"ทักษิณเอาอย่างประชาธิปไตยปลอม ๆ ของฝรั่ง มาใช้ในระบบอุปถัมภ์ให้เกิดรัฐสภาจอมปลอมและรัฐบาลจอมปลอม ตลอดจนมวลชนจอมปลอม ก็เป็นสิ่งซึ่งพึงสำเหนียกอย่างยิ่ง"
ยก 'ปรีดี พนมยงค์' นักอุปถัมภ์ผู้ปิดทองหลังพระ
ส.ศิวรักษ์ กล่าวถึงสมัย ‘นายปรีดี พนมยงค์’ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น เพื่อใช้การศึกษาเป็นพาหะให้คนเข้าถึง ‘ธรรม’ คือ ความถูกต้องดีงาม ซึ่งตรงกันข้ามกับ ‘อธรรม’ คือความชั่วร้ายลามกอนาจาร รวมถึงความทุจริตต่าง ๆ โดยเอาธรรมมะมาเป็นศาตราที่แหลมคม เพื่อทิ่มตำความอยุติธรรมและความทุจริต ตลอดจนการเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ
ซึ่งการก่อตั้งมหาวิทยาลัยนั้นถือว่ามาจากการอุปถัมภ์บำรุงของนายปรีดี พนมยงค์ เช่น โอนสำนักพิมพ์ นิติศาสตร์ พร้อมโรงพิมพ์ส่วนตัวให้เป็นของมหาวิทยาลัย ธนาคารเอเชียซึ่งตั้งขึ้นก็ยกให้เป็นทุนไว้ใช้อุดหนุนสถาบันการศึกษาแห่งใหม่นี้ อีกทั้งเงินเดือนที่ได้รับจากการบริหารมหาวิทยาลัยและการสอนได้โอนให้เป็นทุนสำหรับนักศึกษาที่ยากจน
แล้วจะว่านี่ไม่ใช่การอุปถัมภ์ดอกหรือ เป็นแต่ผู้อุปถัมภ์ไม่ต้องการชื่อเสียงหรือบุญคุณใด ๆ ผู้ที่ได้รับการอุปถัมภ์ก็ไม่รู้ว่า การอุปถัมภ์ดังกล่าวมีต้นตอมาอย่างไร
“หัวใจแห่งการศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น เพื่อปลุกจิตสำนึกของนักศึกษาให้มีความรู้และมีคุณธรรม โดยพร้อมที่จะไปมีบทบาททางการเมือง ตามแนวทางของประชาธิปไตย คือพร้อมที่จะลงไปสมัครรับเลือกตั้งให้ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยวิธีนี้หามีการอุปถัมภ์ใด ๆ ไม่ เพราะถ้าการเลือกตั้งพัวพันกับการอุปถัมภ์ นั่นคือ ก้าวแรกแห่งความหายนะทางระบอบประชาธิปไตย”
ปัญญาชนสยาม กล่าวอีกว่า เมื่อได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แล้ว นายปรีดีมีบทบาทอย่างสำคัญในการอุปถัมภ์ให้นักการเมืองที่มีแวว ได้ก้าวหน้าในรัฐสภา จนได้เป็นถึงรัฐมนตรี ได้ร่วมในขบวนการเสรีไทย เพื่ออุทิศตนในการกู้บ้านกู้เมือง แม้เมื่อเลิกสงครามแล้ว เกิดสันนิบาตเอเชียอาคเนย์ขึ้น นายเตียง ศิริขันธ์ ถึงกับได้รับเลือกให้เป็นประธานของหน่วยงานนานาชาติแห่งใหม่นี้ด้วย ซึ่งมีอายุก่อนอาเซียนกว่า 4 ทศวรรษ
พลเมืองถูกทักษิณมอมเมา อีกไม่ช้าดวงตาเห็นธรรม
กระทั่งยุค ‘พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร’ ส.ศิวรักษ์ ระบุว่า ทักษิณเอาอย่างประชาธิปไตยปลอม ๆ ของฝรั่ง มาใช้ในระบบอุปถัมภ์ให้เกิดรัฐสภาจอมปลอมและรัฐบาลจอมปลอม ตลอดจนมวลชนจอมปลอม ก็เป็นสิ่งซึ่งพึงสำเหนียกอย่างยิ่ง
“ถ้าเราเชื่อในพระพุทธพจน์ ว่าทุกคนอาจตรัสรู้ได้ พลเมืองที่ถูกระบอบอุปถัมภ์ของทักษิณมอมเมานั้น อีกไม่ช้าพวกเขาก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม ดังเช่นพวกเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการทักษิณแล้ว” ปัญญาชนสยาม กล่าว และว่า ถ้าเกิดความเข้มแข็งทางจริยธรรม หันเข้าหาศาสตร์แห่งชีวิตที่มีสัจจะ อหิงสา และสันติ ประชาธิปไตยในเมืองไทยก็จะงดงามขึ้นได้จากวิกฤตการณ์ที่เป็นอยู่ในบัดนี้
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวถึงความเข้มแข็งภาคพลเมืองขณะนี้ว่า คนระดับรากหญ้าได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งให้ปรากฏแทบทุกหนทุกแห่ง อาทิ ยายไฮ ขันจันทา กับสมัชชาคนจน จ.อุบลราชธานี หรือนางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และนางภินันท์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์ จ.กาญจนบุรี ตลอดจนกลุ่มต่อต้านเหมืองแร่โปแตซ จ.อุดรธานี ฯ
“นี่คือความเข้มแข็งภาคพลเมือง ซึ่งแทบไม่ได้รับความอุปถัมภ์ใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมกันนั้นเราต้องกล่าวว่าหน่วยงานเอกชนเป็นจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนรากหญ้าเหล่านี้ พวกเอ็นจีโอที่เอาจริงเอาจังก็มี หรือที่ทำเล่น ๆ เพื่อหวังพึ่งการอุปถัมภ์บำรุงจากแหล่งทุนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศก็มี”
ปัญญาชนสยาม ยังวิพากษ์การรับความอุปถัมภ์ทางการเงินของเอ็นจีโอไทยนั้นให้ทั้งคุณและโทษ ดุจดังการรับอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยในสมัยราชาธิปไตย ถ้าใช้อุบายโกศลเป็นตัวชี้วัด รู้จักตัวเราเอง และศักยภาพที่แท้จริงของเรา โดยมีเวลาสำรวจตรวจตราจุดเด่นและจุดด้อยของเรา แล้วรู้จักรับความอุปถัมภ์อย่างอิสระเสรี โดยไม่ยอมให้มีการชักใยอยู่เบื้องหลัง งานของเอ็นจีโอก็น่าจะเดินไปได้ด้วยดี
ยิ่งมีการประสานงานกันอย่างทันท่วงที อย่างมีสามัคคีธรรมเป็นแกนกลาง อย่างปราศจากการเอารัดเอาเปรียบกันและกัน โดนหันไปหาภาคพลเมืองอย่างเท่าเทียม พร้อมที่จะเรียนรู้และเป็นกัลยาณมิตร ดังที่ 'วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์' เป็นตัวอย่างให้เห็นมาก่อนแล้ว
“เอ็นจีโอย่อมวางท่าทีที่ถูกต้องกับการรับความอุปถัมภ์ แต่เอ็นจีโอต้องไม่ตั้งตัวเป็นผู้อุปถัมภ์กับชุมชนรากหญ้าต่าง ๆ ด้วยประการทั้งปวง” .
คัดมาบางส่วน ที่มา
http://www.isranews.org/thaireform/thaireform-talk-interview/thaireform-talk-social/item/28834-favouritism.html
‘ส.ศิวรักษ์’ ยกยุคทักษิณใช้ประชาธิปไตยปลอมอุปถัมภ์มอมเมาพลเมือง
ยก 'ปรีดี พนมยงค์' นักอุปถัมภ์ผู้ปิดทองหลังพระ
ส.ศิวรักษ์ กล่าวถึงสมัย ‘นายปรีดี พนมยงค์’ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้น เพื่อใช้การศึกษาเป็นพาหะให้คนเข้าถึง ‘ธรรม’ คือ ความถูกต้องดีงาม ซึ่งตรงกันข้ามกับ ‘อธรรม’ คือความชั่วร้ายลามกอนาจาร รวมถึงความทุจริตต่าง ๆ โดยเอาธรรมมะมาเป็นศาตราที่แหลมคม เพื่อทิ่มตำความอยุติธรรมและความทุจริต ตลอดจนการเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ
ซึ่งการก่อตั้งมหาวิทยาลัยนั้นถือว่ามาจากการอุปถัมภ์บำรุงของนายปรีดี พนมยงค์ เช่น โอนสำนักพิมพ์ นิติศาสตร์ พร้อมโรงพิมพ์ส่วนตัวให้เป็นของมหาวิทยาลัย ธนาคารเอเชียซึ่งตั้งขึ้นก็ยกให้เป็นทุนไว้ใช้อุดหนุนสถาบันการศึกษาแห่งใหม่นี้ อีกทั้งเงินเดือนที่ได้รับจากการบริหารมหาวิทยาลัยและการสอนได้โอนให้เป็นทุนสำหรับนักศึกษาที่ยากจน
แล้วจะว่านี่ไม่ใช่การอุปถัมภ์ดอกหรือ เป็นแต่ผู้อุปถัมภ์ไม่ต้องการชื่อเสียงหรือบุญคุณใด ๆ ผู้ที่ได้รับการอุปถัมภ์ก็ไม่รู้ว่า การอุปถัมภ์ดังกล่าวมีต้นตอมาอย่างไร
“หัวใจแห่งการศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น เพื่อปลุกจิตสำนึกของนักศึกษาให้มีความรู้และมีคุณธรรม โดยพร้อมที่จะไปมีบทบาททางการเมือง ตามแนวทางของประชาธิปไตย คือพร้อมที่จะลงไปสมัครรับเลือกตั้งให้ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยวิธีนี้หามีการอุปถัมภ์ใด ๆ ไม่ เพราะถ้าการเลือกตั้งพัวพันกับการอุปถัมภ์ นั่นคือ ก้าวแรกแห่งความหายนะทางระบอบประชาธิปไตย”
ปัญญาชนสยาม กล่าวอีกว่า เมื่อได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. แล้ว นายปรีดีมีบทบาทอย่างสำคัญในการอุปถัมภ์ให้นักการเมืองที่มีแวว ได้ก้าวหน้าในรัฐสภา จนได้เป็นถึงรัฐมนตรี ได้ร่วมในขบวนการเสรีไทย เพื่ออุทิศตนในการกู้บ้านกู้เมือง แม้เมื่อเลิกสงครามแล้ว เกิดสันนิบาตเอเชียอาคเนย์ขึ้น นายเตียง ศิริขันธ์ ถึงกับได้รับเลือกให้เป็นประธานของหน่วยงานนานาชาติแห่งใหม่นี้ด้วย ซึ่งมีอายุก่อนอาเซียนกว่า 4 ทศวรรษ
พลเมืองถูกทักษิณมอมเมา อีกไม่ช้าดวงตาเห็นธรรม
กระทั่งยุค ‘พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร’ ส.ศิวรักษ์ ระบุว่า ทักษิณเอาอย่างประชาธิปไตยปลอม ๆ ของฝรั่ง มาใช้ในระบบอุปถัมภ์ให้เกิดรัฐสภาจอมปลอมและรัฐบาลจอมปลอม ตลอดจนมวลชนจอมปลอม ก็เป็นสิ่งซึ่งพึงสำเหนียกอย่างยิ่ง
“ถ้าเราเชื่อในพระพุทธพจน์ ว่าทุกคนอาจตรัสรู้ได้ พลเมืองที่ถูกระบอบอุปถัมภ์ของทักษิณมอมเมานั้น อีกไม่ช้าพวกเขาก็จะได้ดวงตาเห็นธรรม ดังเช่นพวกเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ไม่ต้องการทักษิณแล้ว” ปัญญาชนสยาม กล่าว และว่า ถ้าเกิดความเข้มแข็งทางจริยธรรม หันเข้าหาศาสตร์แห่งชีวิตที่มีสัจจะ อหิงสา และสันติ ประชาธิปไตยในเมืองไทยก็จะงดงามขึ้นได้จากวิกฤตการณ์ที่เป็นอยู่ในบัดนี้
ส.ศิวรักษ์ ยังกล่าวถึงความเข้มแข็งภาคพลเมืองขณะนี้ว่า คนระดับรากหญ้าได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งให้ปรากฏแทบทุกหนทุกแห่ง อาทิ ยายไฮ ขันจันทา กับสมัชชาคนจน จ.อุบลราชธานี หรือนางกรณ์อุมา พงษ์น้อย ภรรยานายเจริญ วัดอักษร กลุ่มรักษ์ท้องถิ่นบ่อนอก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และนางภินันท์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มอนุรักษ์ จ.กาญจนบุรี ตลอดจนกลุ่มต่อต้านเหมืองแร่โปแตซ จ.อุดรธานี ฯ
“นี่คือความเข้มแข็งภาคพลเมือง ซึ่งแทบไม่ได้รับความอุปถัมภ์ใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมกันนั้นเราต้องกล่าวว่าหน่วยงานเอกชนเป็นจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนรากหญ้าเหล่านี้ พวกเอ็นจีโอที่เอาจริงเอาจังก็มี หรือที่ทำเล่น ๆ เพื่อหวังพึ่งการอุปถัมภ์บำรุงจากแหล่งทุนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศก็มี”
ปัญญาชนสยาม ยังวิพากษ์การรับความอุปถัมภ์ทางการเงินของเอ็นจีโอไทยนั้นให้ทั้งคุณและโทษ ดุจดังการรับอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยในสมัยราชาธิปไตย ถ้าใช้อุบายโกศลเป็นตัวชี้วัด รู้จักตัวเราเอง และศักยภาพที่แท้จริงของเรา โดยมีเวลาสำรวจตรวจตราจุดเด่นและจุดด้อยของเรา แล้วรู้จักรับความอุปถัมภ์อย่างอิสระเสรี โดยไม่ยอมให้มีการชักใยอยู่เบื้องหลัง งานของเอ็นจีโอก็น่าจะเดินไปได้ด้วยดี
ยิ่งมีการประสานงานกันอย่างทันท่วงที อย่างมีสามัคคีธรรมเป็นแกนกลาง อย่างปราศจากการเอารัดเอาเปรียบกันและกัน โดนหันไปหาภาคพลเมืองอย่างเท่าเทียม พร้อมที่จะเรียนรู้และเป็นกัลยาณมิตร ดังที่ 'วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์' เป็นตัวอย่างให้เห็นมาก่อนแล้ว
“เอ็นจีโอย่อมวางท่าทีที่ถูกต้องกับการรับความอุปถัมภ์ แต่เอ็นจีโอต้องไม่ตั้งตัวเป็นผู้อุปถัมภ์กับชุมชนรากหญ้าต่าง ๆ ด้วยประการทั้งปวง” .
คัดมาบางส่วน ที่มา http://www.isranews.org/thaireform/thaireform-talk-interview/thaireform-talk-social/item/28834-favouritism.html