วิวาทะกวี! "หงา" แต่งกลอนวิจารณ์ "สุจิตต์" กรณีจุดยืนมติชน
ก่อนถูก "เกษียร" วิพากษ์กลับ
(มติชน 28 เมษายน 2557)
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. เพจเฟซบุ๊ก เมด อิน อุษาคเนย์
ได้เผยแพร่ข้อความที่ระบุว่าเป็นความเห็นของ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ
คอลัมนิสต์เครือมติชนและนักเขียนรางวัลศรีบูรพา มีเนื้อหาว่า
"กลุ่มผู้บริหารมติชน อยู่ตรงข้ามรัฐบาลเผด็จการมาโดยตลอด
สาเหตุที่คนให้ความเชื่อถือเพราะอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่เคยเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ มีแต่ต่อต้านรัฐประหาร
ทำอย่างนี้มาตลอด ตอนยุคถนอม ประภาส
ก่อน 14 ตุลา เรายืนอยู่ข้างประชาธิปัตย์ เขาคือฮีโร่ของเรา
"ฉะนั้น ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าเหตุการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร
มันกลับตาลปัตร เขารู้กันทั้งโลก
"ใครบอกมติชนเปลี่ยนไป?
"Goo ยืนอยู่ที่เดิม อยู่ข้างประชาธิปไตย ไม่ต้องมาสงสัย เดี๋ยวให้ศิวลึงค์"
- สุจิตต์ วงษ์เทศ
27 เม.ย.57
ส่งผลให้ต่อมา นายสุรชัย จันทิมาธร หรือหงา คาราวาน
เขียนกลอนพาดพิงถึงความเห็นของนายสุจิตต์ ว่า
พี่สุจิตต์คิดอะไรก็ไม่รู้
สุนทรภู่คงงงและสงสัย
คบอาจารย์นิธิมิเป็นไร
หลายคนในมติชนก็คนดี
แต่ทำไมหลงรักทักษิณแม้ว
ยิ่งลักษณ์ดุจดวงแก้วมณีศรี
ความข้องใจเจาะจงที่ตรงนี้
สาเหตุที่ผมถามเป็นความกลอน
ไม่ก้าวร้าวไม่ด่าไม่ว่าพี่
(HERE + ไม้โท) อย่างผมก็มีอาจารย์สอน
เรื่องล้างครูผมไม่คิดผิดแน่นอน
ศิลปากรทั้งผองต้องมีครู
จะด่าผมก็ได้ผมให้ด่า
ผมไม่กลัวผมกล้าจะต่อสู้
เสรีชนอย่างผมขยมภู
ก็พอรู้ถูกผิดและคิดเป็น
เรื่องโลกกลมโลกแบนมันแสนเก่า
เป็นตรรกะขี้เมาและขี้เหม็น
พี่ก็เคยเมาเช้าและเมาเย็น
เสียใจที่ไม่เห็นพี่เหมือนเดิม
จากนั้น นายเกษียร เตชะพีระ ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.
ได้เขียนกลอน ถึงหงา คาราวาน อีกต่อหนึ่ง มีเนื้อความว่า
ใครเห็นต่างถือว่ารักทักษิณหมด
สองตาเหล่มองคดแคบได้ที่
โลกย่นเหลือสองข้างกว้างแค่นี้
ไม่ให้มีจุดยืนอื่นอีกแล้ว
มองดูความจริงซีคุณพี่หงา
เกลียดทักษิณแต่ไล่ฆ่าคนเป็นแถว
ทำลายการเลือกตั้งหมดทั้งแนว
ประชาธิปไตยแห้วกันทั้งบาง
ศิลปินร้องเพลงแต่งสัมผัส
เอาชั่วดีชี้วัดทั้งบนล่าง
ความซับซ้อนย้อนแย้งแห่งเส้นทาง
ความแตกต่างหลากหลายสลายวับ
ยึดทิฐิแห่งตนเป็นที่ตั้ง
ใช้อำนาจเข้าพังให้แตกดับ
ใครไม่ยอมพร้อมงอก็บังคับ
ให้ทุกคนยอมรับธรรมะกู
กางปีกหลีกบินจากเมือง
นกไหนไม่เหลืองโดนข่มขู่
สีเดียวให้มีคือสีตู
จับฉีกปีกคู่ขยะแผ่นดิน
คาราวานหลงทางเข้าพงรก
ในวันที่กระจกตกแตกสิ้น
ไม่สอดส่องมองใหม่ไม่ยลยิน
เหลือแต่ความเคยชินกับเกลียดชัง
วิวาทะกวี! หงา...สุจิตต์...เกษียร
ก่อนถูก "เกษียร" วิพากษ์กลับ
(มติชน 28 เมษายน 2557)
เมื่อวันที่ 27 เม.ย. เพจเฟซบุ๊ก เมด อิน อุษาคเนย์
ได้เผยแพร่ข้อความที่ระบุว่าเป็นความเห็นของ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ
คอลัมนิสต์เครือมติชนและนักเขียนรางวัลศรีบูรพา มีเนื้อหาว่า
"กลุ่มผู้บริหารมติชน อยู่ตรงข้ามรัฐบาลเผด็จการมาโดยตลอด
สาเหตุที่คนให้ความเชื่อถือเพราะอยู่กับฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่เคยเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ มีแต่ต่อต้านรัฐประหาร
ทำอย่างนี้มาตลอด ตอนยุคถนอม ประภาส
ก่อน 14 ตุลา เรายืนอยู่ข้างประชาธิปัตย์ เขาคือฮีโร่ของเรา
"ฉะนั้น ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าเหตุการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร
มันกลับตาลปัตร เขารู้กันทั้งโลก
"ใครบอกมติชนเปลี่ยนไป?
"Goo ยืนอยู่ที่เดิม อยู่ข้างประชาธิปไตย ไม่ต้องมาสงสัย เดี๋ยวให้ศิวลึงค์"
- สุจิตต์ วงษ์เทศ
27 เม.ย.57
ส่งผลให้ต่อมา นายสุรชัย จันทิมาธร หรือหงา คาราวาน
เขียนกลอนพาดพิงถึงความเห็นของนายสุจิตต์ ว่า
พี่สุจิตต์คิดอะไรก็ไม่รู้
สุนทรภู่คงงงและสงสัย
คบอาจารย์นิธิมิเป็นไร
หลายคนในมติชนก็คนดี
แต่ทำไมหลงรักทักษิณแม้ว
ยิ่งลักษณ์ดุจดวงแก้วมณีศรี
ความข้องใจเจาะจงที่ตรงนี้
สาเหตุที่ผมถามเป็นความกลอน
ไม่ก้าวร้าวไม่ด่าไม่ว่าพี่
(HERE + ไม้โท) อย่างผมก็มีอาจารย์สอน
เรื่องล้างครูผมไม่คิดผิดแน่นอน
ศิลปากรทั้งผองต้องมีครู
จะด่าผมก็ได้ผมให้ด่า
ผมไม่กลัวผมกล้าจะต่อสู้
เสรีชนอย่างผมขยมภู
ก็พอรู้ถูกผิดและคิดเป็น
เรื่องโลกกลมโลกแบนมันแสนเก่า
เป็นตรรกะขี้เมาและขี้เหม็น
พี่ก็เคยเมาเช้าและเมาเย็น
เสียใจที่ไม่เห็นพี่เหมือนเดิม
จากนั้น นายเกษียร เตชะพีระ ศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ.
ได้เขียนกลอน ถึงหงา คาราวาน อีกต่อหนึ่ง มีเนื้อความว่า
ใครเห็นต่างถือว่ารักทักษิณหมด
สองตาเหล่มองคดแคบได้ที่
โลกย่นเหลือสองข้างกว้างแค่นี้
ไม่ให้มีจุดยืนอื่นอีกแล้ว
มองดูความจริงซีคุณพี่หงา
เกลียดทักษิณแต่ไล่ฆ่าคนเป็นแถว
ทำลายการเลือกตั้งหมดทั้งแนว
ประชาธิปไตยแห้วกันทั้งบาง
ศิลปินร้องเพลงแต่งสัมผัส
เอาชั่วดีชี้วัดทั้งบนล่าง
ความซับซ้อนย้อนแย้งแห่งเส้นทาง
ความแตกต่างหลากหลายสลายวับ
ยึดทิฐิแห่งตนเป็นที่ตั้ง
ใช้อำนาจเข้าพังให้แตกดับ
ใครไม่ยอมพร้อมงอก็บังคับ
ให้ทุกคนยอมรับธรรมะกู
กางปีกหลีกบินจากเมือง
นกไหนไม่เหลืองโดนข่มขู่
สีเดียวให้มีคือสีตู
จับฉีกปีกคู่ขยะแผ่นดิน
คาราวานหลงทางเข้าพงรก
ในวันที่กระจกตกแตกสิ้น
ไม่สอดส่องมองใหม่ไม่ยลยิน
เหลือแต่ความเคยชินกับเกลียดชัง