My journey บันทึกไว้ในความทรงจำ (นี่ไปทำงานนะ ไม่ใช่ไปเที่ยว)

กราบสวัสดี ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นกระทู้ระลึกความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์
แสดงว่าต้องไม่ใช่ปีสองปีที่แล้วแน่นอน ฮ่าๆๆๆ ไปทำงานก็ด้วย ไปเที่ยวก็หลายที่ ที่ชอบก็มาก ที่เฉยๆก็มี
เลยอยากเล่าให้ฟัง อารมณ์คล้ายรำลึกความหลังนั่นแหละเอาล่ะเริ่มดีกว่า (หลับตาแป๊บ นึกก่อนว่าเริ่มจากอะไรดี ลืม)
ไม่เคยเขียนกระทู้ยาวมากๆๆแบบนี้เลย ขออภัยในความผิดพลาดด้วย _/\_

      ด้วยบุญพาวาสนาส่งที่เมื่อชาติที่แล้วอาจเคยทำบุญด้วยบั้งไฟก็เป็นได้
เลยส่งผลให้ชาตินี้มีโอกาสนั่งเครื่องบินทะยานฟ้าข้ามทวีป(เว่อร์มากกก)
ได้ไปเป็นเด็กฝึกงานโรงเรือนผลิตกล้วยไม้ (gartnerie) ที่เดนมาร์ค ประเทศที่ค่าครองชีพทุกอย่างแสนแพง
อากาศแสนจะหนาวประหนึ่งอยู่ในตู้เย็น ภาษาก็อับด๋อย แล้วมนุษย์ศูนย์สูตรอย่างเราจะอยู่ได้อย่างไร!!!



***Part 1 ชีวิตเด็กฝึกงาน***

1. เมืองที่อยู่ Odense ใครรู้จักมั่ง (ไม่มี้)

      เมื่อไม่รู้ว่า Odense อยู่ตรงไหนวะ ก็ต้องหาข้อมูลล่ะซิ ถามคุณ wiki ได้คำตอบมา 3 บรรทัด (เอ่อ ช่วยได้มากเลยนะ) ตามนี้   [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



2. ชีวิตความเป็นอยู่

      เมืองที่อยู่เป็นเมืองเล็กๆ (Stige) อยู่ห่างจากตัวเมือง Odense ประมาณ 7-8 กม. การเดินทางสะดวกมาก
สามารถปั่นจักรยานไปได้ มีรถเมล์เข้าเมืองทั้งวัน ตรงเวลามากด้วย (เมาส์ตัวเองและเพื่อน-1 เคยตกรถด้วย
แบบว่าเดินไปรอรถเมล์ แล้วรถเมล์วิ่งไปจอดที่ท่ารถห่างไป 100 เมตร เราวิ่งๆๆๆพอจะถึง รถก็ได้เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ
ช่างเป็นภาพที่เจ็บปวดมาก ประมาณว่าแกมาไม่ตรงเวลา ชั้นไม่รอแกหรอก ชิส์)
รถเมล์ที่นี่เค้าจะเป็นแบบว่าถ้าอยู่ในช่วงเวลาที่กำหนด จะไม่ต้องซื้อตั๋วเที่ยวกลับด้วยนะ
เช่น สมมุติว่าเราขึ้นรถเวลา 12.00 น. แล้วเราทำธุระเสร็จตอน 12.45 น.
เราสามารถรอขึ้นรถเมล์ขากลับได้เลยโดยไม่ต้องซื้อตั๋วใหม่อีก รถไฟก็เหมือนกัน
เราสามารถใช้ตั๋วรถไฟไปขึ้นรถเมล์ต่อได้โดยไม่ต้องซื้อตั๋วรถเมล์เพิ่ม เจ๋งจริงๆ



อากาศ
      ช่วงไปถึงใหม่ๆกำลังเข้าหน้าหนาว temp.อยู่ที่ 10-15 c แบบว่าหนาวมากกก
มนุษย์เมืองร้อนไม่เคยเจอ จนคนที่ไปรับคิดว่าอีนี่มันจะตายก่อนทำงานให้ฉันไหมเนี่ย
ถึงแม้ว่าอากาศจะเย็นแต่สดชื่นมากก(จริงๆนะไม่ได้อวยเลยเนี่ย) ในรอบปีก็จะมีช่วงหนาวมาก
ไปจนถึงร้อนแบบบ้านเรา (ประมาณ 30-35 C) ในหน้าร้อน พระอาทิตย์ก็ตกช้าเหลือเกิน
ช้าสุดนี่เกือบๆ 4 ทุ่ม ตี 4 สว่างแล้ว ส่วนหน้าหนาวนี่ บ่าย 3 จะมืดแล้ว กว่าจะสว่างก็นู่น 9 โมงเช้า
แล้วก็ฝนตกเป็นเรื่องปกติ ไปไหนให้พกร่มไว้ด้วย



อาหารการกิน
      
        ช่วงแรกๆ ลำบากนิดหน่อย กินขนมปังดำไม่เป็น เลยกินแต่ นม ใส้กรอก แครอท แตงกวา
และมาม่าที่ขนไปจากเมืองไทย ขอบอกว่านมถูกมากกกก อร่อยด้วย ขนมปังดำนี่เป็นอาหารหลักของชาติเลยนะ
หนักแน่นมาก ยิ่งกว่าข้าวเหนียวอีกนะ อัดแน่นไปด้วยธัญพืช เคี้ยวทีเหมือนบริหารเหงือกและฟันไปในตัว กิน 1 แผ่น
พอเลยเลิก พออยู่ไปนานเริ่มเข้าที่เข้าทาง มีซื้อหม้อหุงข้าวมาหุงข้าวเองด้วย การอยู่ที่นี่จะมาหิวตอน 4 ทุ่มนี่ไม่ได้นะ
ไม่มีให้กิน ร้านปิดหมด ต้องตุนอย่างเดียวเลย โชคดีที่พอทำอะไรกินเองได้เลยไม่อดตาย


(ภาพจาก google ประทับใจจัดเลยไม่มีรูปขนมปังดำเลย)

       ผลไม้ ชาวเดนมาร์คที่บริษัทเราชอบกินกล้วยมากกก แบบว่า ที่ห้องอาหาร จะมีตะกร้าผลไม้ไว้ให้คนงานกิน
กล้วยจะหมดเป็นสิ่งแรก แล้วนอกจากนั้นจะเหลือ แอปเปิ้ล แพร์ กีวี่ อะไรก็ว่าไป อะไรที่ไม่มีคนกิน ฉันก็สบายไป
(เมาส์ตัวเองและเพื่อน-2 ระหว่างทางปั่นจักรยานเข้าเมือง จะมีต้นแอปเปิ้ลที่ใครก็ไม่รู้ปลูกไว้เป็นระยะ
มนุษย์ไทยและมนุษย์เวียดนามผู้สมองไวก็ได้เก็บแอปเปิ้ลเหล่านั้นไว้บริโภคในครัวเรือนอย่างสนุกสนาน
โดยที่มนุษย์เวียดนามบอกว่า “government apple can eat for free O_O”)



3. งานที่ทำ

      ก็งานทั่วไปที่ทำในโรงเรือน ทำทุกอย่างที่เจ้านายสั่งให้ทำ ปลูกต้นไม้ ยกของ กรอกกระถาง  
ต่อ cc trolleys ดูเอกสาร order ต้นไม้ (เอิ่มภาษาเดนมาร์ค) แล้วจัดของตามนั้น เอาจริงๆ อ่านไม่ออกหรอก
เดาได้เป็นคำๆแล้วถามคนพื้นที่เอา แล้วก็รอดมาได้อ่ะนะ ช่วงแรกๆก็คุยกับใครเค้าไม่ค่อยรู้เรื่อง ปรับหูไม่ทัน
ภาษาก็งั้นๆ พอผ่านไปซักพัก สถานการณ์มันบังคับให้ต้องพูด ต้องฟัง มันก็ได้ไปเอง แต่แกรมม่านี่กากมากเลยนะ
ถึงตอนนี้ก็เหอะยังคง still กาก อยู่

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่