ชาวนาไทยในฮอกไกโด
"พี่ขวัญ" เป็นคนไทยที่มาแต่งงานกับชาวนาฮอกไกโด และพี่ขวัญเองก็เป็นคนพะเยาเหมือนกันกับแอดมิน
พี่ขวัญย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อประมาณ 16 ปีก่อน ด้วยความที่ตระกูลของสามีเป็นชาวนา จึงได้เรียนรู้การปลูกข้าวมาตั้งแต่ตอนที่ย้ายมาอยู่เลย เรียกว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่สามี จนตอนนี้ทำนาเก่งกว่าสามีคนญี่ปุ่นอีกค่ะ
พี่ขวัญเล่าว่าช่วงที่ชาวนาฮอกไกโดจะยุ่งมากที่สุดคือช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ส่วนช่วงอื่นๆ ยังพอหายใจหายคอได้บ้าง
ที่ช่วงนั้นยุ่งมากๆ เพราะต้องตั้งโรงเรือน เพาะต้นกล้า ดูแลให้ต้นกล้าโต(คอยรดน้ำ คุมอุณหภูมิ) ดำนา ทำเสร็จก็ต้องเก็บล้างทุกอย่าง ทั้งกระบะเพาะต้นกล้า รถดำนา ไปจนถึงโรงเรือน
และปีนี้พี่ขวัญก็ได้ "พี่ขนม" ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มาจากไทย และ "พี่เหมียว" เพื่อนคนไทยของพี่ขวัญมาช่วยด้วยอีกแรง
วิวตอน 6 โมงเช้า ข้างล่างนั่นคือรถดำนาของบ้านพี่ขวัญ
อาหารเช้าวันนี้ แอดมินกินข้าวผสม บ้านพี่ขวัญจะมีทั้งข้าวกล้องและข้าวขาวติดบ้านไว้เสมอ หุงทีก็หุง 2 หม้อ
แอดมินได้มีโอกาสไปช่วยพี่ขวัญช่วงดำนามา 2 วัน เพราะช่วงนั้นพี่ขวัญขาดแรงคน ช่วยแบบที่พูดได้เต็มปากว่าช่วยจริงๆ
บอกเลยว่าการเป็นชาวนามันไม่ง่ายเลย นี่ขนาดมีเครื่องมือเครื่องใช้ช่วยทุ่นแรงแล้วนะ เรายังต้องใช้แรงกันเยอะมากกกก แบบปวดเนื้อปวดตัวกันไปหลายวัน
งานของที่นี่จะแบ่งกันทำออกเป็น 2 ส่วน คือ ในโรงเรือนและในทุ่งนา
คนที่ทำงานในโรงเรือนจะมีหน้าที่ดึงกระบะเพาะต้นกล้าขึ้นมาจากพื้น เพื่อเอาใส่ในรถให้เต็ม นำน้ำมาฉีดต้นกล้าและล้างก้นกระบะให้สะอาด จากนั้นก็ขับรถขนต้นกล้าไปส่งที่ทุ่งนา
เริ่มงานกันเลยย คนทำงานที่โรงเรือน ต้องนำต้นกล้ามาจากโรงเรือน แล้วฉีดน้ำให้ทั่ว ทำเพื่อไม่ให้ต้นกล้าแห้ง และล้างเศษดินออกจากราก เวลาเอาลงไปปลูกจะได้ไม่ติดเครื่อง
ล้างแล้วก็ขับรถมาส่งที่นาต่อ
ยกกล้าใส่รถดำนา
ส่วนคนที่ทำหน้าที่ในทุ่งนาจะมีหน้าที่นำต้นกล้าเหล่านั้นลงไปปลูกในนาด้วยเครื่องดำนา ซึ่งจะต้องใช้คน 3 คนขึ้นไป 1 คนจะเป็นคนขับรถดำนา ส่วนอีก 2 คนต้องคอยเติมต้นกล้าใส่รถดำนาตอนที่รถทำงาน พอต้นกล้าหมดก็เติมต้นกล้า เติมปุ๋ย และเติมน้ำใส่ในรถดำนา(เติมน้ำเพื่อใช้หล่อลื่นไม่ให้ต้นกล้าติดในเครื่องตอนลงปลูก)
รอบแรกคนขับรถดำนาจะขับวนรอบขอบทุ่งนาก่อน 1 รอบโดยไม่ลงปลูกอะไรเลย
ขับเพื่อขีดเส้นกรอบเพื่อตั้งแถวปลูกแถวแรก และเพื่อเว้นตรงขอบไว้ปลูกแถวสุดท้ายด้วย
คนขับคือพี่เหมียว เวลาตั้งแถวคนขับจะต้องมองแท่งสีส้มข้างหน้าว่าตรงกับเส้นที่เราขีดไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
นอกจากคนขับแล้ว ต้องมีคนอยู่บนรถอีก 2 คนข้างหลัง เพื่อคอยเติมต้นกล้า
ในภาพนี้คือแอดมินกับพี่ขวัญค่า คนขับคือพี่เหมียว
เป็นแบบนี้ค่ะ นอกจากเติมต้นกล้าแล้ว เรายังต้องคอยมองด้วยว่าข้าวที่ลงไปปลูกแล้วมันลงจริงมั้ย เผื่อมีต้นกล้าติดแล้วลงไม่ครบเราต้องตามมาซ่อมทีหลังอีก ขั้นตอนนี้เลยต้องดูให้ดี บางทีปลูกไม่ลึกพอต้นกล้าลอย หรือมีก้อนดินขัดขวางทำให้ปลูกไม่ลงก็ต้องรีบบอกคนขับให้หยุดก่อน แล้วแก้ไข
เติมต้นกล้าแบบนี้
ติดขัดก็ต้องลงมาซ่อม
ความยากของการดำนาที่นี่คือพื้นที่เพาะปลูกกว้าง มีแรงงานน้อย และต้องทำงานแข่งกับเวลา ยิ่งนาอยู่ไกลโรงเรือนยิ่งต้องใช้เวลาขับรถไปส่งต้นกล้านาน
รถขนต้นกล้าต้องมี 2 คัน เพื่อขับมาเปลี่ยน คนขับคันใหม่ก็ต้องมาเอาคันที่หมดกลับไปเติมกล้า จะได้ไม่ขาดช่วง
แอดมินไปช่วย 2 วัน วันแรกอากาศ 20 กว่าองศาแต่แดดเปรี้ยงจนเหงื่อเต็มตัว พอมาวันที่ 2 ฝนตกฟ้าครึ้ม และอุณหภูมิลดลงเหลือ 8 องศา หนาวจนมือแข็ง คือแบบแต่ละคนสั่นกันงั่กๆๆ เลย
พักทานขนมกันวันที่ 2 ตอนนี้คือหนาวของโคตรรรหนาวว ไม่มีอารมณ์จะหยิบอะไรมากินเลย ไม่อยากถอดถุงมือด้วย555
เราต้องกินข้าวกัน 6 โมงเช้า เริ่มงานกัน 7 โมง พักทานข้าวตอนเที่ยง เสร็จงานอีกทีก็หลังจากเก็บล้างรถดำนา ก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า(มีพักเบรกทานขนม 2 ครั้ง) ลองนึกภาพว่ากระบะต้นกล้าเค้ามีเป็น 1,000 แผ่น แล้วนึกดูว่าเราต้องยกขึ้นยกลงกันกี่ครั้งก็คูณเข้าไป งานมันหนักกว่าที่เห็นจริงๆ ค่ะ
ฝากเป็นกำลังใจให้พี่ขวัญกันด้วยนะคะ บอกเลยว่าหญิงไทยแกร่งจริงๆ
ชาวนาไทยในฮอกไกโด🌾 ฉบับปี 2024
"พี่ขวัญ" เป็นคนไทยที่มาแต่งงานกับชาวนาฮอกไกโด และพี่ขวัญเองก็เป็นคนพะเยาเหมือนกันกับแอดมิน
พี่ขวัญย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อประมาณ 16 ปีก่อน ด้วยความที่ตระกูลของสามีเป็นชาวนา จึงได้เรียนรู้การปลูกข้าวมาตั้งแต่ตอนที่ย้ายมาอยู่เลย เรียกว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่สามี จนตอนนี้ทำนาเก่งกว่าสามีคนญี่ปุ่นอีกค่ะ
พี่ขวัญเล่าว่าช่วงที่ชาวนาฮอกไกโดจะยุ่งมากที่สุดคือช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ส่วนช่วงอื่นๆ ยังพอหายใจหายคอได้บ้าง
ที่ช่วงนั้นยุ่งมากๆ เพราะต้องตั้งโรงเรือน เพาะต้นกล้า ดูแลให้ต้นกล้าโต(คอยรดน้ำ คุมอุณหภูมิ) ดำนา ทำเสร็จก็ต้องเก็บล้างทุกอย่าง ทั้งกระบะเพาะต้นกล้า รถดำนา ไปจนถึงโรงเรือน
และปีนี้พี่ขวัญก็ได้ "พี่ขนม" ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มาจากไทย และ "พี่เหมียว" เพื่อนคนไทยของพี่ขวัญมาช่วยด้วยอีกแรง
วิวตอน 6 โมงเช้า ข้างล่างนั่นคือรถดำนาของบ้านพี่ขวัญ
อาหารเช้าวันนี้ แอดมินกินข้าวผสม บ้านพี่ขวัญจะมีทั้งข้าวกล้องและข้าวขาวติดบ้านไว้เสมอ หุงทีก็หุง 2 หม้อ
แอดมินได้มีโอกาสไปช่วยพี่ขวัญช่วงดำนามา 2 วัน เพราะช่วงนั้นพี่ขวัญขาดแรงคน ช่วยแบบที่พูดได้เต็มปากว่าช่วยจริงๆ
บอกเลยว่าการเป็นชาวนามันไม่ง่ายเลย นี่ขนาดมีเครื่องมือเครื่องใช้ช่วยทุ่นแรงแล้วนะ เรายังต้องใช้แรงกันเยอะมากกกก แบบปวดเนื้อปวดตัวกันไปหลายวัน
งานของที่นี่จะแบ่งกันทำออกเป็น 2 ส่วน คือ ในโรงเรือนและในทุ่งนา
คนที่ทำงานในโรงเรือนจะมีหน้าที่ดึงกระบะเพาะต้นกล้าขึ้นมาจากพื้น เพื่อเอาใส่ในรถให้เต็ม นำน้ำมาฉีดต้นกล้าและล้างก้นกระบะให้สะอาด จากนั้นก็ขับรถขนต้นกล้าไปส่งที่ทุ่งนา
เริ่มงานกันเลยย คนทำงานที่โรงเรือน ต้องนำต้นกล้ามาจากโรงเรือน แล้วฉีดน้ำให้ทั่ว ทำเพื่อไม่ให้ต้นกล้าแห้ง และล้างเศษดินออกจากราก เวลาเอาลงไปปลูกจะได้ไม่ติดเครื่อง
ล้างแล้วก็ขับรถมาส่งที่นาต่อ
ยกกล้าใส่รถดำนา
ส่วนคนที่ทำหน้าที่ในทุ่งนาจะมีหน้าที่นำต้นกล้าเหล่านั้นลงไปปลูกในนาด้วยเครื่องดำนา ซึ่งจะต้องใช้คน 3 คนขึ้นไป 1 คนจะเป็นคนขับรถดำนา ส่วนอีก 2 คนต้องคอยเติมต้นกล้าใส่รถดำนาตอนที่รถทำงาน พอต้นกล้าหมดก็เติมต้นกล้า เติมปุ๋ย และเติมน้ำใส่ในรถดำนา(เติมน้ำเพื่อใช้หล่อลื่นไม่ให้ต้นกล้าติดในเครื่องตอนลงปลูก)
รอบแรกคนขับรถดำนาจะขับวนรอบขอบทุ่งนาก่อน 1 รอบโดยไม่ลงปลูกอะไรเลย
ขับเพื่อขีดเส้นกรอบเพื่อตั้งแถวปลูกแถวแรก และเพื่อเว้นตรงขอบไว้ปลูกแถวสุดท้ายด้วย
คนขับคือพี่เหมียว เวลาตั้งแถวคนขับจะต้องมองแท่งสีส้มข้างหน้าว่าตรงกับเส้นที่เราขีดไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
นอกจากคนขับแล้ว ต้องมีคนอยู่บนรถอีก 2 คนข้างหลัง เพื่อคอยเติมต้นกล้า
ในภาพนี้คือแอดมินกับพี่ขวัญค่า คนขับคือพี่เหมียว
เป็นแบบนี้ค่ะ นอกจากเติมต้นกล้าแล้ว เรายังต้องคอยมองด้วยว่าข้าวที่ลงไปปลูกแล้วมันลงจริงมั้ย เผื่อมีต้นกล้าติดแล้วลงไม่ครบเราต้องตามมาซ่อมทีหลังอีก ขั้นตอนนี้เลยต้องดูให้ดี บางทีปลูกไม่ลึกพอต้นกล้าลอย หรือมีก้อนดินขัดขวางทำให้ปลูกไม่ลงก็ต้องรีบบอกคนขับให้หยุดก่อน แล้วแก้ไข
เติมต้นกล้าแบบนี้
ติดขัดก็ต้องลงมาซ่อม
ความยากของการดำนาที่นี่คือพื้นที่เพาะปลูกกว้าง มีแรงงานน้อย และต้องทำงานแข่งกับเวลา ยิ่งนาอยู่ไกลโรงเรือนยิ่งต้องใช้เวลาขับรถไปส่งต้นกล้านาน
รถขนต้นกล้าต้องมี 2 คัน เพื่อขับมาเปลี่ยน คนขับคันใหม่ก็ต้องมาเอาคันที่หมดกลับไปเติมกล้า จะได้ไม่ขาดช่วง
แอดมินไปช่วย 2 วัน วันแรกอากาศ 20 กว่าองศาแต่แดดเปรี้ยงจนเหงื่อเต็มตัว พอมาวันที่ 2 ฝนตกฟ้าครึ้ม และอุณหภูมิลดลงเหลือ 8 องศา หนาวจนมือแข็ง คือแบบแต่ละคนสั่นกันงั่กๆๆ เลย
พักทานขนมกันวันที่ 2 ตอนนี้คือหนาวของโคตรรรหนาวว ไม่มีอารมณ์จะหยิบอะไรมากินเลย ไม่อยากถอดถุงมือด้วย555
เราต้องกินข้าวกัน 6 โมงเช้า เริ่มงานกัน 7 โมง พักทานข้าวตอนเที่ยง เสร็จงานอีกทีก็หลังจากเก็บล้างรถดำนา ก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า(มีพักเบรกทานขนม 2 ครั้ง) ลองนึกภาพว่ากระบะต้นกล้าเค้ามีเป็น 1,000 แผ่น แล้วนึกดูว่าเราต้องยกขึ้นยกลงกันกี่ครั้งก็คูณเข้าไป งานมันหนักกว่าที่เห็นจริงๆ ค่ะ
ฝากเป็นกำลังใจให้พี่ขวัญกันด้วยนะคะ บอกเลยว่าหญิงไทยแกร่งจริงๆ