เห็นในกระทู้ก่อนหน้านี้มีการแชร์เกี่ยวกับการโดนหลอกในเวียตนาม จึงอยากจะแชร์ประสบการณ์ ที่ได้รับจากการท่องเที่ยวใน เยอรมัน บ้าง อย่างน้อยก็เป็นการแชร์ประสบการณ์ สำหรับนักท่องเที่ยวในห้องบลูเพื่อจะได้เตรียมตัว และเที่ยวได้อย่างมีความสุข ต้นเดือนเมษาต่อเนื่องสงกรานต์นี้ ครอบครัวเราไปเที่ยวเยอรมันกันค่ะ ไปกันเองค่ะ เริ่มจาก เบอร์ลิน มิวนิค การ์มิช ฟุสเซ่น โรเทนเบอร์ก วุซเบอร์ก ไฮเดนเบอร์ก แล้วจบที่โคโลจน์ ตามเส้นทางที่เพื่อนในห้องนี้เที่ยวกันค่ะ อาศัยปรัะสบการณ์ที่มีคนมารีวิว ไว้ค่ะ
วันแรกที่ไปถึงเบอร์ลินเราก็ออกเดินไปตามเส้นทางท่องเที่ยวของเบอร์ลินค่ะ เริ่มจาก Reichtag ไปประตู Brandenburg และเดินไปตามถนน Unter ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ค่ะ จนถึงBerlin Dom ค่ะ วันนั้นเป็นวันธรรมดา คนไม่เยอะมาก มีนักท่องเที่ยวบ้าง ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน ไม่มีคนเอเซีย เลย Berlin Dom สวยค่ะ ขณะที่ถ่ายรูปกันซักพัก ก็มีกลุ่มเด็กชายหญิง วัยรุ่นประมาณ 5-6 คน เดินมาที่ดิฉัน ถือคลิปบอร์ดขนาดA4 มีเอกสาร เกี่ยวกับบริจาคช่วยคนพิการเป็นภาษาเยอรมัน (ดิฉันอ่านไม่ออกเดาเอาจากรูป ) ดิฉันเดินหนี เขาก็เดินตาม ถามว่าพูด ภาษาอังกฤษได้มั๊ย เยอรมันได้มั๊ย ดัชท์ได้มั๊ย (ถามเป็นภาษาอังกฤษ) please please ดิฉันไม่ได้ตอบอะไรส่ายหน้าแล้วเดินหนี สามีดิฉันเดินเข้ามา พวกมันเลยหันไปทางสามีให้แทน ตื้อซักพัก อยู่ๆ มันก็พูด โอเค กับเพื่อนแล้วเดินไป สามีสงสัยว่าโอเคอะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วรู้สึกตัวว่ากระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในแจ็คเก็ตหายไปเลยวิ่งไปดึงเสื้อไว้ มันก็เขวี้ยงกระเป๋าคืนมา ส่วนลูกสองคนอยู่อีกด้านถ่ายรูปห่างออกไปหน่อย ก็โดนกำลังเขียนอะไรอยู่ เมื่อเสร็จเรื่องจากสามีดิฉันเห็นจึงร้องบอกให้ระวังกระเป๋าสตางค์ แต่ลูกไม่ได้ยิน ดิฉันเดินไปหาลูกบอกว่าเนี่ยพ่อโดนเอากระเป๋าสตางค์ไป แต่ได้คืนมา ลูกเช็คดูกระเป๋าสตางค์อยู่ แต่โทรศัพท์มือถือหายไป เขาวิ่งไปตาม พวกมันหนีหายไปแล้ว กระเป๋าสตางค์เขาใส่ไว้ด้านในแจ็คเก็ต แต่โทรศัพท์มือถือเราใช้ถ่ายรูประหว่างที่ถูกขอให้กรอกแบบฟอร์มจึงใส่ในแจ็คเก็ตด้านนอก เพราะมันสะดวกเวลาที่จะหยิบมาใช้อีก และไม่คิดว่าจะเกิดเหตุแบบนี้
เราเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมาหลายที่ก็ระมัดระวังตัวเสมอ กระเป๋าสามีที่ถูกเอาไปมีเงินไม่มากเพราะแยกเก็บเงินส่วนใหญ่และบัตรเครดิต ไว้อีกที่ ในกระเป๋ามีเงินเฉพาะที่คำนวณว่าจะใช้ในหนึ่งวันค่ะ เสียหายไม่มาก แต่เสียความรู้สึกค่ะ เพราะหลังจากนั้นเราไม่กล้า บ้อยู่ในบริเวณที่มีคนเยอะและไม่เดินเที่ยวต่อบริเวณนั้นต่อ(มิวเซียมไอซ์แลนด์) ออกไปเ ที่ยวนอกเบอร์ลินคือไป potsdamเลย ทั้งที่แพลนเป็นวันรุ่งขึ้น
ลืมเล่าไปว่าเราไปแจ้งความด้วยค่ะ ตอนที่เกิดเรื่องไม่มีตำรวจบริเวณนั้นเลย ไปบอกเจ้าหน้าที่ของมิวเซียมว่าเกิดเรื่องอย่างนี้ เขาก็พูดว่าเกิดอีกแล้ว ดิฉันถามว่าจะแจ้งความ เขาแนะนำสถานีให้ แต่ส่ถานี ไกลจากจุดที่เราอยู่มาก เลยเดินออกมาว่าจะเอาไงกันดี ลูกชายเสียดายโทรศัพท์มากเพราะเพิ่งซื้อและมีรูปถ่ายอยู่ในนั้นเยอะม่าก ก็ตกลงว่างั้นเราไปแจ้งความกัน เลยไปถามทางกับร้านค้าแถวนั้น คนเยอรมันคนนี้ให้ความช่วยเหลือดีมากถามว่าจะให้โทรเรียกตำรวจให้เอามั๊ย ดิฉันเห็นว่าเรื่องเพียงเล็กน้อย เรียกตำรวจมาถึงที่จะดูเป็นเรื่องใหญ่ (แต่มาพบทีหลังว่าใน website ของตำรวจเบอร์ลิน มั ให้โทรเรียก ค่ะ คือเราไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเขา) เลยเลือกที่จะไปแจ้งความ ถึงตอนนี้ยังสงสัยว่าเราไปแจ้งความทำไมเพราะมันไม่มีทางได้คืน อยู่แล้ว แต่ ณ ตอนนั้น อารมณ์ทุกคนอยากแจ้งความค่ะ ไปถึงสถานีตำรวจ สถานีอยู่ในตึกซึ่งปิดเงียบไปหมด ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นเลย เดินรอบตึกหาทางเข้าก็ไม้ได้ ยังเอิญเจอผู้หญิงเยอรมันคนนึง มาสถานีตำรวจเหมือนกัน เลยไปถามหาทางเข้า เธอบอกฉันก็หาทางเข้าอยู่เหมือนกัน เธอมาแจ้งความจักรยานหาย ตอนนั้นดิฉันคิดในใจแล้วว่าคนเบอร์ลินยังของหายเลย แล้วเราจะได้คืนเหรอ แต่ว่ามาถึงสถานีแล้วขอแจ้งความซักหน่อย ในที่สุดเธอบอกว่าเธอพูดภาษาเยอรมันได้เธอต้องหาทางเข้าได้ กดปุ่มโน่นนี่ ในทีสุดเราก็ได้เข้าไปแจ้งความค่ะ ตำรวจบอกว่าจะพยายาม เราถามว่ามีกล้องวงจรปิดแถวนั้นหรือเปบ่าแลัวเรามีรูปถ่ายพวก pickpicket พวกนี้แม้จะถ่ายไกลแต่ก็เห็นสภาพเสื้อผ้า การแต่งตัวของพวกมันอยู่ ตำรวจ บอกไม่มีกบ้กล้องวงจรปิดแถวนั้นเลย ความหวังในการได้คืนไม่มีแล้ว เราก็เลยเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวไปและบอกกันว่าเราต้องเที่ยวอย่างสนุก แต่ต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นอีก
ระหว่างทางที่เราเดินทางในเยอรมัน ได้พบคนไทยในรถไฟ ก็มีคนโดนลักษณะนี้ในปารีส เหมือนกัน และแม้กระทั่งมาเปิดอ่านในเน็ตในตอนหลัง มีคนอื่นๆ ก็โดนแบบนี้ไม่เฉพาะที่อิตาลี่ ที่อื่นๆในยุโรป ไม่เว้นแม้แต่สวิส ดิฉันจึงอยากแชร์ประสบการณ์สำหรับคนชอบเที่ยวให้เที่ยวอย่างระมัดระวังและมีความสุขค่ะ หรือหากใครมีคำแนะนำก็แบ่งปันกันนะคะ หลังจากนี้ เราก็ยังไม่หยุดเที่ยวค่ะ
ประสบกาณ์ในเบอร์ลิน
วันแรกที่ไปถึงเบอร์ลินเราก็ออกเดินไปตามเส้นทางท่องเที่ยวของเบอร์ลินค่ะ เริ่มจาก Reichtag ไปประตู Brandenburg และเดินไปตามถนน Unter ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ค่ะ จนถึงBerlin Dom ค่ะ วันนั้นเป็นวันธรรมดา คนไม่เยอะมาก มีนักท่องเที่ยวบ้าง ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน ไม่มีคนเอเซีย เลย Berlin Dom สวยค่ะ ขณะที่ถ่ายรูปกันซักพัก ก็มีกลุ่มเด็กชายหญิง วัยรุ่นประมาณ 5-6 คน เดินมาที่ดิฉัน ถือคลิปบอร์ดขนาดA4 มีเอกสาร เกี่ยวกับบริจาคช่วยคนพิการเป็นภาษาเยอรมัน (ดิฉันอ่านไม่ออกเดาเอาจากรูป ) ดิฉันเดินหนี เขาก็เดินตาม ถามว่าพูด ภาษาอังกฤษได้มั๊ย เยอรมันได้มั๊ย ดัชท์ได้มั๊ย (ถามเป็นภาษาอังกฤษ) please please ดิฉันไม่ได้ตอบอะไรส่ายหน้าแล้วเดินหนี สามีดิฉันเดินเข้ามา พวกมันเลยหันไปทางสามีให้แทน ตื้อซักพัก อยู่ๆ มันก็พูด โอเค กับเพื่อนแล้วเดินไป สามีสงสัยว่าโอเคอะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วรู้สึกตัวว่ากระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในแจ็คเก็ตหายไปเลยวิ่งไปดึงเสื้อไว้ มันก็เขวี้ยงกระเป๋าคืนมา ส่วนลูกสองคนอยู่อีกด้านถ่ายรูปห่างออกไปหน่อย ก็โดนกำลังเขียนอะไรอยู่ เมื่อเสร็จเรื่องจากสามีดิฉันเห็นจึงร้องบอกให้ระวังกระเป๋าสตางค์ แต่ลูกไม่ได้ยิน ดิฉันเดินไปหาลูกบอกว่าเนี่ยพ่อโดนเอากระเป๋าสตางค์ไป แต่ได้คืนมา ลูกเช็คดูกระเป๋าสตางค์อยู่ แต่โทรศัพท์มือถือหายไป เขาวิ่งไปตาม พวกมันหนีหายไปแล้ว กระเป๋าสตางค์เขาใส่ไว้ด้านในแจ็คเก็ต แต่โทรศัพท์มือถือเราใช้ถ่ายรูประหว่างที่ถูกขอให้กรอกแบบฟอร์มจึงใส่ในแจ็คเก็ตด้านนอก เพราะมันสะดวกเวลาที่จะหยิบมาใช้อีก และไม่คิดว่าจะเกิดเหตุแบบนี้
เราเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมาหลายที่ก็ระมัดระวังตัวเสมอ กระเป๋าสามีที่ถูกเอาไปมีเงินไม่มากเพราะแยกเก็บเงินส่วนใหญ่และบัตรเครดิต ไว้อีกที่ ในกระเป๋ามีเงินเฉพาะที่คำนวณว่าจะใช้ในหนึ่งวันค่ะ เสียหายไม่มาก แต่เสียความรู้สึกค่ะ เพราะหลังจากนั้นเราไม่กล้า บ้อยู่ในบริเวณที่มีคนเยอะและไม่เดินเที่ยวต่อบริเวณนั้นต่อ(มิวเซียมไอซ์แลนด์) ออกไปเ ที่ยวนอกเบอร์ลินคือไป potsdamเลย ทั้งที่แพลนเป็นวันรุ่งขึ้น
ลืมเล่าไปว่าเราไปแจ้งความด้วยค่ะ ตอนที่เกิดเรื่องไม่มีตำรวจบริเวณนั้นเลย ไปบอกเจ้าหน้าที่ของมิวเซียมว่าเกิดเรื่องอย่างนี้ เขาก็พูดว่าเกิดอีกแล้ว ดิฉันถามว่าจะแจ้งความ เขาแนะนำสถานีให้ แต่ส่ถานี ไกลจากจุดที่เราอยู่มาก เลยเดินออกมาว่าจะเอาไงกันดี ลูกชายเสียดายโทรศัพท์มากเพราะเพิ่งซื้อและมีรูปถ่ายอยู่ในนั้นเยอะม่าก ก็ตกลงว่างั้นเราไปแจ้งความกัน เลยไปถามทางกับร้านค้าแถวนั้น คนเยอรมันคนนี้ให้ความช่วยเหลือดีมากถามว่าจะให้โทรเรียกตำรวจให้เอามั๊ย ดิฉันเห็นว่าเรื่องเพียงเล็กน้อย เรียกตำรวจมาถึงที่จะดูเป็นเรื่องใหญ่ (แต่มาพบทีหลังว่าใน website ของตำรวจเบอร์ลิน มั ให้โทรเรียก ค่ะ คือเราไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเขา) เลยเลือกที่จะไปแจ้งความ ถึงตอนนี้ยังสงสัยว่าเราไปแจ้งความทำไมเพราะมันไม่มีทางได้คืน อยู่แล้ว แต่ ณ ตอนนั้น อารมณ์ทุกคนอยากแจ้งความค่ะ ไปถึงสถานีตำรวจ สถานีอยู่ในตึกซึ่งปิดเงียบไปหมด ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นเลย เดินรอบตึกหาทางเข้าก็ไม้ได้ ยังเอิญเจอผู้หญิงเยอรมันคนนึง มาสถานีตำรวจเหมือนกัน เลยไปถามหาทางเข้า เธอบอกฉันก็หาทางเข้าอยู่เหมือนกัน เธอมาแจ้งความจักรยานหาย ตอนนั้นดิฉันคิดในใจแล้วว่าคนเบอร์ลินยังของหายเลย แล้วเราจะได้คืนเหรอ แต่ว่ามาถึงสถานีแล้วขอแจ้งความซักหน่อย ในที่สุดเธอบอกว่าเธอพูดภาษาเยอรมันได้เธอต้องหาทางเข้าได้ กดปุ่มโน่นนี่ ในทีสุดเราก็ได้เข้าไปแจ้งความค่ะ ตำรวจบอกว่าจะพยายาม เราถามว่ามีกล้องวงจรปิดแถวนั้นหรือเปบ่าแลัวเรามีรูปถ่ายพวก pickpicket พวกนี้แม้จะถ่ายไกลแต่ก็เห็นสภาพเสื้อผ้า การแต่งตัวของพวกมันอยู่ ตำรวจ บอกไม่มีกบ้กล้องวงจรปิดแถวนั้นเลย ความหวังในการได้คืนไม่มีแล้ว เราก็เลยเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวไปและบอกกันว่าเราต้องเที่ยวอย่างสนุก แต่ต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นอีก
ระหว่างทางที่เราเดินทางในเยอรมัน ได้พบคนไทยในรถไฟ ก็มีคนโดนลักษณะนี้ในปารีส เหมือนกัน และแม้กระทั่งมาเปิดอ่านในเน็ตในตอนหลัง มีคนอื่นๆ ก็โดนแบบนี้ไม่เฉพาะที่อิตาลี่ ที่อื่นๆในยุโรป ไม่เว้นแม้แต่สวิส ดิฉันจึงอยากแชร์ประสบการณ์สำหรับคนชอบเที่ยวให้เที่ยวอย่างระมัดระวังและมีความสุขค่ะ หรือหากใครมีคำแนะนำก็แบ่งปันกันนะคะ หลังจากนี้ เราก็ยังไม่หยุดเที่ยวค่ะ