คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 102
ตอบแทนเรื่องค่าใช้จ่ายในฐานะพ่อของ จขกท นะครับ เผอิญผมเกิดที่เมือง Ithaca สมัยพ่อกับแม่เป็นนักเรียน Cornell และกลับเมืองไทยตอน 5 ขวบ
จนกระทั่งได้กลับไปใหม่ตอนแม่ผมไปเป็น ผอ สำนักงานการท่องเที่ยวที่เมืองนิวยอร์ค เลยได้ติดตามไปเรียนหนังสือตั้งแต่อายุ 15 (เกรด 10 เท่ากับตอนส่งลูกไปพอดี) จนจบป. โท ตอนอายุ 25 การที่ใช้ชีวิตในอเมริกาครบสิบปี ทำให้ลูกๆที่เกิดเมืองไทยได้สัญชาติอเมริกันด้วย จึงทำให้เข้าโรงเรียนได้ทันทีและไม่มีค่าใช้จ่ายในการเรียนโรงเรียนของรัฐนะครับ ทุกอย่างแทบจะฟรีหมด ทั้งรถรับ-ส่งโรงเรียน หนังสือ และอาหารก็แสนจะถูกมื้อละ 25 cent และที่สำคัญลูกพักอาศัยกับญาติสนิทที่มีบ้านอยู่แล้ว เลยลงตัวพอดีครับ
คาดว่าสมัยก่อนน่าจะมีปัญหาเด็กเม็กซิกันหลบเข้าประเทศเพื่อมาเรียนฟรีเป็นจำนวนมาก หลังจากปี 2539 อเมริกาเขาจึงออกกฎหมายไม่อนุญาตให้นักเรียนต่างชาติเรียนโรงเรียนรัฐได้อีกต่อไป ยกเว้นในกรณีนักเรียนแลกแปลี่ยนระดับมัธยม แต่จำกัดให้เรียนแลกเปลี่ยนได้เพียง 1 ปีเท่านั้น ส่วนชั้นประถม ป1-6 ไม่อนุญาตให้นักเรียนต่างชาติเรียนเลย จึงทำให้เป็นเรื่องค่อนข้างยากครับที่เด็กไทยจะได้ไปเรียนแบบถูกๆเหมือนก่อนๆ ไม่งั้นก็ต้องเรียนโรงเรียนประจำหรือ โรงเรียนเอกชน ที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากครับ หากต้องการศึกษาเรื่อง Visa เพิ่มเติม ดูได้ที่นี้นะครับ http://www.4uth.gov.ua/usa/english/travel/visa/new_stud.htm หรืออยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม ก็ยินดีนะครับ
จนกระทั่งได้กลับไปใหม่ตอนแม่ผมไปเป็น ผอ สำนักงานการท่องเที่ยวที่เมืองนิวยอร์ค เลยได้ติดตามไปเรียนหนังสือตั้งแต่อายุ 15 (เกรด 10 เท่ากับตอนส่งลูกไปพอดี) จนจบป. โท ตอนอายุ 25 การที่ใช้ชีวิตในอเมริกาครบสิบปี ทำให้ลูกๆที่เกิดเมืองไทยได้สัญชาติอเมริกันด้วย จึงทำให้เข้าโรงเรียนได้ทันทีและไม่มีค่าใช้จ่ายในการเรียนโรงเรียนของรัฐนะครับ ทุกอย่างแทบจะฟรีหมด ทั้งรถรับ-ส่งโรงเรียน หนังสือ และอาหารก็แสนจะถูกมื้อละ 25 cent และที่สำคัญลูกพักอาศัยกับญาติสนิทที่มีบ้านอยู่แล้ว เลยลงตัวพอดีครับ
คาดว่าสมัยก่อนน่าจะมีปัญหาเด็กเม็กซิกันหลบเข้าประเทศเพื่อมาเรียนฟรีเป็นจำนวนมาก หลังจากปี 2539 อเมริกาเขาจึงออกกฎหมายไม่อนุญาตให้นักเรียนต่างชาติเรียนโรงเรียนรัฐได้อีกต่อไป ยกเว้นในกรณีนักเรียนแลกแปลี่ยนระดับมัธยม แต่จำกัดให้เรียนแลกเปลี่ยนได้เพียง 1 ปีเท่านั้น ส่วนชั้นประถม ป1-6 ไม่อนุญาตให้นักเรียนต่างชาติเรียนเลย จึงทำให้เป็นเรื่องค่อนข้างยากครับที่เด็กไทยจะได้ไปเรียนแบบถูกๆเหมือนก่อนๆ ไม่งั้นก็ต้องเรียนโรงเรียนประจำหรือ โรงเรียนเอกชน ที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากครับ หากต้องการศึกษาเรื่อง Visa เพิ่มเติม ดูได้ที่นี้นะครับ http://www.4uth.gov.ua/usa/english/travel/visa/new_stud.htm หรืออยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม ก็ยินดีนะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 77
พออ่านของน้องแล้วอยากเล่าบ้างแต่คงจะไม่เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการเรียน คงต้องให้น้องเล่าเองครับ ส่วนผมขอเล่าประสบการณ์ที่มีโอกาศได้เข้าHigh School ที่เมกา ผมอยู่เมกามา26ปีแล้วครับ ไปหลังจบม.3 ไปต้นปี1988 เริ่มเรียนที่เกรด10 พอไปถึงก็เรียนภาษา3เดือนที่โรงเรียนสอนภาษาแถวบ้านครับ เป็นโรงเรียนของรัฐบาล เค้าสร้างขึ้นเพื่อสอนคนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ที่นี่ครับ ชาติไหนจะเรียนก็ได้และที่สําคัญเรียนฟรีครับ บุคคลถูกกฎหมายหรึอผิดกฎหมายเรึยนฟรีทุกคนครับ และยังมีสอนคอมพิวเตอร์ฟรีด้วยครับ สมัครเรียนก็ง่าย แค่กรอกใบสมัครแล้วลงเรียนเลย แค่แสดงให้ดูว่าเรามีที่อยู่ที่นี่เท่านั้น เปิดสอนตั้งแต่8โมงเช้าถึง10โมงกลางคืน นี่คือ26ปีที่แล้วนะครับ แต่ตอนนี้ต้องเสียค่าสมัคร แต่ก็ยังถูกครับ เรียนทั้งวัน9สัปดาห์ค่าเรียน60เหรียญครับ บางแห่งก็เก็บ100เหรียญต่อปี
วันแรกของการไปHigh School วันเปิดเทอมโรงเรียนเข้าแปดโมง ผมไปถึง7:45 เดินดูรอบรอบจนถึงแปดโมง ก็ไม่เห็นใคร ยังบ่นกับตัวเองว่า เด็กที่นี่มาโคตรสายเลย แต่ที่ไหนได้ ผมตึ่นเต้นจัด ไปผิดวันครับ ไปก่อนเปิดหนึ่งวัน ภารโรงถามมาทําไมแล้วก็ไล่กลับ
ต่อไปนี้ผมจะเล่าถึงความตื่นตาตื่นใจและประทับใจของวันแรกที่ได้ไปHigh School เหมือนเดิมไปถึง 7:45เดินรอบรอบก่อนเข้าเรียน สื่งแรกที่ทําให้ผมตื่นตาและหายง่วงคือ เห็นเด็กนักเรียนฝรั่งชายหญิงยืนกอดจูบกัน ไม่ใช่คู่เดียว หลายคู่ แล้วก็พูดให้กันว่า I miss you so much, I love you so much. หลังจากนั้นก็เห็นทุกวันจนชิน
ตื่นตาเมื่อเห็นนักเรียน6-7คนเดินอุ้มท้องมาเรียน และประทับใจที่โรงเรียนไม่กีดกันให้เรียนหนังสือขณะมีท้อง และที่สําคัญไปกว่านั่นคือ ทางโรงเรียนเปิดชั้นเรียนพิเศษเรียกว่าชั้น Daycare Class มีไว้สําหรับนักเรียนที่มีลูกแล้วและอยากเรียนหนังสือแต่ไม่มีกําลังที่จะจ้างคนเลี้ยงลูก ก็เอาลูกมาไว้ที่ชั้นDaycareแล้วตัวเองก็ไปเข้าชั้นเรียน ส่วนพี่เลี้ยงก็จะเป็นพวกเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือนักเรียนที่ต้องการเพิ่มcreditsพิเศษให้กับเกรดตัวเองเพื่อที่จะได้เรียนจบเร็วขึ้น
ช่วงเดินหาห้อง งงมากภาษาก็ไม่ได้เรื่องเลย หาก็ไม่ถูก และแล้วก็มีนักเรียนผู้หญิงเวียตนามตัวเล็กเล็กหน้าตาหน้ารักมากเดินเข้ามาทัก และถามว่าเด็กใหม่ใช่ไหม มาจากไหน แล้วก็ขอดูตารางเรียนผม บังเอิญเราได้วิชาเดียวกันคือพละ(P.E) เค้าก็เลยเดินไปด้วยกัน ช่วงที่เดินด้วยกันเค้าก็แนะนําตัว เค้าชื่อTranมาเมกาตอนสามขวบ ผมก็ดีใจมากที่ได้เพื่อนHigh School คนแรกในชีวิต หลังจากจบP.E. Tranก็ขอดูตาราง แล้วก็เดินไปส่งผมที่วิชาเลข ผมก็ขอบคุณแล้วก็แยกย้ายกันไป พอจบเลขผมเดินออกจากห้อง ก้เจอTranยืนรออยู่พร้อมรอยยิ้ม แล้วก็ขอดูตารางและก็พาผมไปวิชาวิทย์แล้วก็แยกไป พอจบวิทย์ก็ออกมาเจออีก แล้วTranก็พาผมไปชั้นต่อไป Tranจะออกมารอและพาผมไปทุกชั้นเรียนครับ เพราะเป็นวันแรกพี่แกกลัวผมหลง เป็นอะไรที่ประทับใจมาก แต่พอขึ้นเกรด 11 และ12ก็ไม่เจอTran เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนวิชาเดียวกันเลย
ช่วงพักเที่ยง นักเรียนก็มาทานอาหารกันที่ลานกลางแจ้ง ที่ผมเห็นคือกลุ่มใครกลุ่มมัน นักเรียนผิวขาวก็กลุ่มหนึ่งแต่จะมีเอเชี่ยนปะปนเล็กน้อย ผิวดําก็กลุ่มหนึ่ง เม็กซิกันก็กลุ่มหนึ่ง เวียตนามก็อีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มเวียตนามเสียงดังมากเพราะพี่แกจับกลุ่มเล่นไพ่ครับอาจารย์ฝรั่งก็มายืนดูด้วย ที่นี่เล่นได้แต่ห้ามพนัน แต่เค้าไปเก็บเงินกันข้างนอกครับ ส่วนกลุ่มผมก็จะมีเด็กไทยอีกคนหนึ่ง (ทั้งโรงเรียนมีผมกับมันที่เป็นคนไทย) มีเกาหลีหนึ่งคน เม็กซิกันหนึ่งคน และก็มีฝรั่งหลุดเข้ามาอีกคน แต่กลุ่มเราจะนั่งใต้ต้นไม้ห่างออกจากลานกลางแจ้งครับ
Food Fight ก็ช่วงพักเที่ยงนี่แหละ ขณะที่กําลังทานอาหารกันอยู่ ก็จะมีคนตะโกนว่า Food Fight หลังจากนั้นก็จะเห็นกล่องนมลอยจากฝากหนึ่งไปยังอีกฝากหนึ่ง คนที่โดนกล่องนมนั้นก็จะปากลับ แค่นั้นละครับ คุณก็จะเห็นทั้ง กระป๋องนํ้า pepsi, coke ไอติมแท่ง รวมทั้งhotdogs และ hamburgers ลอยจากซ้ายไปชวา จากหน้าไปหลัง ทุกคนร่วมแจมกันหมด มีอยู่ครั้งนึง ขณะที่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่ ก็มีสาวเม็กซิกันมายืนข้างข้างผมแล้วพี่แกก็ปา hotdogของเธอไปที่กลางวงแล้วก็หัวเราะ หลังจากนั้นก็มองมาที่ hotdogของผม ผมก็บอกเธอว่า "No..not my hotdog!"
คุณเธอก็หันไปหาเพื่อนของเธอแล้วก็กระชากถ้วยนํ้าแล้วก็ปาไปกลางวง เพื่อนเธอก็หันมาด่าเธอเป็นภาษาสเปนอย่างไม่ยั้ง ผมก็ยืนหัวเราะกลับเพื่อนอย่างสนุก food fight เกิดเป็นประจําครับ
อึ้ง--ภารโรงของโรงเรียนนี้ขับบีเอ็มเปิดประทุน แล้วยิ่งไปกว่านั้นทุกวันหลังเลิกเรียน พี่แกจะมีนักเรียนสาวหน้าตาดีสองสามคนนั่งในรถและคอยโบกมือให้กับเพื่อนนักเรียนหรือนักเรียนที่รอรถรับข้างถนน เพื่อนผมที่นั่งรอรถรับด้วยกัน มันถึงกับพูดขึ้นว่า สักวันมันจะเป็นภารโรงแบบไอ้คนนี้
ก็ขอบคุณน้องเจ้าของกระทู้นี้ที่ทําให้รําลึกชีวิต High Schoolได้ หวังว่าคงไม่ว่าอะไรที่แชร์ยาวขนาดนี้ แต่ถ้าไม่รังเกลียด ผมว่างแล้วจะเล่าอีก ขอบคุณครับ
วันแรกของการไปHigh School วันเปิดเทอมโรงเรียนเข้าแปดโมง ผมไปถึง7:45 เดินดูรอบรอบจนถึงแปดโมง ก็ไม่เห็นใคร ยังบ่นกับตัวเองว่า เด็กที่นี่มาโคตรสายเลย แต่ที่ไหนได้ ผมตึ่นเต้นจัด ไปผิดวันครับ ไปก่อนเปิดหนึ่งวัน ภารโรงถามมาทําไมแล้วก็ไล่กลับ
ต่อไปนี้ผมจะเล่าถึงความตื่นตาตื่นใจและประทับใจของวันแรกที่ได้ไปHigh School เหมือนเดิมไปถึง 7:45เดินรอบรอบก่อนเข้าเรียน สื่งแรกที่ทําให้ผมตื่นตาและหายง่วงคือ เห็นเด็กนักเรียนฝรั่งชายหญิงยืนกอดจูบกัน ไม่ใช่คู่เดียว หลายคู่ แล้วก็พูดให้กันว่า I miss you so much, I love you so much. หลังจากนั้นก็เห็นทุกวันจนชิน
ตื่นตาเมื่อเห็นนักเรียน6-7คนเดินอุ้มท้องมาเรียน และประทับใจที่โรงเรียนไม่กีดกันให้เรียนหนังสือขณะมีท้อง และที่สําคัญไปกว่านั่นคือ ทางโรงเรียนเปิดชั้นเรียนพิเศษเรียกว่าชั้น Daycare Class มีไว้สําหรับนักเรียนที่มีลูกแล้วและอยากเรียนหนังสือแต่ไม่มีกําลังที่จะจ้างคนเลี้ยงลูก ก็เอาลูกมาไว้ที่ชั้นDaycareแล้วตัวเองก็ไปเข้าชั้นเรียน ส่วนพี่เลี้ยงก็จะเป็นพวกเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือนักเรียนที่ต้องการเพิ่มcreditsพิเศษให้กับเกรดตัวเองเพื่อที่จะได้เรียนจบเร็วขึ้น
ช่วงเดินหาห้อง งงมากภาษาก็ไม่ได้เรื่องเลย หาก็ไม่ถูก และแล้วก็มีนักเรียนผู้หญิงเวียตนามตัวเล็กเล็กหน้าตาหน้ารักมากเดินเข้ามาทัก และถามว่าเด็กใหม่ใช่ไหม มาจากไหน แล้วก็ขอดูตารางเรียนผม บังเอิญเราได้วิชาเดียวกันคือพละ(P.E) เค้าก็เลยเดินไปด้วยกัน ช่วงที่เดินด้วยกันเค้าก็แนะนําตัว เค้าชื่อTranมาเมกาตอนสามขวบ ผมก็ดีใจมากที่ได้เพื่อนHigh School คนแรกในชีวิต หลังจากจบP.E. Tranก็ขอดูตาราง แล้วก็เดินไปส่งผมที่วิชาเลข ผมก็ขอบคุณแล้วก็แยกย้ายกันไป พอจบเลขผมเดินออกจากห้อง ก้เจอTranยืนรออยู่พร้อมรอยยิ้ม แล้วก็ขอดูตารางและก็พาผมไปวิชาวิทย์แล้วก็แยกไป พอจบวิทย์ก็ออกมาเจออีก แล้วTranก็พาผมไปชั้นต่อไป Tranจะออกมารอและพาผมไปทุกชั้นเรียนครับ เพราะเป็นวันแรกพี่แกกลัวผมหลง เป็นอะไรที่ประทับใจมาก แต่พอขึ้นเกรด 11 และ12ก็ไม่เจอTran เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนวิชาเดียวกันเลย
ช่วงพักเที่ยง นักเรียนก็มาทานอาหารกันที่ลานกลางแจ้ง ที่ผมเห็นคือกลุ่มใครกลุ่มมัน นักเรียนผิวขาวก็กลุ่มหนึ่งแต่จะมีเอเชี่ยนปะปนเล็กน้อย ผิวดําก็กลุ่มหนึ่ง เม็กซิกันก็กลุ่มหนึ่ง เวียตนามก็อีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มเวียตนามเสียงดังมากเพราะพี่แกจับกลุ่มเล่นไพ่ครับอาจารย์ฝรั่งก็มายืนดูด้วย ที่นี่เล่นได้แต่ห้ามพนัน แต่เค้าไปเก็บเงินกันข้างนอกครับ ส่วนกลุ่มผมก็จะมีเด็กไทยอีกคนหนึ่ง (ทั้งโรงเรียนมีผมกับมันที่เป็นคนไทย) มีเกาหลีหนึ่งคน เม็กซิกันหนึ่งคน และก็มีฝรั่งหลุดเข้ามาอีกคน แต่กลุ่มเราจะนั่งใต้ต้นไม้ห่างออกจากลานกลางแจ้งครับ
Food Fight ก็ช่วงพักเที่ยงนี่แหละ ขณะที่กําลังทานอาหารกันอยู่ ก็จะมีคนตะโกนว่า Food Fight หลังจากนั้นก็จะเห็นกล่องนมลอยจากฝากหนึ่งไปยังอีกฝากหนึ่ง คนที่โดนกล่องนมนั้นก็จะปากลับ แค่นั้นละครับ คุณก็จะเห็นทั้ง กระป๋องนํ้า pepsi, coke ไอติมแท่ง รวมทั้งhotdogs และ hamburgers ลอยจากซ้ายไปชวา จากหน้าไปหลัง ทุกคนร่วมแจมกันหมด มีอยู่ครั้งนึง ขณะที่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอยู่ ก็มีสาวเม็กซิกันมายืนข้างข้างผมแล้วพี่แกก็ปา hotdogของเธอไปที่กลางวงแล้วก็หัวเราะ หลังจากนั้นก็มองมาที่ hotdogของผม ผมก็บอกเธอว่า "No..not my hotdog!"
คุณเธอก็หันไปหาเพื่อนของเธอแล้วก็กระชากถ้วยนํ้าแล้วก็ปาไปกลางวง เพื่อนเธอก็หันมาด่าเธอเป็นภาษาสเปนอย่างไม่ยั้ง ผมก็ยืนหัวเราะกลับเพื่อนอย่างสนุก food fight เกิดเป็นประจําครับ
อึ้ง--ภารโรงของโรงเรียนนี้ขับบีเอ็มเปิดประทุน แล้วยิ่งไปกว่านั้นทุกวันหลังเลิกเรียน พี่แกจะมีนักเรียนสาวหน้าตาดีสองสามคนนั่งในรถและคอยโบกมือให้กับเพื่อนนักเรียนหรือนักเรียนที่รอรถรับข้างถนน เพื่อนผมที่นั่งรอรถรับด้วยกัน มันถึงกับพูดขึ้นว่า สักวันมันจะเป็นภารโรงแบบไอ้คนนี้
ก็ขอบคุณน้องเจ้าของกระทู้นี้ที่ทําให้รําลึกชีวิต High Schoolได้ หวังว่าคงไม่ว่าอะไรที่แชร์ยาวขนาดนี้ แต่ถ้าไม่รังเกลียด ผมว่างแล้วจะเล่าอีก ขอบคุณครับ
ความคิดเห็นที่ 76
อ่านแล้วรำลึกถึงความหลังสมัยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
1 ปีในสหรัฐอเมริกาคุ้มค่ามากๆ ค่ะ
ตอนนั้นไปอยู่เมืองเล็กๆ ชายขอบของรัฐ Tennessee ชื่อเมือง Oneida ทั้งเมืองมีแค่ Wal-mart กับโรงหนังเล็กๆ 1 โรง ร้าน Fastfood ยังมีไม่ครบทุกเจ้าเลย
เช้าขึ้น Host mom ขับรถไปส่ง เลิกเรียนตอนเย็นกลับรถโรงเรียน
เราเขียนยาว ขอซ่อนไว้ใน spoil จะได้ไม่เกะกะสายตานะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1 ปีนั้นเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้เราเติบโต มีความมั่นใจในตัวเอง ถ้าไม่ได้ 1 ปีนั้น เราคงไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง และชีวิตอาจจะไม่ดีจนมาถึงทุกวันนี้ก็ได้
1 ปีในสหรัฐอเมริกาคุ้มค่ามากๆ ค่ะ
ตอนนั้นไปอยู่เมืองเล็กๆ ชายขอบของรัฐ Tennessee ชื่อเมือง Oneida ทั้งเมืองมีแค่ Wal-mart กับโรงหนังเล็กๆ 1 โรง ร้าน Fastfood ยังมีไม่ครบทุกเจ้าเลย
เช้าขึ้น Host mom ขับรถไปส่ง เลิกเรียนตอนเย็นกลับรถโรงเรียน
เราเขียนยาว ขอซ่อนไว้ใน spoil จะได้ไม่เกะกะสายตานะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1 ปีนั้นเป็นประสบการณ์ที่ดี ทำให้เราเติบโต มีความมั่นใจในตัวเอง ถ้าไม่ได้ 1 ปีนั้น เราคงไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง และชีวิตอาจจะไม่ดีจนมาถึงทุกวันนี้ก็ได้
ความคิดเห็นที่ 49
ตอบความเห็นที่ 9:
งานอดิเรกของคนทั่วๆไปนี่ไม่แน่ใจนะครับ แต่เพื่อนผมคนนึงเขาว่างๆก็จะวาดรูป คนนี้วาดรูปสวยมาก บางคนก็มีไปจ็อกกิ้ง บางคนก็ไปทำงานตามพวกร้านอาหาร ตอนนี้ผมก็ทำเป็น busser คอยวิ่งเก็บโต๊ะตั้งโต๊ะที่ร้านอาหารไทยฮะ ที่นี่เด็กนักเรียนทำงานไม่ใช่เรื่องแปลกครับ พอขึ้นม. 5-6 ก็จะหางานพิเศษทำกันแล้ว รายได้ก็ ถ้าทำร้านอาหาร ตอนเย็นถ้าคนเยอะๆก็ประมาณ 40 ดอล บวกค่าชั่วโมงไปอีกก็คงได้เกือบๆ 60-70 ดอล เป็นเงินไทยก็ 1200 บาทฮะ รายได้ดีมาก ยิ่งถ้าเรายังเด็กอยู่ยังอยู่กับพ่อแม่ เงินที่เราได้ก็เป็นของเรา ไม่ต้องเอาไปใช้จ่ายอะไร
แต่งานอดิเรกคนที่นี่เขาจริงจังกันฮะ วันไหนเสาร์อาทิตย์พวกกลุ่มผู้ชายบางคนก็ชวนกันไปเดินเขา บางคนที่เขาเล่นเปียโนเล่นดนตรีก็มีเรียนพิเศษจริงจัง ลูกพี่ลูกน้องผมที่โตที่นี่เขาเรียนเต้นแทบทุกวันเลย แต่พวกเฉื่อยๆก็มีนะ แบบอยู่บ้านนอนเล่นอ่านหนังสือเล่นเกม
อาจารย์ที่นี่ใจดีกับเด็กมากครับ ดูแลดีสุดๆ คือ ใช่ เขาปฎิบัติกับเราแบบผู้ใหญ่ แต่ว่าเขาก็จะคอยเสนอความช่วยเหลืออะไรต่างๆ ว่าเข้าใจตรงนี้ไหม ต้องการมานัดคุยพิเศษวันไหนๆมั้ย อะไรแบบนี้ ถ้าเกิดเขาสังเกตว่ช่วงนี้เราส่งงานช้า หลับในห้อง ก็จะมานั่งคุยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ช่วยหาแนวทางแก้ไข ที่นี่รู้สึกเรียนสบายกว่าไทยมากครับ ที่ไทยถ้าส่งงานไม่ตรงตามกำหนด ตัดคะแนน! ที่นี่ก็จะอะลุ้มอะหล่วยกันมากหน่อย แต่นักเรียนบางคนก็ยังบ่นนะ ว่าเรียนหนักอย่างนู้นอย่างนี้ ทั้งๆที่โรงเรียนสามโมงครึ่งก็เลิกแล้ว เริ่มเรียนก็สายโด่ง เก้าโมงนู่น อยากเห็นถ้ามาเรียนที่ไทยนี่คงตาย 55555
วิชาที่ชอบตอนนี้ที่สุดคือ Facing History ครับ มันเป็นวิชาที่ดีมาก มีสอนในหลายๆโรงเรียน นี่เว็บไซต์ครับ https://www.facinghistory.org/ คือมันจะสอนให้นักเรียนมีแนวคิดที่ถูกต้องในเรื่องของพวกสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย ให้โตไปแล้วมีการตัดสินใจที่ถูกต้องอะไรแนวๆนี้ครับ น่าสนใจมากวิชานี้ ตอนเทอมแรกเรียนเรื่อง Jewish Diaspora สาเหตุที่ชาวยิวถูกขับไล่ แล้วก็โยงมาเรื่อง Holocaust ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจในสงครามโลกครั้งที่สองของเมกาและพวกประเทศอื่น ถึงเรื่องวิธีที่ฮิตเลอร์ครองประชาชนอะไรแบบนี้ฮะ ต่อมาก็เรียนเรื่องปัญหาในตะวันออกกลาง แล้วก็นักเรียนแต่ละคนก็จะได้จับฉลากเป็นตัวแทนจากประเทศๆหนึ่ง อย่างของผมได้เป็นประธานาธิบดีอิรัค แล้วเราจะใช้เวลาสามเดือนศึกษาเกี่ยวกับประเทศนั้นให้ดีที่สุด ศึกษาทั้งประวัติศาสตร์ พวก foreign relations, interview จากผู้นำประเทศนั้นเพื่อเอามาตีความว่าเขาคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับหัวข้อนั้น มีศึกษาความสัมพันธ์ต่อประเทศและผู้น้ำอื่นๆ และยังต้องหาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะโดนโจมตีได้ และต้องหาข้อแก้ตัว พอครบสามเดือนก็จะมีโต้วาทีที่ดุเดือดมาก เพราะแต่ละคนก็หาข้อมูลกันมาเต็มที่ มีทั้งพวกกลุ่ม US ที่มีทั้งโอบาม่า Joe Biden มีทั้งพวกอิสราเอล netanyahu มี al-qaeda, hezbollah ของอิยิปท์ก็มี morsi กับ mubarak สองคนนี้ก็จะเถียงกันเองเรื่องใครถูกใครผิด แล้วก็มีกลุ่ม human rights กบุ่มนี้จะคอยโจมตีประเทศที่ริดรอนสิทธิประชาชน ซึ่ง assad เขาก็โดนไปเต็มๆ นี่คลิปของปี 2009 ครับ https://www.youtube.com/watch?v=GThVnsI8xCY&list=PL1A5A15E18043A6C1
เดี๋ยวว่างๆจะมาเล่าเรื่องวิชานี้ต่อนะครับ
ตอบความคิดเห็นที่ 13:
วิชาบังคับก็มีพวกภาษา เลข วิทย์ อะไรพวกนี้ครับ พวกกลุ่มเนิร์ดกลุ่มพวกคูลๆก็มีครับ พวกเนิร์ดก็จะที่ดูส่วนใหญ่ก็ไม่อ้วนก็ผอมแห้งไปเลย ใส่แว่นกันหมด พวกคูลๆก็ชอบใส่เสื้อผ้ามีแบรนด์กัน ใส่ไอ้พวกรองเท้าเว่อร์ใหญ่ๆน่ะครับ ส่วนใหญ่เป็นพวกเด็กรวย แล้วก็มีพวกปกติธรรมดา ของผมนี่ก็ขลุกอยู่ที่ห้องศิลปะมากหน่อย คนก็นิสัยดีฮะ
เหยียดผิวที่โรงเรียนนี่ไม่มีครับ เรื่องใหญ่มาก ถ้าเกิดใครไปด่ากันว่าไอ้ดำไอ้เหลืองนี่ โดนประนามจากทั้งโรงเรียนครับ แต่ก็เพราะว่าโรงเรียนนี้มันค่อนข้างจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีเขาเลยซีเรียสเรื่องนี้กัน ที่นี่เขาละเอียดอ่อนกับพวก racial issues มาก เราต้องระวังดีๆเวลาพูดถึงเรื่องนี้ อย่างไปล้อเพลงอินเดียว่าตลกอย่างนี้ไม่ได้นะ โดนครับ ต้องระวังดีๆ
เรื่องพวกโอเน็ทเอเน็ทกับสอบเข้ามหาลัยไม่แน่ใจครับ เดี๋ยวจะไปสอบถามคุณพ่อคุณแม่ให้
งานอดิเรกของคนทั่วๆไปนี่ไม่แน่ใจนะครับ แต่เพื่อนผมคนนึงเขาว่างๆก็จะวาดรูป คนนี้วาดรูปสวยมาก บางคนก็มีไปจ็อกกิ้ง บางคนก็ไปทำงานตามพวกร้านอาหาร ตอนนี้ผมก็ทำเป็น busser คอยวิ่งเก็บโต๊ะตั้งโต๊ะที่ร้านอาหารไทยฮะ ที่นี่เด็กนักเรียนทำงานไม่ใช่เรื่องแปลกครับ พอขึ้นม. 5-6 ก็จะหางานพิเศษทำกันแล้ว รายได้ก็ ถ้าทำร้านอาหาร ตอนเย็นถ้าคนเยอะๆก็ประมาณ 40 ดอล บวกค่าชั่วโมงไปอีกก็คงได้เกือบๆ 60-70 ดอล เป็นเงินไทยก็ 1200 บาทฮะ รายได้ดีมาก ยิ่งถ้าเรายังเด็กอยู่ยังอยู่กับพ่อแม่ เงินที่เราได้ก็เป็นของเรา ไม่ต้องเอาไปใช้จ่ายอะไร
แต่งานอดิเรกคนที่นี่เขาจริงจังกันฮะ วันไหนเสาร์อาทิตย์พวกกลุ่มผู้ชายบางคนก็ชวนกันไปเดินเขา บางคนที่เขาเล่นเปียโนเล่นดนตรีก็มีเรียนพิเศษจริงจัง ลูกพี่ลูกน้องผมที่โตที่นี่เขาเรียนเต้นแทบทุกวันเลย แต่พวกเฉื่อยๆก็มีนะ แบบอยู่บ้านนอนเล่นอ่านหนังสือเล่นเกม
อาจารย์ที่นี่ใจดีกับเด็กมากครับ ดูแลดีสุดๆ คือ ใช่ เขาปฎิบัติกับเราแบบผู้ใหญ่ แต่ว่าเขาก็จะคอยเสนอความช่วยเหลืออะไรต่างๆ ว่าเข้าใจตรงนี้ไหม ต้องการมานัดคุยพิเศษวันไหนๆมั้ย อะไรแบบนี้ ถ้าเกิดเขาสังเกตว่ช่วงนี้เราส่งงานช้า หลับในห้อง ก็จะมานั่งคุยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ช่วยหาแนวทางแก้ไข ที่นี่รู้สึกเรียนสบายกว่าไทยมากครับ ที่ไทยถ้าส่งงานไม่ตรงตามกำหนด ตัดคะแนน! ที่นี่ก็จะอะลุ้มอะหล่วยกันมากหน่อย แต่นักเรียนบางคนก็ยังบ่นนะ ว่าเรียนหนักอย่างนู้นอย่างนี้ ทั้งๆที่โรงเรียนสามโมงครึ่งก็เลิกแล้ว เริ่มเรียนก็สายโด่ง เก้าโมงนู่น อยากเห็นถ้ามาเรียนที่ไทยนี่คงตาย 55555
วิชาที่ชอบตอนนี้ที่สุดคือ Facing History ครับ มันเป็นวิชาที่ดีมาก มีสอนในหลายๆโรงเรียน นี่เว็บไซต์ครับ https://www.facinghistory.org/ คือมันจะสอนให้นักเรียนมีแนวคิดที่ถูกต้องในเรื่องของพวกสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย ให้โตไปแล้วมีการตัดสินใจที่ถูกต้องอะไรแนวๆนี้ครับ น่าสนใจมากวิชานี้ ตอนเทอมแรกเรียนเรื่อง Jewish Diaspora สาเหตุที่ชาวยิวถูกขับไล่ แล้วก็โยงมาเรื่อง Holocaust ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจในสงครามโลกครั้งที่สองของเมกาและพวกประเทศอื่น ถึงเรื่องวิธีที่ฮิตเลอร์ครองประชาชนอะไรแบบนี้ฮะ ต่อมาก็เรียนเรื่องปัญหาในตะวันออกกลาง แล้วก็นักเรียนแต่ละคนก็จะได้จับฉลากเป็นตัวแทนจากประเทศๆหนึ่ง อย่างของผมได้เป็นประธานาธิบดีอิรัค แล้วเราจะใช้เวลาสามเดือนศึกษาเกี่ยวกับประเทศนั้นให้ดีที่สุด ศึกษาทั้งประวัติศาสตร์ พวก foreign relations, interview จากผู้นำประเทศนั้นเพื่อเอามาตีความว่าเขาคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับหัวข้อนั้น มีศึกษาความสัมพันธ์ต่อประเทศและผู้น้ำอื่นๆ และยังต้องหาสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะโดนโจมตีได้ และต้องหาข้อแก้ตัว พอครบสามเดือนก็จะมีโต้วาทีที่ดุเดือดมาก เพราะแต่ละคนก็หาข้อมูลกันมาเต็มที่ มีทั้งพวกกลุ่ม US ที่มีทั้งโอบาม่า Joe Biden มีทั้งพวกอิสราเอล netanyahu มี al-qaeda, hezbollah ของอิยิปท์ก็มี morsi กับ mubarak สองคนนี้ก็จะเถียงกันเองเรื่องใครถูกใครผิด แล้วก็มีกลุ่ม human rights กบุ่มนี้จะคอยโจมตีประเทศที่ริดรอนสิทธิประชาชน ซึ่ง assad เขาก็โดนไปเต็มๆ นี่คลิปของปี 2009 ครับ https://www.youtube.com/watch?v=GThVnsI8xCY&list=PL1A5A15E18043A6C1
เดี๋ยวว่างๆจะมาเล่าเรื่องวิชานี้ต่อนะครับ
ตอบความคิดเห็นที่ 13:
วิชาบังคับก็มีพวกภาษา เลข วิทย์ อะไรพวกนี้ครับ พวกกลุ่มเนิร์ดกลุ่มพวกคูลๆก็มีครับ พวกเนิร์ดก็จะที่ดูส่วนใหญ่ก็ไม่อ้วนก็ผอมแห้งไปเลย ใส่แว่นกันหมด พวกคูลๆก็ชอบใส่เสื้อผ้ามีแบรนด์กัน ใส่ไอ้พวกรองเท้าเว่อร์ใหญ่ๆน่ะครับ ส่วนใหญ่เป็นพวกเด็กรวย แล้วก็มีพวกปกติธรรมดา ของผมนี่ก็ขลุกอยู่ที่ห้องศิลปะมากหน่อย คนก็นิสัยดีฮะ
เหยียดผิวที่โรงเรียนนี่ไม่มีครับ เรื่องใหญ่มาก ถ้าเกิดใครไปด่ากันว่าไอ้ดำไอ้เหลืองนี่ โดนประนามจากทั้งโรงเรียนครับ แต่ก็เพราะว่าโรงเรียนนี้มันค่อนข้างจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีเขาเลยซีเรียสเรื่องนี้กัน ที่นี่เขาละเอียดอ่อนกับพวก racial issues มาก เราต้องระวังดีๆเวลาพูดถึงเรื่องนี้ อย่างไปล้อเพลงอินเดียว่าตลกอย่างนี้ไม่ได้นะ โดนครับ ต้องระวังดีๆ
เรื่องพวกโอเน็ทเอเน็ทกับสอบเข้ามหาลัยไม่แน่ใจครับ เดี๋ยวจะไปสอบถามคุณพ่อคุณแม่ให้
ความคิดเห็นที่ 86
"ความคิดเห็นที่ 45
เปรียบเทียบกันซะเห็นความแตกต่างเลย
ผมว่าการนำระบบทั้งสองแบบมาเปรียบเทียบกัน มันดูไม่ค่อยเหมาะสมนะครับ
เพราะว่า ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ของเขากับเรา มันแตกต่างกันมากเกินไปครับ"
นี่คือตัวอย่างของการศึกษาอบรมของไทยโต้งๆ เลยนะคะ
=> คนไทยไม่ชอบเปิดหูเปิดตายอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างจากของตัวเอง อะไรๆ ก็เอาธรรมเนียมเก่าแก่ดั้งเดิมมาอ้าง
น้องเขาทำอะไรไม่สมควรตรงไหนคะ
น้องเขาแบ่งปันประสบการณ์ เขาได้เห็นได้รู้อะไรใหม่ๆ ก็อยากจะเล่าให้ผู้อื่นรับทราบประดับความรู้
อายุน้อยแค่นี้ แต่เขียนได้สละสลวยนุ่มนวลน่าอ่าน แถมแสดงให้เห็นว่ามีความรอบรู้และรู้จักสังเกตสังกา และรู้จักพินิจพิจารณา ตรึกตรอง ไม่มองอะไรอย่างฉาบฉวยอย่างที่เห็นๆ กันในพันทิปเป็นประจำ
น่าชมเชยและส่งเสริมมากกว่าค่ะ
นี่คือวิธีส่งเสริมสร้างความมั่นใจและความสร้างสรรค์ของเยาวชนค่ะ ไม่ควรไปติไปดุว่าเวลาเขารู้จักออกความคิดเห็นหรือ รู้จักคิดคำนึงตรึกตรองเกี่ยวกับสังคมภายนอกค่ะ
ถ้าส่งเสริมให้น้องทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อีกหน่อยจะเก่งมาก มีความมั่นใจมีความคิดสร้างสรรค์อย่างดีทีเดียวค่ะ และจะเป็นคนที่น่ารักมากๆยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
เปรียบเทียบกันซะเห็นความแตกต่างเลย
ผมว่าการนำระบบทั้งสองแบบมาเปรียบเทียบกัน มันดูไม่ค่อยเหมาะสมนะครับ
เพราะว่า ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ของเขากับเรา มันแตกต่างกันมากเกินไปครับ"
นี่คือตัวอย่างของการศึกษาอบรมของไทยโต้งๆ เลยนะคะ
=> คนไทยไม่ชอบเปิดหูเปิดตายอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างจากของตัวเอง อะไรๆ ก็เอาธรรมเนียมเก่าแก่ดั้งเดิมมาอ้าง
น้องเขาทำอะไรไม่สมควรตรงไหนคะ
น้องเขาแบ่งปันประสบการณ์ เขาได้เห็นได้รู้อะไรใหม่ๆ ก็อยากจะเล่าให้ผู้อื่นรับทราบประดับความรู้
อายุน้อยแค่นี้ แต่เขียนได้สละสลวยนุ่มนวลน่าอ่าน แถมแสดงให้เห็นว่ามีความรอบรู้และรู้จักสังเกตสังกา และรู้จักพินิจพิจารณา ตรึกตรอง ไม่มองอะไรอย่างฉาบฉวยอย่างที่เห็นๆ กันในพันทิปเป็นประจำ
น่าชมเชยและส่งเสริมมากกว่าค่ะ
นี่คือวิธีส่งเสริมสร้างความมั่นใจและความสร้างสรรค์ของเยาวชนค่ะ ไม่ควรไปติไปดุว่าเวลาเขารู้จักออกความคิดเห็นหรือ รู้จักคิดคำนึงตรึกตรองเกี่ยวกับสังคมภายนอกค่ะ
ถ้าส่งเสริมให้น้องทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อีกหน่อยจะเก่งมาก มีความมั่นใจมีความคิดสร้างสรรค์อย่างดีทีเดียวค่ะ และจะเป็นคนที่น่ารักมากๆยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ
แสดงความคิดเห็น
สิ่งที่ได้จากการไปเรียนต่อ highschool ที่อเมริกา
ไม่นึกว่าคนจะให้ความสนใจกันขนาดนี้ ขอบคุณมากนะครับ ตอนนี้ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำไปแล้ว เดี๋ยวพวกคำถามต่างๆจะกลับไปถามพ่อแม่ให้นะครับ แล้วจะกลับมาตอบ ขอบคุณมากๆครับ
- - - - -
ผมมาเรียนต่อม.4 ที่เมกาครับ เป็นเมืองเล็กๆชื่อ Ithaca รัฐ Newyork เมืองที่มีมหาลัย Cornell น่ะครับ ก็ได้มาสัมผัสชีวิตของนักเรียนไฮสคูลเมืองนอกที่เห็นๆกันในซีรีย์ว่ามันเป็นยังไงซักที รวมถึงระบบการศึกษาของที่นี่ เลยอยากมาแบ่งปันครับ เริ่มเลยแล้วกันนะครับ
นี่ก็เป็นเดือนที่แปดกว่าๆแล้วที่มาเรียนอยู่ที่นี่ โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่มันเป็นโรงเรียนทางเลือกครับ เป็นโรงเรียนไม่ใหญ่ เล็กๆอบอุ่นน่ารัก เพราะฉะนั้นก็จะมีการคัดกรองนักเรียนหน่อยทำให้สภาพบรรยากาศมันดูค่อนข้างปลอดภัยแล้วก็ไม่วุ่นวายเกินไปสำหรับนักเรียนต่างชาติที่เพิ่งมาใหม่ครับ นี่ก็สาเหตุนึงที่ผมเลือกเรียนโรงเรียนนี้แทนโรงเรียนไฮสคูลใหญ่ที่คนอื่นเขาไปเรียนกัน
ขอเริ่มที่เรื่องพวกตารางเรียนนะครับ ที่นี่เขาไม่ได้แบ่งเป็นห้องๆกันแบบ ห้องมอ 4/1 อะไรแบบนี้ เขาแบ่งกันตามวิชาที่เราเลือกครับ ไม่ว่าจะใครอยู่ชั้นไหนก็มาเจอกันได้ถ้าลงเรียนวิชาเดียวกันช่วงเวลาเดียวกันครับ เพราะฉะนั้นคือก็จะไม่มีห้องเป็นของตัวเอง เราก็จะได้เจอได้เรียนกับคนอื่นทุกระดับชั้น เขาให้เราเลือกตารางเรียนตามความสนใจของตัวเองด้วย มันก็จะมีพวกหลักๆที่เราต้องเรียนเช่น เลข(เลขจะมีแยกเป็น เลขbeginner intermediate advance ด้วย) ประวัติศาสตร์ ภาษา(ที่นี่ภาษาที่สองที่เขาจะเรียนจะเป็นพวก ฝรั่งเศษ สเปน อะไรพวกนี้ แต่เขาเริ่มเรียนช้ากว่าเราเยอะเลย) วิทยาศาสตร์ อะไรพวกนี้ครับ ที่เหลือเราเลือกตามใจชอบ ใครอยากเรียนวาดรูป ดนตรี กีฬา อะไรก็เลือกไป ไม่มีบังคับ
สำหรับพวกอาหารการกินนี่ เขาไม่ได้ให้เราเลือกซื้อเองนะครับ เขาจะทำมาให้ แต่ที่ดีมากคือ มันจะมีสลัดบาร์สำหรับคนอยากกินสลัด แล้วก็อาหารปกติ ก็มีพวก พิซซ่า เบอร์เกอร์ ไก่อบ อาหารเม็กซิกัน หมูนู่นไก่นี่อะไรหลากหลาย แต่ที่ดีมากก็คือ ครอบครัวไหนรายได้ต่ำกว่าที่เขากำหนด จะได้อาหารฟรีหรือไม่ก็ลดราคา เหลือแค่ประมาณ 15 บาทแค่นั้นเอง ถูกมากกก อาหารก็อร่อยด้วย อย่างผมไปนี่ 30 บาทเท่ากับ 1 ดอลลาร์เอง ก็ถือว่ารายได้ไม่ถึง ก็สบายไป เติมเท่าไหร่ก็ไม่ลำบากใจ
ที่น่าสนใจคือที่นี่คนเป็นมังสวิรัติเยอะมาก เรียกได้ว่าทุกๆ 6-7 คนจะต้องมีมังสวิรัติอย่างน้อย 1 คน อยู่ รร ไทยไม่เห็นจะเคยเจอ ไปถามเขามาว่าทำไมเขาเลือกเป็น บางคนก็บอกว่าเพราะไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ บางคนก็บอกเพาะคิดว่ามัน healthy กว่า
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าคนที่นี่เขาดีกว่าเด็กไทยคือ เขาจริงจังมาก เขาดูโตทางด้านความคิดความอ่านมากกว่าเด็กไทยหลายเท่า(โตกว่าทางร่างกายด้วยนะ บางคนดูแล้วนี่แบบ นี่เอ็งมอสามเรอะ กล้ามเป็นมัด) เขามักจะคิดอะไรกันจริงๆจังๆ อย่างมอสามนี่มานั่งถกกันเรื่องโตไปจะไปทำงานอะไรแนวไหนแล้ว บางคนก็มานั่งคุยกันเรื่องโลกร้อน เรื่องรักๆไคร่ๆมั่ง เรื่องหางานทำ เรื่องอยากจะปรับปรุงระบบการเรียนอย่างไร บางคนขนาดมานั่งถกเรื่องการเมืองเรื่องตะวันออกกลางกันแล้ว โหดมั้ยล่ะ แล้วแต่ละคนดูมีงานอดิเรกกันจริงจัง มีเพื่อนผู้หญิงคนนึง เขาถักถุงมือกับตุ๊กตากัปตันเมกาไปให้เพื่อนเขาอ่ะ คิดดูซิ มันจริงจังกันขนาดไหน เพื่อนๆไทยเท่าที่เห็นรอบตัวมีแต่ซื้อๆๆ คนที่นี่เขาดูจะชอบทำเองกันมากกว่า มีคนนึงเขาคอสเพลย์มาโรงเรียนเป็นลิงค์จากเกมเซลด้า ชุดเขานี่ดูโปรมาก ปรากฏทำเองด้วย บอกตรงๆเลยว่าทึ่ง
แต่ว่ามันก็มีทางด้านไม่ดีด้วย เนื่องจากความคิดความอ่านเขาโตกันแล้วก็เลยดูเหมือนจะออกแนวแบบแก่แดดๆ โตเกินวัย มีความมั่นใจในตัวเองสูง บางคนนี่แต่งตัวมาโรงเรียนยังกะจะไปต่อคลับที่ไหน กระโปรงสั้นมากกก แถมมีถุงน่องตาข่ายๆอีก คอเสื้อก็จะลึกไปไหน เด็กบางคนนี่แค่มอหนึ่งมอสองเขาก็แต่งหน้าดัดผมทาลิปสติกกันแล้ว เรื่องการแต่งตัวไม่ต้องพูดถึง มองแล้วสายตาเสียเอา
ตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงในวิชาประวัติศาสตร์จะจัดปาร์ตี้ฉลองงานโต้วาทีเสร็จครับ คราวนี้ก็มีมาถามกันไหนกลุ่มเฟซบุ๊คประมาณว่า ใครจะเอาเหล้ามารึปล่าว คนจัดงานก็บอกว่าเขาไม่มีนะ แต่ถ้าจะเอามาก็ไม่ขัด แล้วก็มีคนอื่นเข้ามาแจมเยอะแยะเลยว่าเฮ้ยๆ เดี๋ยวเราเอามานะหนึ่งขวด แต่ระวังๆกันหน่อยนะ อย่าให้พ่อแม่รู้ อ่านแล้วบอกตรงๆว่าอึ้งไปเลย ความจริงแล้วสังคมผมที่ไทยอาจจะแคบก็ได้นะถึงไม่รู้เรื่องแบบนี้ที่ไทยก็มี แต่คือพวกที่คุยๆกันนี่ ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะมีมาชวนกันกินเหล้าแบบนี้ อายุก็เท่าๆกัน
มีรุ่นพี่คนนึงมาเล่าให้ฟังครับ ว่าเขาเคยไปปาร์ตี้นึง ก็คนในคลาสผมที่พูดถึงนี่แหละ มีแบบกินเหล้ากันเมา มีสูบกัญชา(กัญชาหาง่ายมากเมืองนี้ ฮิปปี้เยอะ) มีมากอดจูบนัวเนียกัน เห็นมีบอกว่าบางคนลงไป เอ่อ ทำอะไรซักอย่างตรงเป้าผู้ชาย ฟังแล้วตอนแรกไม่อยากจะเชื่อ อายุก็ 16-18 กันทั้งนั้น
ที่ดีๆก็มีเยอะนะครับ ที่โรงเรียนนี้เขามีระบบที่ดีมาก เขาจะมีประชุมรวมทั้งโรงเรียนซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆอาทิตย์เรียกว่า ASM(all school meeting) ซึ่งใครมีอะไรอยากบ่นอยากคอมเพลนก็มาบ่นกันที่นี่ เสร็จแล้วก็จะมีคนจดพวกหัวข้อต่างๆที่ถูกนำมาพูดแล้วก็จะเอาไปเสนอวิธีแก้ไขแล้วก็โหวตกันรอบหน้าว่าใครเห็นด้วยใครไม่เห็นด้วย ถ้าเกิดว่าผ่าน ก็จะนำไปใช้ปรับปรุงโรงเรียน เช่น สมมุติว่านาย A มาบ่นว่าอยากให้โรงเรียนมีตู้กดน้ำอุ่น ก็จะมีคนจด proposal นี่ไว้ ครั้งต่อไปก็จะมาพูดคุยกันว่าใครเห็นด้วยไม่เห็นด้วย แล้วก็จะโหวต ถ้าเกิดผ่าน ก็จะส่งต่อให้ฝ่ายนั้นๆจัดการติดตั้งตู้กดน้ำอุ่น เป็นต้น เพราะฉะนั้นมันก็จะทำให้โรงเรียนพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็คนที่โรงเรียนนี้นิสัยดีมากกก เขาสุภาพกันมาก รู้สึกสุภาพกว่าที่ไทยอีก อย่างสมมุติยืมอะไรเราไปก็ไม่ส่งต่อกันไปใช้ทั่วห้อง พูดกับเราก็สุภาพ ไม่แกล้งอะไรกันโง่ๆ ไม่มีพวกจับกลุ่มแก๊งกันรวมหัวแบนคนที่เกลียดขี้หน้า ไม่มีพวก bully เลย แต่ก็เพราะเป็นโรงเรียนเล็กด้วย และคนเมืองนี้ค่อนข้างจะมีสติปัญญาด้วย (เห็นลงข่าวว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่คนหัวดีมีการศึกษามากที่สุดในอเมริกา)
สิ่งหนึ่งที่ชอบคือ โรงเรียนนี่ support LGBT(lesbian gay bisexual transgender) กันอย่างเต็มที่ มีทั้งกลุ่มช่วยเหลือ มีคลับหลังเลิกเรียน มีอีเวนท์เรียกร้องสิทธิให้กับกลุ่ม LGBT มีวันนึงเค้ามีสติกเกอร์ให้ให้เราเขียนแปะเสื้อว่า "I'm silent because _____" คือให้เราเขียนสาเหตุที่วันนี้เราจะเงียบเพื่อประท้วงความไม่เป็นธรรมที่เกย์ได้รับ เพราะฉะนั้นวันนั้นทั้งวันโรงเรียนจะเงียบผิดปกติเพราะคนกว่าครึ่งเขาเลือกร่วมโครงการ
นี่ก็คงจะคร่าวๆที่จะเล่าให้ฟังนะครับ ถ้าจะเอาทั้งหมดมีอีกยาว ก็ขอฝากไว้เท่านี้นะครับ เผื่อใครจะได้อะไรจากที่เขียนมา
ต่อความเห็นที่ 49, 91 ครับ