เรื่องราวของเทพบุตรปีศาจ - จักรพรรดิคาลิกูล่า

กระทู้สนทนา
คนไทยเรามีคำภาษิตว่า "ต้นร้ายปลายดี" เพื่อหมายถึงสถานการณ์แรกเริ่มหรือผู้คนที่มีภูมิหลังไม่ดีงาม แต่สุดท้ายก็ผ่านพ้นอุปสรรคจนพบกับความดีงามในภายหลังได้ในที่สุดนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม คำๆนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับคนบางคน เพราะคนบางอาจจะเปน "ต้นดีปลายร้าย" ก็เปนได้ครับ และในกรณีของเทพบุตรปีศาจผู้เรืองนามผู้หนึ่งที่ผมกำลังจะเล่าถึง ก็คงจะเปนอย่างประเภทหลังเปนแน่...

เทพบุตรปีศาจที่ผมว่านั้นก็คือ "จักรพรรดิคาลิกูล่า" นั่นเองครับ

ดังที่ผมได้เกริ่นกล่าวถึงไปแล้วในตอนที่แล้วว่า คาลิกูล่าจัดว่าเปนหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของโรมัน แต่ก็ถูกจัดลำดับว่าเปนหนึ่งในสองทรราชย์ผู้ลือนามแห่งยุคไปเสียได้

แน่นอนครับว่า เมื่อเรากล่าวถึงทรราชย์แล้ว เรามักนึกถึงกษัตริย์โฉดผู้โหดเหี้ยม ราชันย์ชั่วช้าผู้กดขี่ราษฎรและรังแกขุนนางซื่อสัตย์จนทำให้เกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

ทว่า เคยมีใครย้อนคิดกลับไปบ้างไหมว่า ทำไมโลกของเราจึงบังเกิดมีทรราชย์ขึ้นมาได้?

ในกรณีของคาลิกูล่านั้นเปนเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเราจะมาเกาะแกะและเสาะแซะชีวิตของพระองค์กันดูครับ...

คาลิกูล่ามีนามเดิมตามผู้เปนบิดาคือ "ไกอุส จูลิอุส ไคซาร์ ออกุสตุส เจอร์มานิคุส" หรือที่เรียกสั้นๆว่า "เจอร์มานิคุส" นั้นล่ะครับ โดยบิดาของพระองค์มีศักดิ์เปนคนในตระกุลไกอาหรือจูลิไออันสืบทอดมาแต่จูลิอุส ซีซาร์เหมือนกันครับ และยังเปนวีรบุรุษสงครามเยอร์มานิคเสียด้วยล่ะครับ

เพราะความที่มีพ่อเปนนายทหารใหญ่ แถมเปนวีรบุรุษสงครามอีกต่างหาก เด็กชายเจอร์มานิคุสจึงเติบโตมาท่ามกลางการประคบประหงมอย่างดีเช่นลูกผู้ดีไฮโซทั้งหลาย และเพราะความที่เด็กน้อยผู้นี้ชอบแต่งเครื่องแบบทหารแต่เด็กๆ จึงทำให้พวกทหารในสังกัดของบิดามักเรียกเขาว่า "คาลิกูล่า" อันเปนนามล้อมาจาก "คาลิก้า" รองเท้าสานแบบทหารโรมันนั่นเอง

แต่แล้ว ชีวิตอันสวยงามของเจอร์มานิคุสหรือคาลิกูล่าก็มีอันต้องล่มสลายลง เมื่อบิดาของเขามีเหตุให้ล้มป่วยและเสียชีวิตอย่างเปนปริศนา หลังจากบิดาท่านได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเข้าให้...

เรื่องนี้เขากระซิบกันให้แซ่ดว่า งานนี้เปนคำสั่ง "ยาสั่งตาย" ของจักรพรรดิเฒ่าทิเบริอุส ผู้เปนทั้งเจ้าเหนือหัวและผู้นำในราชสกุลไกอาเสียเอง ดังที่ผมได้เล่าไปในตอนที่แล้วว่า ในช่วงปลายรัชกาลนั้น จักรพรรดิทิเบริอุสเริ่มประสาทหลอนและกลายเปนตาแก่เสียสติไป และพระองค์ก็เริ่มออกคำสั่งเข่นฆ่าผู้คนที่ทรงคิดว่า "ไม่จงรักภักดี" แบบไม่มีการไต่สวนหรือให้ยื่นอุธรณ์แก่ต่างแต่อย่างใด

หลังจากบิดาของเขาสิ้นชีพลงแล้ว มารดาของพระองค์ก็ถูกจับแต่งเข้ากับองค์จักรพรรดิ ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนจะเปนเรื่องดีที่เด็กน้อยคนนี้จะได้มีพ่อบุญธรรมเปนถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน

แต่ในเมื่อพระบิดาบุญธรรมดันเปนตะแก่สติแตกแบบนี้แล้ว งานนี้เราจะหาความดีงามได้อันใดล่ะครับ?

หลังจากคาลิกูล่าได้ย้ายบ้านเข้ามาอยู่ในพระตำหนักของทิเบริอุสแล้วนั่นล่ะครับ นอกจากเขาจะต้องทนกับอารมณ์แบบขึ้นๆลงๆ ซึ่งเน้นไปทางลงมากกว่าขึ้นของทิเบริอุสแล้ว เด็กน้อยยังได้ประจักษ์กับโลกอันลี้ลับ สยดสยอง และวิปริตอย่างสุดจะบรรยายจากบิดาบุญธรรมของเขาเองอีกด้วย...

เอาล่ะครับ ในความตอนต่อไปขอให้ท่านทั้งหลายทำใจอ่านให้ดีๆ ใครที่มีผ้าเช็ดปากหรือกระดาษทิชชู่อยู่ใกล้ตัวก็รีบนำมาอุดปากอุดจมูกตัวเองเสีย หาไม่แล้วจะได้กระอักกันเลอะหน้าจอคอมพิวเตอร์เปนแม่นมั่น...

ในบันทึกเล่าว่า ณ พระตำหนักลับของทิเบริอุสนั้นเต็มไปด้วยความลับอันลามกกักขฬะโสโครกอย่างสุดจะบรรยาย ไม่ว่าจะเปนการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ที่เล่นกันถึงตาย (ปกติเขาเล่นกันไม่ถึงตายหรอกครับ หนังมันก็โม้ไปอย่างนั้นเอง) การทรมานนักโทษด้วยวิธีวิปริตต่างๆนานา แต่กิจกรรมที่จักรพรรดิเฒ่าทรงโปรดปรานมากที่สุดคือการเสพสังวาสหมู่ โดยไม่เกี่ยงงอนว่าจะเปนถั่วขาวหรือถั่วดำ

เอ่อ เอาเปนว่าผมเล่าแค่นี้พอละกันนะครับ เพราะมันไม่มีความจำเริญใจเลยแม้แต่น้อย...

ลองคิดดูสิครับว่า เด็กชายวัยกระเตาะที่นอกจากจะต้องโดนผู้เปนบิดาบุญธรรมรังแกโขกสับต่างๆนานาแล้ว เขายังต้องโตมาในสังคมอันวิปริตวิตถารแบบนี้เปนเวลานานปี มันจะเปนยังไง...

หากจะว่ากันตรงๆ คาลิกูล่าจัดว่าเปนเด็กหนุ่มหน้าตาดีมากเลยล่ะครับ (ดูจากภาพประกอบ) แต่ลงว่าต้องอยู่ในโลกของการนองเลือดและน้ำกามแบบนี้แล้ว จิตใจของเขาจะเปนอย่างไรไปได้เล่า?

จะด้วยเหตุว่าทรงหักโหมราชกิจบนเตียงกับเหล่า "นางบำเรอ" และ "นายบำเรอ" เกินขีดจำกัด หรือด้วยพระโรคอันใดไม่ทราบได้ จักรพรรดิทิเบริอุสก็มีอันสวรรคตลงอย่างสงบเมื่อพระชนมายุได้ ๗๗ ชันษา ในปี ค.ศ.๓๗

แต่เรื่องนี้ พวกชาววังเขาก็กระซิบกันให้แซ่ดว่า ในคืนก่อนวันสวรรคตนั้น คาลิกูล่าได้เข้าไปดูอาการประชวรของพระบิดาบุญธรรม และได้ทำการตรวจชีพจรที่พระศอ (คอ) นานและหนักไปหน่อย ทำให้ทิเบริอุสหายใจไม่ออกจนหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี และหนีไม่พ้นไปในที่สุดครับ

ในทันทีที่ทิเบริอุสสวรรคตแล้ว คาลิกูล่าก็ชิงประกาศตนว่า เขาคือรัชทายาทผู้ชอบธรรมของทิเบริอุส เพราะพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งให้เขาเปนองค์รัชทายาทก่อนสวรรคตแล้ว - ว่างั้น

ในความเปนจริงแล้ว ทิเบริอุสก็มีพระโอรสของตัวเองครับ แต่ว่าพระโอรสองค์นี้ยังทรงพระเยาว์นัก งานนี้พวกวุฒิสมาชิกและเหล่านายทหารก็ไม่ขัดข้องอะไรหรอกครับ เพราะพวกตนก็เหลือจะทนกับจักรพรรดิวิตถารเต็มทนแล้ว สู้ๆตายไปเสียให้สิ้นรำคาญก็ดีเหมือนกัน (วะ) และกอปรกับว่าเจอร์มานิคุสหรือคาลิกูล่าคนนี้ยังเปนชายหนุ่มรูปงามดูภูมิฐานสมเปนบุตรแห่งเจอร์มานิคุสผู้ล่วงลับ ย่อมจะดีกว่าเอายุวจักรพรรดิน้อยมานั่งบัลลังก์ให้เสียเวลาต้องมาเลี้ยงดู

ดังนั้น รัฐสภาจึงประกาศยอมรับให้คาลิกูล่าขึ้นเปนจักรพรรดิองค์ที่ ๓ แห่งจักรวรรดิโรมันในที่สุดครับ

เมื่อแรกเริ่มครองราชย์นั้น คาลิกูล่าจัดว่าเปนจักรพรรดิผู้ปรีชาพระองค์หนึ่งครับ เพราะพระองค์ทรงบริหารราชกิจด้วยความขยันขันแข็ง ทรงบริหารราชการแผ่นดินร่วมกับรัฐสภาด้วยกันเปนอย่างดีเฉกเช่นในรัชกาลองค์ปฐมวงศ์ และนอกจากนั้นพระองค์ก็ทรงประกาศลดภาษี แต่เพิ่มงบประมาณให้กับกรมท่าและกลาโหม เพื่อกระตุ้นการค้าระหว่างประเทศและพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

งานนี้เหล่าวุฒิสมาชิกและเหล่าราษฎรก็เริ่มจะยิ้มออกล่ะครับ หลังจากที่ต้องทนกับความวิปริตวิปลาสของทิเบริอุสมาหลายปี เพราะคิดว่างานนี้แผ่นดินโรมันคงจะปลอดไร้ทรราชย์อย่างที่เคยเปนมาอีกแล้ว...

แต่แล้ว...ลางร้ายก็เริ่มปรากฏ เมื่อจู่ๆคาลิกูล่าทรงประกาศแต่งตั้งให้ม้าศึกคู่พระทัยนามว่า "อินเซตุส" ขึ้นเปนกงสุลซะงั้น!

งานนี้ก็ทำเอาตาค้างกันทั้งสภาล่ะครับ จู่ๆพี่แกนึกอะไรเอาสัตว์หน้าขนมารับตำแหน่งอันทรงเกียรติในสภาได้ยังไง

แต่ก็คงไม่มีอะไรน่าตะลึงตึงๆไปยิ่งกว่าการที่พระองค์ทรงประกาศให้พระขนิษฐา - เจ้าหญิงเดียซิร่า (บางตำราว่า "ดรูซิลล่า") - เปนจักรพรรดินี!

สำหรับเรื่องการตั้งม้าเปนกงสุลนั้น นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่นี้ท่านได้ยกมือแก้ต่างให้กับคาลิกูล่าว่าเปนเพียงเรื่องแต่งเพื่อใส่ไคล้พระองค์ในภายหลังเท่านั้น แต่ไอ้เรื่องจะตั้งน้องสาวมาเปน "ตำแหน่งเมีย" น่ะ - เรื่องจริงเลยครับ -

และที่จริงยิ่งกว่าจริงก็คือ คาลิกูล่าทรงนิยมกามกีฬาอย่างการเสพสังวาสหมู่เสียด้วยล่ะครับ!

เรื่องนี้ต้องขอย้อนกลับไปเสียนิดหน่อยครับ เพราะในระหว่างที่คาลิกูล่าต้องอยู่ในโลกลับหลังกำแพงตำหนักอุบาทว์ของทิเบริอุสนั้น พระองค์ทรงมีเพียงเจ้าหญิงเดียซิร่าเปนเพื่อนคนเดียวเท่านั้นเอง อันทำให้พระองค์ทรงรักและหวงน้องสาวคนนี้มากๆ

เนื่องจากสองพี่น้องนี้สนิทสนมกันมาก และยังอยู่ภายใต้การดูแลของไอ้เฒ่ากามวิตถารอย่างทิเบริอุสแล้ว จนทำให้เกิดข่าวลือกันให้ทั่ววังว่า ทั้งสองคงจะร้องเพลงกินตับกันไปนานแล้ว...

เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ผมไม่ฟันธงนะครับ และขออย่าให้เปนเรื่องจริงเลย ส่วนเรื่องทรงนิยมในกามกิจหมู่นั้น เชื่อว่าคงเปนเพราะความหลังฝังใจเมื่อครั้งยังอยู่กับทิเบริอุสนั่นล่ะครับ...

ดังนั้น เราเชื่อได้แน่นอนว่าคาลิกูล่ารักและสนิทกับน้องสาวคนนี้มาก จนคิดจะตั้งเปนจักรพรรดินีให้ร่วมว่าราชการแผ่นดินด้วยกัน แต่องค์หญิงก็ทรงหน้าบางเกินไปและปฏิเสธไม่ขอรับตำแหน่งนี้ จนทำให้พระเชษฐาของพระองค์นึกเพี้ยนไปคว้าบรรดาภริยาของพวกวุฒิสมาชิกสภามาทำเมียถึง ๓ คนซะงั้น!?

ยังครับ ยังไม่เพี้ยนพอ เพราะหลังจากนั้น แกก็เลิกกับเมีย (ชาวบ้าน) แล้วไปคว้านางงามเมืองมือหนึ่งของกรุงโรมนามว่า "คาสโซเนีย" มาตั้งเปนจักรพรรดินีอีกต่างหาก!

งานนี้ล่ะครับ บรรดาวุฒิสมาชิกเริ่มจะเห็นเงาลางๆดำๆลอยมาแล้วล่ะครับ เพราะหลังจากพ้นจักรพรรดิเฒ่าบ้าตัณหาไปแหม่บๆ งานนี้จะได้เจอไอ้บ้ากามตัวใหม่เข้าให้แล้ว...

หากจะว่ากันตรงๆแล้ว ไอ้ความบ้ากามของคาลิกูล่าก็เปนเรื่องส่วนตัวของเขาจริงๆครับ เพราะในพระประวัติและประวัติศาสตร์เองก็ยืนยันว่า แม้พระองค์จะมักมากในกาม (วิตถาร) แบบนี้เพียงใด แต่พระองค์ก็ยังสามารถว่าราชการแผ่นดินได้เปนปกติ แถมอยู่ในเกณฑ์ดีเสียด้วย และไม่เคยทำให้เสียเรื่องมาก้าวก่ายราชการแผ่นดินแต่อย่างใด - นับได้ว่าพระองค์ยังทรงรู้จักแยกแยะเรื่องการเมืองและการมุ้งได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียวล่ะครับ

ทว่า ความบ้าส่วนพระองค์ก็ชักจะกลายเปนเรื่องของบ้านเมืองเข้าให้แล้วล่ะครับ เมื่อเจ้าหญิงเดียซิร่าผู้เปนที่รักดันมาสิ้นพระชนม์ไปด้วยวัยเพียงยี่สิบต้นๆ งานนี้จักรพรรดิคาลิกูล่าเลยบ้าหนักยิ่งกว่าเดิมแล้วล่ะครับ

มีเรื่องเล่าว่า เมื่อตอนที่ทรงทราบว่าเจ้าหญิงสิ้นพระชนม์นั้น พระองค์ทรงห้ามใครมาแตะต้องกายขององค์หญิงเปนเด็ดขาด แถมยังทรงเสียสติถึงขั้นประคองพาร่างไร้วิญญาณไปชมนกดูไม้หรือฟังเพลงมหรสพด้วยกันเหมือนเมื่อยังมีชีวิต แต่แล้วคงจะเปนเพราะพระองค์หญิงเริ่มส่งกลิ่นตุๆแล้วหรืออย่างไร คาลิกูล่าจึงยอมปล่อยวางและให้นำร่างขององค์หญิงไปทำพิธีศพในที่สุด

หลังจากความสุญเสียในครั้งนี้นี่ล่ะครับที่จะกลายเปนความบรรลัยไส้ของบ้านเมือง เพราะจักรพรรดิคาลิกูล่ากลายเปนคนเสียสติโดยสมบูรณ์แล้วล่ะครับ

นับตั้งแต่นั้นมา คาลิกูล่าก็ทรงประกาศขึ้นภาษีซะดื้อๆทั้งที่เพิ่งสั่งลดไปแหม่บๆ และก็ไม่ยอมออกว่าราชการอีก หากแต่เอาหมกตัวอยู่ในตำหนักฝ่ายใน นำเงินภาษีที่ได้มาไปจัดกิจกรรมกามกรีฑากับจักรพรรดินีคาสโซเนีย พร้อมด้วยเหล่านางในและนายในแบบทั้งวันทั้งคืนโดยไม่สนใจบ้านเมืองอีกต่อไปแล้วล่ะครับ และแม้ว่างานนี้จะมีเหล่าวุฒิสภาผู้ซื่อสัตย์พยายามกราบทูลให้ทรงกลับมาบริหารราชกิจตามเดิม ก็มีอันต้องหายทั้งหัวและเงาหัวกันถ้วนหน้าเสียฉิบ...

ในที่สุดแล้ว ความอดทนของผู้คนก็มีถึงขีดสุด เมื่อมีนายทหารองครักษ์ผู้หนึ่งได้ฉวยโอกาสที่พระองค์ทรงเสด็จไปดูละครเข้าฟันองค์จักรพรรดิจนขาดสะพายแล่งต่อหน้าธารกำนัล และสำหรับจักรพรรดินีงามเมืองอย่างคาสโซเนียก็มีต้องมอดม้วยไปพร้อมกัน โดยที่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่น้อย...

จักรพรรดิคาลิกุล่า - จักรพรรดิโรมันลำดับที่ ๓ จึงสวรรคตลงด้วยพระชนมายุเพียง ๒๘ ชันษาเมื่อปี ค.ศ.๔๑ หลังจากทรงครองราชย์ได้เพียงสี่ปีเท่านั้นเอง

สรุปแล้ว คาลิกูล่าได้เจริญรอยตามพระบิดาบุญธรรม - ผู้ที่พระองค์ทรงชิงชัง - อย่างจักรพรรดิทิเบริอุสทุกประการเลยครับ

กล่าวคือขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยความภาคภูมิและสง่างามดุจเดียวกัน ทรงเปนกษัตริย์ผู้ปรีชาดุจเดียวกัน และกลายเปนจอมทรราชย์ในบั้นปลายดุจเดียวกัน

มิหนำซ้ำ หากยังต้องมาพบจุดจบด้วยน้ำมือของผู้อื่นดุจเดียวกันอีกด้วย...

จักรพรรดิคาลิกูล่าจึงถือว่าเปนแบบอย่างให้กับพวกเราได้อีกอย่างนึงว่า การที่คนเราเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ก็มักจะกลายเปนอย่างนั้นจริงๆครับ...

แม้นว่าชีวิตแรกเริ่มจะสวยงาม หากแต่ต้องตกอยู่ในสังคมนรกอันเสื่อมทราม ไม่ว่าจะเปนผู้คนชนชั้นใดก็ล้วนต้องแปดเปื้อนเลวทรามด้วยกันทั้งสิ้น

และนี่คือเรื่องราวของเขา - เทพบุตรปีศาจ - จักรพรรดิคาลิกูล่าครับ

ในตอนต่อไป เราจะมาว่ากันถึงเรื่องของการพิชิตบริตาเนียในรัชกาลจักรพรรดิคลอดิอุส และเหตุอัปยศครั้งใหญ่อีกคราวหนึ่งของกองทัพโรมัน - เหตุสาบสูญของกองพลที่ ๙

credit https://th-th.facebook.com/9gagHistory/posts/552760618122752

Caligula (1979)
http://www.imdb.com/title/tt0080491/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่