สวัสดีครับหญิงอ้อ,
(ท่องไปในเมืองบันดุง)
ผมได้เคยฟังเรื่องราวมนต์เสน่ห์อันน่าหลงใหลของเมืองบันดุงเมืองตากอากาศยอดนิยมของเหล่าบรรดาเจ้านายชนชั้นปกครองชาติตะวันตก ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งสมัยที่ประเทศนี้ยังเป็นอาณานิคมของ Dutch จึงมีความใฝ่ฝันที่จะไปเห็นด้วยตาของตัวเอง
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Bandung_Montage.png
ในที่สุดประมาณเดือนมีนาคมปี 2004 ช่วงนั้นเป็นข่วงวันหยุดยาว long weekend ผมได้เพื่อนร่วม(ชะตากรรม)การเดินทางเป็นคนมาเลย์ชื่อว่าฟาฮิต
ความจริงแล้วแผนการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีการเตรียมตัววางแผนล่วงอะไรมาก่อน เจ้าฟาฮิตเค้าไปเดินเล่นดูตั๋วที่สถานีรถไฟเมืองสุราบายา เห็นว่ายังพอมีตั๋วว่างก็เลยชวนผมไปเที่ยวบันดุงด้วยกัน แต่มันเป็นแค่ตั๋วรถไฟขาไปเพียงเที่ยวเดียวเท่านั้น
ฟาฮิตแนะนำผมว่า เดี๋ยวค่อยไปหาซื้อตั๋วขากลับอีกทีที่เมืองบันดุง ฟังดูแปลกๆชอบกล
ผมเองก็หลงอุตสาห์ดีใจ ที่เห็นเพื่อนซื้อตั๋วรถไฟชั้น business class ให้ แอบคิดจินตนาการไปไกลว่ามันคงแบ่ง class แบบเดียวกันกับของเครื่องบินโดยสาร แต่ขอโทษทีเถอะครับ
พอได้ขึ้นรถไฟเห็นสภาพของจริงแล้ว มันก็คือรถไฟชั้นสามติดพัดลมเหมือนรฟท.เมืองไทยนี่เอง แถมยังค่อนข้างเก่าและสกปรก ยิ่งช่วงกลางคืนจะมีแมลงสาบตัวเล็กๆ คลานไต่ออกมาจากที่ซ่อนมาหาของกิน ผมได้เห็นเต็มตาตอนที่เพื่อนมาเลย์คว้าขนมโดนัททอดอมน้ำมันที่ซื้อมาตอนหัวค่ำ เตรียมตัวจะเอาใส่ปากกัดกินคลายหิวกลางดึก ดีที่เค้าเห็นแมลงสาบในขนมซะก่อน จึงต้องสละโยนขนมทิ้งหน้าต่างแทบไม่ทัน
รถไฟออกจากเมืองสุราบายาประมาณห้าโมงเย็น ใช้เวลาวิ่งบ้างจอดบ้าง วิ่งกันเสียงดังโคลงเคลงนอนไม่ค่อยจะหลับไปทั้งคืน กว่าจะไปถึงเมืองบันดุงเกือบเจ็ดโมงเช้า หน้าตาผู้โดยสารสองหนุ่มมันเยิ้มอยากจะอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเป็นที่สุด
อากาศรับอรุณยามเช้าที่เมืองบันดุงสดชื่นดีมากครับ อากาศเย็นสบายคล้ายกับเมืองเชียงใหม่ทำให้พวกเรารู้สึกสดชื่นกับการมาเดินทางมาถึงที่นี่ตั้งแต่วินาทีแรก โดยหารู้ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
ผมกับเพื่อนตกลงกันว่าเราคงต้องรีบหาที่พักเพื่อล้างหน้าล้างตา ทานอาหารเช้า แล้วออกตะลุยเมืองบันดุงด้วยกัน เรามีเวลาอยู่ค้างที่บันดุงเพียงแค่คืนเดียวพรุ่งนี้เช้าต้องรีบเดินทางกลับสุราบายาแล้ว ทุกวินาทีจึงดูจะมีค่าและความหมายมาก
ผมเตรียมจะเรียกรถแท๊กซี่อยู่แล้ว แต่เพื่อนเค้าไม่ยอม เค้าบอกให้ใช้บริการรถสองแถวเล็ก ตามประสาคนขี้งกประหยัดมัธยัสถ์ ซึ่งจะมีค่าใช้บริการถูกกว่ากันเยอะ ผมก็ไม่อยากขัดใจเพื่อน พวกเราจึงนั่งรถสองแถวเล็กไปด้วยกัน เพื่อไปหาโรงแรมที่พัก แน่นอนครับเรายังคงต้องเดินสำรวจเสาะหากันอีกเพราะเรายังไม่ได้จองโรงแรมกันมาล่วงหน้า
รถสองแถวคันแรกพาไปส่งโรงแรมเล็กๆ ตั้งอยู่นอกเมืองปรากฏว่าที่พักเต็มครับ ก็ต้องหารถสองแถวอีกคันนั่งกลับเข้าเมืองอีกครั้ง
ผมรู้สึกสัมผัสได้ว่าเกิดลางร้ายบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น ความสดชื่นค่อยจางหายไป ยิ่งช่วงสายมากขึ้น ผู้คนเริ่มออกจากบ้านมาตลาดนัดจับจ่ายซื้อของ รถสองแถวที่เรานั่งก็วิ่งผ่านถนนเส้นที่จอแจอลหม่านนี้พอดี
ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงรณรงค์เลือกตั้งใหญ่(เลือกประธานาธิบดี) เมื่อช่วงต้นปี 2004 เหล่าบรรดาผู้สนับสนุนของพรรคการเมืองแต่ละฝ่ายก็ขนพลพรรคกองเชียร์ ออกมาหาเสียงกันในบริเวณนั้น เวลานั้น พอดิบพอดี คุณลองหลับตาจินตนาการนึกภาพว่ามันจะวุ่นวาย โกลาหลกัน ซะขนาดไหน
บันทึกความทรงจำ จากรอยเท้าที่ยังก้าวเดิน ตอนที่ 7
(ท่องไปในเมืองบันดุง)
ผมได้เคยฟังเรื่องราวมนต์เสน่ห์อันน่าหลงใหลของเมืองบันดุงเมืองตากอากาศยอดนิยมของเหล่าบรรดาเจ้านายชนชั้นปกครองชาติตะวันตก ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งสมัยที่ประเทศนี้ยังเป็นอาณานิคมของ Dutch จึงมีความใฝ่ฝันที่จะไปเห็นด้วยตาของตัวเอง
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Bandung_Montage.png
ในที่สุดประมาณเดือนมีนาคมปี 2004 ช่วงนั้นเป็นข่วงวันหยุดยาว long weekend ผมได้เพื่อนร่วม(ชะตากรรม)การเดินทางเป็นคนมาเลย์ชื่อว่าฟาฮิต
ความจริงแล้วแผนการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีการเตรียมตัววางแผนล่วงอะไรมาก่อน เจ้าฟาฮิตเค้าไปเดินเล่นดูตั๋วที่สถานีรถไฟเมืองสุราบายา เห็นว่ายังพอมีตั๋วว่างก็เลยชวนผมไปเที่ยวบันดุงด้วยกัน แต่มันเป็นแค่ตั๋วรถไฟขาไปเพียงเที่ยวเดียวเท่านั้น
ฟาฮิตแนะนำผมว่า เดี๋ยวค่อยไปหาซื้อตั๋วขากลับอีกทีที่เมืองบันดุง ฟังดูแปลกๆชอบกล
ผมเองก็หลงอุตสาห์ดีใจ ที่เห็นเพื่อนซื้อตั๋วรถไฟชั้น business class ให้ แอบคิดจินตนาการไปไกลว่ามันคงแบ่ง class แบบเดียวกันกับของเครื่องบินโดยสาร แต่ขอโทษทีเถอะครับ
พอได้ขึ้นรถไฟเห็นสภาพของจริงแล้ว มันก็คือรถไฟชั้นสามติดพัดลมเหมือนรฟท.เมืองไทยนี่เอง แถมยังค่อนข้างเก่าและสกปรก ยิ่งช่วงกลางคืนจะมีแมลงสาบตัวเล็กๆ คลานไต่ออกมาจากที่ซ่อนมาหาของกิน ผมได้เห็นเต็มตาตอนที่เพื่อนมาเลย์คว้าขนมโดนัททอดอมน้ำมันที่ซื้อมาตอนหัวค่ำ เตรียมตัวจะเอาใส่ปากกัดกินคลายหิวกลางดึก ดีที่เค้าเห็นแมลงสาบในขนมซะก่อน จึงต้องสละโยนขนมทิ้งหน้าต่างแทบไม่ทัน
รถไฟออกจากเมืองสุราบายาประมาณห้าโมงเย็น ใช้เวลาวิ่งบ้างจอดบ้าง วิ่งกันเสียงดังโคลงเคลงนอนไม่ค่อยจะหลับไปทั้งคืน กว่าจะไปถึงเมืองบันดุงเกือบเจ็ดโมงเช้า หน้าตาผู้โดยสารสองหนุ่มมันเยิ้มอยากจะอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเป็นที่สุด
อากาศรับอรุณยามเช้าที่เมืองบันดุงสดชื่นดีมากครับ อากาศเย็นสบายคล้ายกับเมืองเชียงใหม่ทำให้พวกเรารู้สึกสดชื่นกับการมาเดินทางมาถึงที่นี่ตั้งแต่วินาทีแรก โดยหารู้ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
ผมกับเพื่อนตกลงกันว่าเราคงต้องรีบหาที่พักเพื่อล้างหน้าล้างตา ทานอาหารเช้า แล้วออกตะลุยเมืองบันดุงด้วยกัน เรามีเวลาอยู่ค้างที่บันดุงเพียงแค่คืนเดียวพรุ่งนี้เช้าต้องรีบเดินทางกลับสุราบายาแล้ว ทุกวินาทีจึงดูจะมีค่าและความหมายมาก
ผมเตรียมจะเรียกรถแท๊กซี่อยู่แล้ว แต่เพื่อนเค้าไม่ยอม เค้าบอกให้ใช้บริการรถสองแถวเล็ก ตามประสาคนขี้งกประหยัดมัธยัสถ์ ซึ่งจะมีค่าใช้บริการถูกกว่ากันเยอะ ผมก็ไม่อยากขัดใจเพื่อน พวกเราจึงนั่งรถสองแถวเล็กไปด้วยกัน เพื่อไปหาโรงแรมที่พัก แน่นอนครับเรายังคงต้องเดินสำรวจเสาะหากันอีกเพราะเรายังไม่ได้จองโรงแรมกันมาล่วงหน้า
รถสองแถวคันแรกพาไปส่งโรงแรมเล็กๆ ตั้งอยู่นอกเมืองปรากฏว่าที่พักเต็มครับ ก็ต้องหารถสองแถวอีกคันนั่งกลับเข้าเมืองอีกครั้ง
ผมรู้สึกสัมผัสได้ว่าเกิดลางร้ายบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้น ความสดชื่นค่อยจางหายไป ยิ่งช่วงสายมากขึ้น ผู้คนเริ่มออกจากบ้านมาตลาดนัดจับจ่ายซื้อของ รถสองแถวที่เรานั่งก็วิ่งผ่านถนนเส้นที่จอแจอลหม่านนี้พอดี
ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงรณรงค์เลือกตั้งใหญ่(เลือกประธานาธิบดี) เมื่อช่วงต้นปี 2004 เหล่าบรรดาผู้สนับสนุนของพรรคการเมืองแต่ละฝ่ายก็ขนพลพรรคกองเชียร์ ออกมาหาเสียงกันในบริเวณนั้น เวลานั้น พอดิบพอดี คุณลองหลับตาจินตนาการนึกภาพว่ามันจะวุ่นวาย โกลาหลกัน ซะขนาดไหน