ดิฉันเป็นเจ้าของร้านขายส่งรองเท้ามือสอง ย่านนนทบุรี เมื่อก่อนสถานที่ดิฉันขายรองเท้านั้นเป็นห้องเช่าขนาด 1 ห้อง ข้างๆเป็นตึกร้าง จึงขอพื้นที่จากตึกร้างไว้วางรองเท้า ทำให้มีพื้นที่วางรองเท้ามากมาย แต่มักจะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถ ดิฉันกับคุณแม่จึงคิดขยายกิจการ พอได้ตึกใหม่ 2 คูหาก็เลยย้ายมา(ตึกใหม่ที่ได้ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านเก่า ข้ามสะพานลอยเดินเข้าซอยมา 30 เมตรก็ถึง) เมื่อได้ทำเลที่ใหม่ ก่อนเข้าไปอยู่ก็มีการทำบุญร้าน ทำพิธีตัดริบบิ้น จุดพลุเพื่อความเป็นศิริมงคล และมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด จุดประสงค์เพื่อแอบดูพฤติกรรมบางประการของลูกจ้างเก่า ขอย้อนเรื่องราวเลยละกันนะคะ เมื่อครั้งประมาณ 1 ปีก่อน ช่วงประมาณหลังน้ำท่วม ได้รับลูกจ้างมา 1 คน (นส.A นามสมมติ) เหตุเพราะความสงสาร เพราะเมื่อช่วงน้ำท่วมได้สร้างความเสียหายกับชีวิตและทรัพย์สินมากมายให้กับใครหลายๆคน รวมถึงลูกจ้างนส.A ด้วย เมื่อตอนนั้นเห็นนส.A เก็บรองเท้าที่เราทิ้งไปขายคู่ละ 5-20 บาทตามตลาดนัด ช่วงหลังก็สงสารเลยนำเสื้อผ้าที่ไม่ใส่แล้ว ให้เค้าไปขายนำเงินมายังชีพ ด้วยความสงสารจึงคุยกับคุณแม่ขอความเห็นใจให้เข้ามาช่วยงานที่ร้าน เพื่อที่เค้าจะได้ไม่ต้องลำบากไปขายของที่อื่น เนื่องจากลูกจ้าง นส.A มีความรับผิดชอบต่อชีวิตครอบครัว ลูกหลานเยอะที่ต้องเลี้ยงดู จึงได้ว่าจ้างให้เข้ามาช่วยเหลือกิจการที่ร้าน ให้ช่วยมาขายรองเท้า ต่อมาแม่ของ นส.A ได้ย้ายเข้ามาอยู่กับ นส.A ด้วย และเวลาทำรองเท้ากัน แม่ของ นส.A ก็เข้ามาช่วยอยู่บ่อยๆ คุณแม่เลยให้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนด้วย ขายรองเท้ามาระยะเวลาหนึ่งก็เกิดความไว้ใจให้รับเงินค่ารองเท้า แล้วก็มาเคลียร์เมื่อถึงสิ้นวัน เมื่อครั้นมีลูกค้าเข้ามาซื้อรองเท้าที่ร้าน ตัวดิฉันจะบอกลูกค้าเสมอว่า นส.A เค้าคือพี่สาว จนใครๆก็คิดว่าเป็นญาติกัน เพราะว่าดิฉันให้ความเคารพนับถือ เทิดทูน เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซื้อทองให้ใส่ทุกวันเกิด ปีใหม่ วันแม่ ซื้อโทรศัพท์ให้ใช้ บอกโทรศัพท์หายทองหายก็ซื้อให้ใหม่ เรียกว่ารักและเคารพสุดๆ แต่เริ่มรู้สึกเอะใจ เนื่องจากมีลูกค้าหลายเจ้าที่โทรมาว่า ที่ร้านไม่ให้บิลเงินสดบ้าง บางรายก็บอกว่า ลูกจ้าง นส.A คิดเงินลดราคาให้เยอะมาก แต่ไม่เขียนบิลให้ และอีกอย่างคือลูกจ้างผู้เป็นแม่ นส.A ชอบว่าลูกค้า ใส่อารมณ์กับลูกค้า มีลูกค้าโทรมาบอก ส่งข้อความมาบอกหลายรอบมาก ดิฉันเครียดไม่รู้จะทำยังไงก็ได้นำเรื่องราวมาปรึกษากับคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ก็เป็นคนที่เงียบไม่เคยมีปากมีเสียงกับใคร แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ก็ได้แต่เก็บกันไว้ในใจ
เมื่อครั้นย้ายร้านมาแล้ว 2 อาทิตย์แรก ลูกจ้างนส.A และแม่ นส.A ได้เข้ามาช่วยงานอยู่ แต่เป็น 2 อาทิตย์ที่มีแต่ความวุ่นวายมาก เพราะ 2 คนแม่ลูกได้ทำการเปลี่ยนรองเท้าที่ลูกค้าคัดไว้ (ลูกค้ามาเลือกรองเท้าเองแล้วฝากส่งให้), เอารองเท้าที่เสียไม่ผ่านการตรวจสอบเปลี่ยนกระสอบให้ลูกค้าต่างจังหวัด (ที่ทราบเพราะลูกค้าที่เราส่งของไป ลูกค้าเก่าโทรมาโวยวายว่าได้รองเท้าไม่ดี ทั้งๆที่เคยส่งไปไม่มีโทรมาด่าว่า แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่ารองเท้าคัดสวยให้ทุกคู่) จึงขอให้ลูกค้าส่งกลับมา เมื่อได้ของมาก็รู้เลยว่ามีคนเปลี่ยนของแน่ๆ ในช่วงระยะเวลาที่เกิดเรื่องอยู่ดีดีลูกจ้างทั้ง 2 คนแม่ลูกก็หายไป ไม่เข้ามาช่วยงานที่ร้านเลย มารู้อีกทีตอนให้เขมรส่งรองเท้ามา เขมรที่ร้านจะส่งของมาทุกวัน วันนั้นเขมรที่ร้านบอกว่ามีคนมาเอารองเท้าแล้วบอกว่า ดิฉันให้ไปเอารองเท้า (ซึ่ง 2 แม่ลูกนั้นได้ไปเอารองเท้ามาเรียบร้อยแล้ว) มาเช็คดูสมุดส่งของปรากฎว่า "หาย" ลูกจ้างผู้เป็นลูกก็คือ นส.A ได้นำสมุดส่งของซึ่งมีรายละเอียดลูกค้าไปด้วย ก่อนหน้านี้เวลาลูกค้ามาที่ร้านก็จดเบอร์ ขอเบอร์ลูกค้าไปด้วย ผ่านไป 4 วันที่ลูกจ้างหายไป ปรากฎว่าไปเปิดที่ขายส่งรองเท้ามือสองเช่นเดียวกับดิฉัน ที่ใต้ตึกร้างที่ดิฉันเคยอยู่ และมีการโทรเรียกลูกค้า โทรตามลูกค้าให้ไปซื้อของที่นั่น บอกกับลูกค้าว่าเป็นร้านเดียวกัน อ้างว่าดิฉันขยายกิจการ ลูกค้าเก่าที่มาที่ร้านดิฉันก็เล่าให้ฟัง แรกๆมีลูกค้าหลงเข้าไปเยอะมาก แต่หลังๆลูกค้าเริ่มรู้ว่าดิฉันย้ายร้านจึงตามมาซื้อที่ร้านใหม่ คงจะสร้างความไม่พอใจให้กับลูกจ้างเก่า 2 แม่ลูก ลูกจ้างผู้เป็นแม่พยายามสร้างความก่อกวนให้กับครอบครัวดิฉัน โดยการโทรมาแกล้งแม่ดิฉัน โทรด่า โทรว่าสารพัด ล่าสุดก็ถือโทรโข่งมาด่าว่าผ่านหน้าร้าน ดิฉันจึงได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และขอให้ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
ทั้งๆที่คนที่ควรจะเป็นฝ่ายโกรธคือดิฉัน อุตส่าห์ไว้ใจ เทิดทูน เคารพรักสารพัด แต่ผลที่ออกมามันทำให้ดิฉันกระอักแทบล้ม แต่ดิฉันก็ได้แต่ทำบุญกรวดน้ำให้ผลกรรมที่หนักผ่อนเป็นเบาลง ยังไงซะเรื่องนี้ก็คงเป็นอุทาหรณ์สำหรับใครหลายๆคน คนอื่น ยังไงมันก็คือคนอื่นอยู่วันยันค่ำ ทุกวันนี้มีญาติพี่น้องมาช่วยดิฉันขายรองเท้าหลายคน ญาติล้วนๆ ตอนนี้ดิฉันรู้สึกเป็นสุขและดีใจที่มีญาติพี่น้องให้ความช่วยเหลือ แต่สำหรับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น ดิฉันจะจำไว้เป็นบทเรียนอันสำคัญในชีวิต ที่จะไม่มีวันให้เรื่องนี้มาเกิดซ้ำเติมขึ้นอีก เพราะความไว้ใจแท้ๆ ขอบคุณสำหรับพื้นที่ Pantip ที่สามารถให้ดิฉันระบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ เรื่องราวก็จบเพียงเท่านี้ สำหรับทุกวันนี้ก็ต่างคนต่างอยู่ ถือว่าอยู่กันคนละโลก
ลูกจ้างที่เคยเทิดทูน กลับมาหักหลัง เจ็บช้ำใจนัก (ขอระบาย)
เมื่อครั้นย้ายร้านมาแล้ว 2 อาทิตย์แรก ลูกจ้างนส.A และแม่ นส.A ได้เข้ามาช่วยงานอยู่ แต่เป็น 2 อาทิตย์ที่มีแต่ความวุ่นวายมาก เพราะ 2 คนแม่ลูกได้ทำการเปลี่ยนรองเท้าที่ลูกค้าคัดไว้ (ลูกค้ามาเลือกรองเท้าเองแล้วฝากส่งให้), เอารองเท้าที่เสียไม่ผ่านการตรวจสอบเปลี่ยนกระสอบให้ลูกค้าต่างจังหวัด (ที่ทราบเพราะลูกค้าที่เราส่งของไป ลูกค้าเก่าโทรมาโวยวายว่าได้รองเท้าไม่ดี ทั้งๆที่เคยส่งไปไม่มีโทรมาด่าว่า แต่โดยส่วนตัวก็คิดว่ารองเท้าคัดสวยให้ทุกคู่) จึงขอให้ลูกค้าส่งกลับมา เมื่อได้ของมาก็รู้เลยว่ามีคนเปลี่ยนของแน่ๆ ในช่วงระยะเวลาที่เกิดเรื่องอยู่ดีดีลูกจ้างทั้ง 2 คนแม่ลูกก็หายไป ไม่เข้ามาช่วยงานที่ร้านเลย มารู้อีกทีตอนให้เขมรส่งรองเท้ามา เขมรที่ร้านจะส่งของมาทุกวัน วันนั้นเขมรที่ร้านบอกว่ามีคนมาเอารองเท้าแล้วบอกว่า ดิฉันให้ไปเอารองเท้า (ซึ่ง 2 แม่ลูกนั้นได้ไปเอารองเท้ามาเรียบร้อยแล้ว) มาเช็คดูสมุดส่งของปรากฎว่า "หาย" ลูกจ้างผู้เป็นลูกก็คือ นส.A ได้นำสมุดส่งของซึ่งมีรายละเอียดลูกค้าไปด้วย ก่อนหน้านี้เวลาลูกค้ามาที่ร้านก็จดเบอร์ ขอเบอร์ลูกค้าไปด้วย ผ่านไป 4 วันที่ลูกจ้างหายไป ปรากฎว่าไปเปิดที่ขายส่งรองเท้ามือสองเช่นเดียวกับดิฉัน ที่ใต้ตึกร้างที่ดิฉันเคยอยู่ และมีการโทรเรียกลูกค้า โทรตามลูกค้าให้ไปซื้อของที่นั่น บอกกับลูกค้าว่าเป็นร้านเดียวกัน อ้างว่าดิฉันขยายกิจการ ลูกค้าเก่าที่มาที่ร้านดิฉันก็เล่าให้ฟัง แรกๆมีลูกค้าหลงเข้าไปเยอะมาก แต่หลังๆลูกค้าเริ่มรู้ว่าดิฉันย้ายร้านจึงตามมาซื้อที่ร้านใหม่ คงจะสร้างความไม่พอใจให้กับลูกจ้างเก่า 2 แม่ลูก ลูกจ้างผู้เป็นแม่พยายามสร้างความก่อกวนให้กับครอบครัวดิฉัน โดยการโทรมาแกล้งแม่ดิฉัน โทรด่า โทรว่าสารพัด ล่าสุดก็ถือโทรโข่งมาด่าว่าผ่านหน้าร้าน ดิฉันจึงได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และขอให้ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
ทั้งๆที่คนที่ควรจะเป็นฝ่ายโกรธคือดิฉัน อุตส่าห์ไว้ใจ เทิดทูน เคารพรักสารพัด แต่ผลที่ออกมามันทำให้ดิฉันกระอักแทบล้ม แต่ดิฉันก็ได้แต่ทำบุญกรวดน้ำให้ผลกรรมที่หนักผ่อนเป็นเบาลง ยังไงซะเรื่องนี้ก็คงเป็นอุทาหรณ์สำหรับใครหลายๆคน คนอื่น ยังไงมันก็คือคนอื่นอยู่วันยันค่ำ ทุกวันนี้มีญาติพี่น้องมาช่วยดิฉันขายรองเท้าหลายคน ญาติล้วนๆ ตอนนี้ดิฉันรู้สึกเป็นสุขและดีใจที่มีญาติพี่น้องให้ความช่วยเหลือ แต่สำหรับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น ดิฉันจะจำไว้เป็นบทเรียนอันสำคัญในชีวิต ที่จะไม่มีวันให้เรื่องนี้มาเกิดซ้ำเติมขึ้นอีก เพราะความไว้ใจแท้ๆ ขอบคุณสำหรับพื้นที่ Pantip ที่สามารถให้ดิฉันระบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ เรื่องราวก็จบเพียงเท่านี้ สำหรับทุกวันนี้ก็ต่างคนต่างอยู่ ถือว่าอยู่กันคนละโลก