่องก็ไม่ได้มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน (อย่างแกล้งท้อง ขโมยเด็กชาวบ้าน) ขณะเดียวกันก็แต่งให้พระนางซูอัน (ไทเฮาอีกองค์) เป็นคนดีแสนดีไร้พิษภัยเพื่อให้ตรงข้ามกับพระนางซูสี เรื่องนี้ท่านผู้ประพันธ์เองก็ยอมรับว่าถึงกับต้องไปขอขมาต่อดวงพระวิญญาณของพระนางซูสี ถ้าใครประสงค์จะดูซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นที่ยุติธรรมกับพระนางขึ้นมาหน่อย แนะนำให้ดูของที่ญี่ปุ่นร่วมทุนสร้างกับจีน (นางเอกเป็นคนเดียวกับที่แสดงโอชิน) จะเจอบทพูดหนึ่งที่โดนใจมาก “บอกว่าข้าลอบปลงพระชนม์เสียนเฟิงฮ่องเต้ ลอบปลงพระชนม์ซูอันไทเฮา บอกว่าข้าเป็นชู้กับหลงรู่ซ้ำมีลูกด้วยกัน ข้าจะไปไหนมาไหน ขันทีนางกำนัลล้อมหน้าล้อมหลัง จะทำอะไรก็มีแต่คนคอยจับจ้องคอยจับผิด ข้าจะไปแอบมีลูกได้ยังไง ทำเป็นมาแพร่กระจายข่าวสารไปทั่วโลก เขียนกันมาได้ไม่คิด”
ละครเวทีเรื่องนี้จัดแสดงที่ M theatre ซึ่งเป็นโรคละครเล็ก ๆ ดังนั้นฉากและ effect ก็จะเล็กตาม แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความอลังการ โดยเฉพาะบัลลังก์มังกรที่ใช้ว่าราชการ แต่สิ่งที่ต้องชมว่าดีมากคือระบบเสียง ทั้งเรื่องไม่มีความจำเป็นต้องเงี่ยหูฟังเลยว่าตัวละครพูดหรือร้องว่าอย่างไร และอีกเรื่องคือเพลง เพราะมาก จัดมาได้ลงตัว
เรื่องตัวบท เนื่องจากเป็นละครอิงประวัติศาสตร์ที่แค่ได้ยินหลายคนก็คงถอยแล้ว จึงต้องสอดแทรกมุกตลกเข้าไปเรื่อย ๆ ผู้ชมจะได้ไม่เบื่อ ซึ่งก็ทำได้ดีมาก กล่าวคือมุกไม่แป๊ก แล้วก็ไม่ผิดที่ผิดทางเกินงาม ยังคงกลมกลืนไปกับเนื้อเรื่องหลักได้อยู่
สำหรับนักแสดง ขอเล่าถึงสองคนกับอีกหนึ่งพระองค์ที่ประทับใจมากคือ
1.เนท - กานดา วิทยานุภาพยืนยง ผมติดตามน้องคนนี้มาตั้งแต่เรื่องสี่แผ่นดิน อีกทั้งน้องเนทยังเคยผ่านผลงานระดับอินเตอร์อย่างมิสไซง่อนมาแล้ว ผมจึงคาดหวังกับเธอไว้มาก ซึ่งเธอก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริง ๆ ผมว่างานนี้เธอต้องร้องเยอะและร้องต่อเนื่องกว่ามิสไซง่อนอีก แต่พลังเสียงไม่ตกเลย และสิ่งสำคัญคือ ด้วยอุปนิสัยของพระนางซูสีไทเฮาที่ค่อนข้างจะมีพระอารมณ์ขึ้นลง ทำให้เธอต้องเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน แบบกำลังรักอยู่ดี ๆ หันขวับอีกทีกลายเป็นหน้าเหี้ยม เธอก็ทำได้ แล้วเธอยังต้องเล่นเป็นพระนางซูสีทั้งวัยสาว วัยกลางคน และวัยแก่ ต้องปรับน้ำเสียงและสีหน้าตามวัยและประสบการณ์ที่เคี่ยวกรำเช่นนั้นอีกด้วย
2.อาจารย์สุรุจ ทิพกรเสนี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างละครเพลงเรื่องนี้ด้วย พอได้เห็นท่านเล่นบทลิเลียนยิงมหาขันทีคู่ใจพระนางซูสีแล้ว เลยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงยกให้ท่านเป็นหนึ่งในนักแสดงละครเวทีอันดับต้น ๆ ของประเทศ เพราะจะว่าไปแล้ว บทนี้มีความสำคัญไม่แพ้พระนางซูสีเลย จะสนุกไม่สนุกก็เพราะตัวนี้ เพราะต้องรับส่งกับพระนางซูสีตลอด แต่ก็ต้องให้พอดี ไม่แย่งซีนนางเอกด้วย ซึ่งอาจารย์ท่านก็ทำได้ดี จนผมยกว่านี่แหละ พระเอกของเรื่อง บางฉากท่านก็เล่นได้เจ้าเล่ห์เพทุบายเสียจนภาษาชาวบ้านเรียกว่า “อยากถีบยอดอก”
3.พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ท่านทรงรับบทเป็นนางนิวฮูลู่ พระมารดาของพระนางซูสี ด้วยพระวุฒิวัยและประสบการณ์ ท่านจึงทรงเล่นเป็นแม่ได้อย่างสมบูรณ์ แม้ขณะที่ทรงนั่งอยู่เฉย ๆ แต่แค่เห็นพระพักตร์ก็จะรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้นางนิวฮูลู่รู้สึกอย่างไร ฉากที่กินใจผมที่สุดคงเป็นฉากที่ขันทีมาเลือกลูกสาวของนางเข้าวัง สีหน้านางนิวฮูลู่ตอนนั้นเป็นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสีหน้าจนใจและเจียมตัวที่เป็นเพียงหญิงม่ายไร้ทรัพย์ จะติดสินบนใครก็ไม่ได้ แล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้ากระอักกระอ่วนตอนที่ลูกสาวคนเล็กทำเสียเรื่อง ก่อนจะเป็นสีหน้าลุ้นแทบนั่งไม่ติดว่าลูกสาวคนโตจะได้เข้าวังหรือไม่ ย้ำว่าทั้งหมดนี่ไม่มีบทพูด ท่านต้องทรงสื่อสารกับผู้ชมด้วยสีพระพักตร์เอง ผมถึงกับน้ำตารื้นตอนที่ท่านทรงร้องว่า “หากเราบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน ก็ไม่ต้องอนาทรร้อนใจ ผู้คนมากมายก็คงมาสนใจ ช่างกระไรหนอชีวี”
แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดสำหรับละครเวทีเรื่องนี้คือความนอบน้อมของนักแสดงและทีมงาน จากที่เคยดูละครเวทีเรื่องอื่น ๆ พอม่านปิดผู้ชมกับนักแสดงก็จะแยกย้ายกลับบ้านไป แต่ที่นี่จะเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เข้าพบปะกับนักแสดงอย่างใกล้ชิดมาก นักแสดงทุกคนจะยกมือสวัสดีผู้ชมและถามอย่างนอบน้อมว่า “ละครสนุกไหมครับ/ค่ะ” พอได้รับคำชมก็จะยกมือขอบคุณผู้ชม คำว่านักแสดง “ทุกคน” รวมถึงองค์นักแสดงเกียรติยศคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุด้วย ท่านจะมีรับสั่งถามกับผู้ชมที่รอเฝ้าหน้าเวทีทุกคนว่า “ละครสนุกไหมคะ” และถ้ามีคนถามอะไรที่เกี่ยวข้องกับการแสดงอย่างมีรอบไหนบ้าง (จริง ๆ จะไม่ทรงตอบก็ยังได้ เพราะมีคนตอบแทนท่านได้อยู่แล้ว) ท่านก็จะตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “อ๋อ มีวันที่...... เวลา……ค่ะ พระองค์หญิงแสดงเองทุกรอบเลยนะคะ” ไม่ให้ความรู้สึกว่าต่างจากนักแสดงคนอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย ความเป็นกันเองของพระองค์ท่านทำให้ผมถึงกับทูลขอประทานพระอนุญาตบางอย่างเป็นการพิเศษ ซึ่งท่านก็ทรงพระเมตตาประทานตามที่ขอ เป็นพระกรุณาอย่างที่ผมจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต
ขอส่งท้ายด้วยบันทึกภาพขณะพระองค์หญิงมีพระปฏิสันถารกับผู้ชมที่มารอเฝ้าหน้าเวทีครับ (ภาพสั่นหน่อยนะครับ เพราะถ่ายจากกล้อง iPhone)