เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนครึ่งซึ่งนายจ้างก็รู้ (นายจ้างเป็นชาวต่างชาติ)ในวันที่ 8 มีนาคม 57 นายสั่งให้ฉันไปยืนคุมงานซึ่งต้องยืนทั้งวัน พักเที่ยง 1 ชม.
พอเลิกงานกลับมาถึงบ้านเริ่มรู้สึกปวดท้องมากแต่ก็ยังพอทนได้ เพราะคิดว่าตัวเองยืนทั้งวันคงจะปวดเป็นธรรมดา เช้าวันรุ่งขึ้นก็ปวดน้อยลง พอเดินไหวอยู่ จึงไปทำงานตามปรกติ และได้เล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังว่าเราปวดท้องเนื่องจากอะไร และก็ทำงานไปเรื่อยๆจนในขณะเดียวกันนั้นก็มีตกขาวสีขุ่นมาเรื่อยๆ แต่เราก็คิดว่าเป็นเรื่องปรกติก็เลยเฉย จนวันที่ 14 ตอนเช้าเห็นเลือดออกมากผิดปรกติจึงไปหาหมอ และผลตรวจหมอบอกว่าดิฉันเป็น"ภาวะแท้งคุกคาม"จึงให้พัก 7 วัน และทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ดิฉันก็ได้ส่งอีเมลล์ลางานกับเจ้านายและฝ่ายบุคคลพร้อมแนบใบรับรองแพทย์ไปด้วย และโทรแจ้งด้วยวาจากับฝ่ายบุคคลอีกรอบเพื่อยืนยันว่าได้ส่งเมลล์ไปแล้วนะได้รับเมลล์หรือไม่? หลังจากนั้นเลือดก็ยังไม่หยุดไหล ดิฉันจึงไปพบแพทย์ซ้ำอีก และก็ได้แจ้งทางบริษัทฯเหมือนเดิมทุกประการเป็นครั้งที่สอง
จนกระทั่งวันที่ 18 มีนาคม 57 ดิฉันก็ต้องเสียลูกไปเนื่องจากแท้งลูกที่โรงพยาบาล นอนอยู่ที่โรงพยาลสองคืนและออกจากโรงบาลวันที่ 20 มีนาคม 57 ทันที่ที่กลับมาถึงบ้านดิฉันก็รีบส่งเมลล์ลางานและโทรแจ้งฝ่ายบุคคลเช่นเคยเป็นครั้งที่ 3 สรุปว่าดิฉันได้แจ้งลางานตั้งแต่วันที่ 14-31 มีนาคม 57 ก็ได้นอนพักฟื้นที่บ้านจนถึงวันที่ 27 มีนาคม 57 ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองจะไปทำงานไหวแล้วจึงได้โทรหาฝ่ายบุคคลในบ่ายวันนั้น โดยบอกฝ่ายบุคคลว่า เช้าวันที่ 28 มีนาคม 57 ดิฉันจะเข้าไปทำงานตามปรกติซึ่งฝ่ายบุคคลก็ไม่ได้มีข้อท้วงติงแต่อย่างใด พอตกเย็นประมาณ 2 ทุ่มฝ่ายบุคคลโทรมาแจ้งดิฉันว่า "ไม่ต้องเข้ามาทำงานแล้วเพราะทางบริษัทได้ให้อุ๊ออกจากการเป็นพนักงานตั้งแต่สามวันแรกที่ลาป่วยแล้ว"และไม่อนุญาติให้ดิฉันเข้าไปเขียนใบลาออก ไม่ให้เข้าไปเก็บของส่วนตัวไดๆเลย สัญญาจ้างงานที่ดิฉันเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานก็ไม่ให้เอาออกมา และบอกกับดิฉันว่าจะไม่จ่ายเงินเดือน แต่ดิฉันก็ยังขอเข้าไปคุยเผื่อเจ้านายจะเห็นใจบ้างในวันที่ 28 มีนาคม 57 แต่ก็ไม่เป็นผลไดๆ ดิฉันเสียใจมากที่เสียลูกไป อย่างน้อยขอแค่คำว่า "เสียใจด้วยนะเรื่องลูก"ก็ถือว่าเป็นน้ำใจที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้ยินจากปากของฝ่ายบุคคลและเจ้านายชาวต่างชาติเลย บอกแค่ว่า ถ้าดิฉันติดใจเรื่องนี้ ก็ให้ดำเนินเรื่องตามขั้นตอนของกฏหมายเอาแล้วกัน บอกตรงๆว่า ณ ตอนนั้นดิฉันรู้สึกปวดใจมากๆ จุกอกแทบขาดใจ เสียลูกไปแล้ว ยังต้องเสียงานไปพร้อมๆกัน ดิฉันต้องเดินออกมาจากบริษัทแบบเสียใจแทบเดินไม่ไหว ขอความกรุณาจากผู้ใจบุญ ไครก็ได้ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ
และในบ่ายวันนั้นหลังจากที่ออกจากบริษัทมา ดิฉันก็ไปยื่นเรื่องร้องเรียนที่กรมสวัสดิการแรงงานของจังหวัดนั้น ทางเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องก็รีบโทรไปที่บริษัทเพื่อไกล่เกลี่ย ดิฉันก็นั่งฟังเจ้าหน้าที่คุยโทรศัพท์อยู่ข้างหลังดิฉัน มีคำนึงที่สงสัย ที่เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดกับฝ่ายบุคคล ว่า คุณจะไม่จ่ายก็ได้ ถ้าคุณทำเป็น (พูดย้ำตั้งสองครั้ง) ก็นึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถาม คงไม่น่ามีอะไร และเจ้าหน้าที่ก็เดินกลับมาบอกดิฉันว่าทางบริษัทยืนยันจะไม่จ่าย ให้ดิฉันรอ 60 วัน
และวันนี้วันที่ 21 มีนาคม 57 เจ้าหน้าที่กรมแรงงานโทรมานัดให้ดิฉันไปพบกับนายจ้างวันที่ 23 มีนาคม 57 ที่จะถึงนี้ เพราะนายจ้างยืนยันจะไม่จ่าย และจะพาพยานหลักฐานมายืนยันว่าดิฉันขาดงานเกินสามวันจริง แต่ดิฉันไม่ได้กลัวข้อนี้เลยเพราะดิฉันมีหลักฐานคือ ใบรับรองแพทย์ แต่ที่กลัวคือ กลัวความไม่เป็นธรรม กลัวนายจ้างจะสร้างพยานและหลักฐานเท็จ เพราะดิฉันไม่มีไครกล้ามาเป็นพยานให้เลย เพราะถูกนายจ้างขอไว้ทุกคน
ยังงี้ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีค่ะ มีโอกาสที่จะได้รับความเป็นธรรมบ้างมั้ย ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
ฉันถูกไล่ออกเพราะลาป่วยเนื่องจากแท้งลูกและนายจ้างไม่ยอมจ่ายเงินเดือนช่วงที่ลาป่วย ขอคำแนะนำจากผู้รู้กฏหมายด้วยนะค่ะ
พอเลิกงานกลับมาถึงบ้านเริ่มรู้สึกปวดท้องมากแต่ก็ยังพอทนได้ เพราะคิดว่าตัวเองยืนทั้งวันคงจะปวดเป็นธรรมดา เช้าวันรุ่งขึ้นก็ปวดน้อยลง พอเดินไหวอยู่ จึงไปทำงานตามปรกติ และได้เล่าให้เพื่อนที่ทำงานฟังว่าเราปวดท้องเนื่องจากอะไร และก็ทำงานไปเรื่อยๆจนในขณะเดียวกันนั้นก็มีตกขาวสีขุ่นมาเรื่อยๆ แต่เราก็คิดว่าเป็นเรื่องปรกติก็เลยเฉย จนวันที่ 14 ตอนเช้าเห็นเลือดออกมากผิดปรกติจึงไปหาหมอ และผลตรวจหมอบอกว่าดิฉันเป็น"ภาวะแท้งคุกคาม"จึงให้พัก 7 วัน และทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ดิฉันก็ได้ส่งอีเมลล์ลางานกับเจ้านายและฝ่ายบุคคลพร้อมแนบใบรับรองแพทย์ไปด้วย และโทรแจ้งด้วยวาจากับฝ่ายบุคคลอีกรอบเพื่อยืนยันว่าได้ส่งเมลล์ไปแล้วนะได้รับเมลล์หรือไม่? หลังจากนั้นเลือดก็ยังไม่หยุดไหล ดิฉันจึงไปพบแพทย์ซ้ำอีก และก็ได้แจ้งทางบริษัทฯเหมือนเดิมทุกประการเป็นครั้งที่สอง
จนกระทั่งวันที่ 18 มีนาคม 57 ดิฉันก็ต้องเสียลูกไปเนื่องจากแท้งลูกที่โรงพยาบาล นอนอยู่ที่โรงพยาลสองคืนและออกจากโรงบาลวันที่ 20 มีนาคม 57 ทันที่ที่กลับมาถึงบ้านดิฉันก็รีบส่งเมลล์ลางานและโทรแจ้งฝ่ายบุคคลเช่นเคยเป็นครั้งที่ 3 สรุปว่าดิฉันได้แจ้งลางานตั้งแต่วันที่ 14-31 มีนาคม 57 ก็ได้นอนพักฟื้นที่บ้านจนถึงวันที่ 27 มีนาคม 57 ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองจะไปทำงานไหวแล้วจึงได้โทรหาฝ่ายบุคคลในบ่ายวันนั้น โดยบอกฝ่ายบุคคลว่า เช้าวันที่ 28 มีนาคม 57 ดิฉันจะเข้าไปทำงานตามปรกติซึ่งฝ่ายบุคคลก็ไม่ได้มีข้อท้วงติงแต่อย่างใด พอตกเย็นประมาณ 2 ทุ่มฝ่ายบุคคลโทรมาแจ้งดิฉันว่า "ไม่ต้องเข้ามาทำงานแล้วเพราะทางบริษัทได้ให้อุ๊ออกจากการเป็นพนักงานตั้งแต่สามวันแรกที่ลาป่วยแล้ว"และไม่อนุญาติให้ดิฉันเข้าไปเขียนใบลาออก ไม่ให้เข้าไปเก็บของส่วนตัวไดๆเลย สัญญาจ้างงานที่ดิฉันเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานก็ไม่ให้เอาออกมา และบอกกับดิฉันว่าจะไม่จ่ายเงินเดือน แต่ดิฉันก็ยังขอเข้าไปคุยเผื่อเจ้านายจะเห็นใจบ้างในวันที่ 28 มีนาคม 57 แต่ก็ไม่เป็นผลไดๆ ดิฉันเสียใจมากที่เสียลูกไป อย่างน้อยขอแค่คำว่า "เสียใจด้วยนะเรื่องลูก"ก็ถือว่าเป็นน้ำใจที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้ยินจากปากของฝ่ายบุคคลและเจ้านายชาวต่างชาติเลย บอกแค่ว่า ถ้าดิฉันติดใจเรื่องนี้ ก็ให้ดำเนินเรื่องตามขั้นตอนของกฏหมายเอาแล้วกัน บอกตรงๆว่า ณ ตอนนั้นดิฉันรู้สึกปวดใจมากๆ จุกอกแทบขาดใจ เสียลูกไปแล้ว ยังต้องเสียงานไปพร้อมๆกัน ดิฉันต้องเดินออกมาจากบริษัทแบบเสียใจแทบเดินไม่ไหว ขอความกรุณาจากผู้ใจบุญ ไครก็ได้ช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ
และในบ่ายวันนั้นหลังจากที่ออกจากบริษัทมา ดิฉันก็ไปยื่นเรื่องร้องเรียนที่กรมสวัสดิการแรงงานของจังหวัดนั้น ทางเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องก็รีบโทรไปที่บริษัทเพื่อไกล่เกลี่ย ดิฉันก็นั่งฟังเจ้าหน้าที่คุยโทรศัพท์อยู่ข้างหลังดิฉัน มีคำนึงที่สงสัย ที่เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดกับฝ่ายบุคคล ว่า คุณจะไม่จ่ายก็ได้ ถ้าคุณทำเป็น (พูดย้ำตั้งสองครั้ง) ก็นึกสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถาม คงไม่น่ามีอะไร และเจ้าหน้าที่ก็เดินกลับมาบอกดิฉันว่าทางบริษัทยืนยันจะไม่จ่าย ให้ดิฉันรอ 60 วัน
และวันนี้วันที่ 21 มีนาคม 57 เจ้าหน้าที่กรมแรงงานโทรมานัดให้ดิฉันไปพบกับนายจ้างวันที่ 23 มีนาคม 57 ที่จะถึงนี้ เพราะนายจ้างยืนยันจะไม่จ่าย และจะพาพยานหลักฐานมายืนยันว่าดิฉันขาดงานเกินสามวันจริง แต่ดิฉันไม่ได้กลัวข้อนี้เลยเพราะดิฉันมีหลักฐานคือ ใบรับรองแพทย์ แต่ที่กลัวคือ กลัวความไม่เป็นธรรม กลัวนายจ้างจะสร้างพยานและหลักฐานเท็จ เพราะดิฉันไม่มีไครกล้ามาเป็นพยานให้เลย เพราะถูกนายจ้างขอไว้ทุกคน
ยังงี้ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีค่ะ มีโอกาสที่จะได้รับความเป็นธรรมบ้างมั้ย ขอคำแนะนำด้วยค่ะ