จะยืดหยุ่นหรือยึดมั่น

แน่นอนว่าการผูกพันธ์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา ก็เหมือนกับการทำงานนั่นแหละ ไม่ว่าเราจะทำดีแค่ไหนก็ตามแต่ ก็อาจจะทำให้เรื่องอื่นๆมีความผูกพันน้อยลงไปอีก ตัวอย่างเช่น หากเราลดความอ้วน เราก็อาจจะพูดว่า “ฉันจะไม่กินของหวานไปมากกว่านี้อีกแล้ว” ทำให้เราเกิดความผูกพันขึ้นมาจนไม่อยากทำอะไรอย่างอื่นอีก

เมื่อเราเล่นหุ้น เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ก็จะคิดแต่ว่าจะเทหมดหน้าตักหรือถอยหนีออกมา คิดแบบนี้มันช่างไร้สาระสิ้นดี

พวกเราก็รู้ๆอยู่ว่าค่านายหน้าที่เสียไปมันก็ไม่ได้มากมายจนเกิดปัญหาในการเล่นหุ้นของตัวเอง ในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ เราก็ไม่ต้องไปคิดที่จะแก้ไขเรื่องนี้ให้มากเลยก็ได้

จังหวะโอกาสบางครั้งมันก็ช่วยเราได้มากในเรื่องของความยืดหยุ่น จนทำให้สิ่งที่เรายึดมั่นอยู่คลายออกไป และผมก็หวังว่าพวกเราจะได้ความรู้เพิ่มเติมจากเนื้อหาข้างล่างต่อไปนี้


ความยืดหยุ่น

ผมเคยบอกเอาไว้แล้วว่า ผมเล่นหุ้นโดยอาศัยความยืดหยุ่นเป็นแนวทางสายกลาง ทำให้ผมไม่เกิดความสับสนในการเล่นหุ้นมากเกินไป

ความยืดหยุ่นเป็นแนวทางที่จะช่วยให้เราปกป้องเงินทุนกับผลกำไรของตัวเอง เมื่อไรก็ตามที่ผมเล่นหุ้นได้ย่ำแย่จนไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนที่วางเอาไว้ ก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องใช้ความยืดหยุ่นเข้ามาเป็นตัวช่วย โดยผมจะดูในเรื่องของความเสี่ยงผลกำไรขาดทุนในแต่ละครั้ง (ดูจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไปมาและการออกจากตลาดเพื่อฟื้นฟูจิตใจ) โดยทั่วไปผมจะต้องปรับปรุงแก้ไขในเรื่องพวกนี้ โดยจะต้องประเมินแนวทาง Swing Trade ที่ผมใช้อยู่ แล้วก็รักษาระดับความเสี่ยงโดยการหมั่นตรวจสอบเสมอ และก็เฝ้าติดตามการเล่นหุ้นอย่างใกล้ชิด แม้ว่าเงินทุนของผมจะไม่มากเท่าไรก็ตามที



การยึดมั่น

ผมจะไม่เข้าไปเล่นหุ้นจนกว่าผมรู้ว่าจะต้องออกจากตลาดหุ้นยังไง (ออกโดยการตั้งจุดตัดขาดทุน) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่เปลี่ยนแนวทางในการออกจากตลาดเลย บางครั้งสถานการณ์ต่างๆมันก็เปลี่ยนแปลงไป จนผมต้องปรับปรุงแนวทางของตัวเองด้วย

ปัจจัยต่างๆที่อยู่ในตลาดหุ้นอาจทำให้แบบแผนของผมได้รับผลกระทบอยู่บ้าง สมมุติว่าผมขับรถลีมูซีน และทันใดนั้นก็เจอกับทางที่สลับซับซ้อน ผมอาจจะต้องเปลี่ยนเบรกใหม่หรือไม่ก็จะต้องค้นหากุญแจในการฝ่าด่านนี้ไป ผมจะไม่ฝ่าถนนไปหากผมคิดว่าภูมิทัศน์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในกรณีนี้ ทำให้ผมจะต้องเลิกยึดมั่นกับความเสี่ยงที่ได้รับ

ในการเล่นหุ้นแต่ละครั้ง บางครั้งทิศทางการเคลื่อนไหวก็มีการเปลี่ยนแปลงและทำให้สิ่งที่ผมยึดมั่นได้คลายออกไป บางทีหุ้นมันก็เริ่มมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น แต่เราก็จะต้องเฝ้าติดตามดูต่อไปหรือไปเยียวยาความคิดจิตใจตัวเองก่อน มันก็อาจจะทำให้เราเห็นว่าทิศทางเริ่มหยุดนิ่ง Volume ไม่เข้ามา การเคลื่อนไหวเริ่มมีความซับซ้อน และผมก็จะเริ่มเข้าใจแล้วว่าหุ้นตัวนี้มีจุดแข็ง จุดอ่อนยังไงบ้าง มันก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องปลดโซ่ที่ผมได้ยึดมั่นมานาน ไม่ว่าจะราคาหุ้นจะเป็นยังไงก็ตามหรือจะเป็นช่วงเวลาไหนก็ตาม ผมก็เห็นแล้วว่าพฤติกรรมหุ้นตัวนั้นมันจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ถึงจะเข้าไปเล่นได้


แล้วจะยืดหยุ่นหรือยึดมั่นทั้ง 2 อย่างไปเลยล่ะ

จังหวะโอกาสต่างๆทำให้ผมจะต้องใช้ควบคู่ไปทั้ง 2 อย่างทั้งความยืดหยุ่นและยึดมั่น โอกาสจะเกิดขึ้นเมื่อเป้าหมายทำกำไรของผมมาถึงในจุดแรก ทำให้ลบจุดด่างพร้อยได้ในการเคลื่อนไหวราคาหุ้นได้ แต่หุ้นก็อาจจะไม่วิ่งขึ้นไปต่อก็ได้ (นี่แหละคือความยืดหยุ่น) ตัวอย่างนี้ผมก็เลยตั้งเป้าหมายไว้ 2 ทางด้วยกัน ทำให้บางครั้งก็ได้กำไรน้อยบ้าง เยอะบ้าง

ตรงจุดนี้ ผมจะหยุดเล่นหุ้นก็ต่อเมื่อได้ทำการตรวจสอบแล้วว่าจะต้องถอยหนีออกมา ทำให้ผมมีความรู้สึกยึดมั่นกับตัวเองมากขึ้น (บางครั้งราคาหุ้นมักจะชอบอยู่กับที่) วิธีนี้ทำให้ผมลดความเสี่ยงได้มาก แม้ว่าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นต่อไปก็ตาม แต่ยังไงผมก็ไม่มีอะไรเสียหายเลย

แล้วอะไรคือกุญแจที่สำคัญในการเล่นหุ้นแบบสายกลางสำหรับเราล่ะ จะยืดหยุ่นหรือยึดมั่นดีล่ะ สำหรับตัวผมนั้น กุญแจที่สำคัญก็คือจะต้องเทรดหุ้นอย่างโจร !!!

เทรดหุ้นอย่างโจร !!!

ผู้เขียน Jeff White

ผู้แปล Mr.lawrence10

ที่มา : TheStockBandit.net

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่