เคยไปมาทั้งสองสาขา
ครั้งแรกที่ทองหล่อ พนง.และเชฟ ตะโกนคุยกันโหวกแหวก เล่นกัน หัวเราะกัน ข้ามหัวแขกไปมา
ครั้งที่2ที่ราชเทวี
อันนี้ร้านแคบกว่า หนักกว่าเดิม คุยเล่นกันจ้อกแจกๆ แซวกันสนุกสนานเป็นภาษาอีสาน เสียงดัง ไม่ใช่แค่คุยกันเบาๆ คุยกันบ้าง
อย่าคิดว่านี่คือการดูถูกชาติพันธุ์อะไรอย่างนั้น อย่ามาดราม่า เพราะเราก็เป็นคนอีสาน ดังนั้นเราจึงฟังออกทุกประโยค ว่ามันเป็นแค่การคุยเล่นกัน หยอกกัน แซวกันไปมา ไม่ได้มีอะไรเลย
จนอยากจะตะโกนกลับไปว่า 'เซาเว้าจักเทือแน๊
คนสิกินเข่า ฮ่วยยยย'
จึงอยากฝากไปถึงผู้บริหารของร้านให้ช่วยควบคุมมารยาทของพนักงาน จุดนี้ด้วยเถอะค่ะ ไปกินซูชิ ยอมเสียเงินในมื้อที่แพงกว่ามื้ออื่นๆ นอกจากรสชาติอาหาร บรรยากาศก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่นี่บรรยากาศเหมือนร้านลาบใต้สะพานลอยแถวมอมาก คนขายตะโกนแซวกับเด็กเสิฟไปมา ถ้าแค่คุยกันบ้างก็คงไม่ได้คิดอะไร แต่นี่ตะโกนคุยกัน เล่นกันตลอดเวเลยข่าาา มันเสียอารม์และเสียบรรยากาศนะคะ
นี่รู้สึกเหมือนไปขอกินมาก จุดนี้ ไม่มีอารมณฺดื่มด่ำรสชาติซูชิคำละหลายร้อยใดๆทั้งสิ้น รีบกิน รีบกลับมาก แบบนี้กินชายสี่ก็อิ่มค่ะ
ฝากด้วยค่ะ
ซูชิมาสะ ร้านซูชิหรือร้านลาบข้างทาง!
ครั้งแรกที่ทองหล่อ พนง.และเชฟ ตะโกนคุยกันโหวกแหวก เล่นกัน หัวเราะกัน ข้ามหัวแขกไปมา
ครั้งที่2ที่ราชเทวี
อันนี้ร้านแคบกว่า หนักกว่าเดิม คุยเล่นกันจ้อกแจกๆ แซวกันสนุกสนานเป็นภาษาอีสาน เสียงดัง ไม่ใช่แค่คุยกันเบาๆ คุยกันบ้าง
อย่าคิดว่านี่คือการดูถูกชาติพันธุ์อะไรอย่างนั้น อย่ามาดราม่า เพราะเราก็เป็นคนอีสาน ดังนั้นเราจึงฟังออกทุกประโยค ว่ามันเป็นแค่การคุยเล่นกัน หยอกกัน แซวกันไปมา ไม่ได้มีอะไรเลย
จนอยากจะตะโกนกลับไปว่า 'เซาเว้าจักเทือแน๊
คนสิกินเข่า ฮ่วยยยย'
จึงอยากฝากไปถึงผู้บริหารของร้านให้ช่วยควบคุมมารยาทของพนักงาน จุดนี้ด้วยเถอะค่ะ ไปกินซูชิ ยอมเสียเงินในมื้อที่แพงกว่ามื้ออื่นๆ นอกจากรสชาติอาหาร บรรยากาศก็สำคัญไม่แพ้กัน แต่นี่บรรยากาศเหมือนร้านลาบใต้สะพานลอยแถวมอมาก คนขายตะโกนแซวกับเด็กเสิฟไปมา ถ้าแค่คุยกันบ้างก็คงไม่ได้คิดอะไร แต่นี่ตะโกนคุยกัน เล่นกันตลอดเวเลยข่าาา มันเสียอารม์และเสียบรรยากาศนะคะ
นี่รู้สึกเหมือนไปขอกินมาก จุดนี้ ไม่มีอารมณฺดื่มด่ำรสชาติซูชิคำละหลายร้อยใดๆทั้งสิ้น รีบกิน รีบกลับมาก แบบนี้กินชายสี่ก็อิ่มค่ะ
ฝากด้วยค่ะ