รายย่อยIECไม่ยอมถูกปล้น..........

The Youngblood Way ( Stock Investor )

HotNews:รายย่อยIECไม่ยอมถูกปล้น
ตำรวจSET-SECอยู่ไหน!

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 10เม.ย. 57 )-----กรณี บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง ได้ประกาศลดทุน(ผู้ถือหุ้นเดิมทุกราย) 105,458,640,371 หุ้น อัตราส่วนการลดทุน(หุ้นเดิม:หุ้นหลังลดทุน) 8.10 : 1โดยในส่วนของทุนชำระแล้วที่ต้องถูกลดทุนลงไปตามกฎหมายฯ นี้จะถูกจัดเป็นส่วนเกินทุนอันเนื่องมาจากการลดทุนชำระแล้ว โดยบริษัทฯจะนำส่วนเกินทุนที่จะเกิดขึ้นด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นนี้ ไปชดเชยกับยอดส่วนต่ำมูลค่าหุ้น และชดเชยกับยอดขาดทุนสะสมที่มีอยู่ทั้งหมดของบริษัทฯ เป็นลำดับกันไปตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน IEC ได้ออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายบุคคลในวงจำกัด 1.3 หมื่นล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.10 บาท โดยในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ห้องราชเทวีแกรนด์บอลรูม ชั้นที่ 3 โรงแรมเอเชียกรุงเทพ เลขที่ 296 ถนนพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร จะมีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2557 เวลา 14.00 น.
เรียกว่า นักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้นIEC 15,327 ราย ล้วนได้ผลกระทบโดยตรง พร้อมกับมีกระแสความคิดเห็นของนักลงทุน ไม่เห็นด้วยกับการลดทุนของIEC ครั้งนี้ หวังว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย จะเข้าสอดส่องดูแล........
ทีมข่าวหุ้นอินไซด์ ได้รวบรวมความคิดเห็นของนักลงทุนรายย่อย ที่ไม่เห็นด้วย กรณีIEC ลดทุน...โดยมีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้
นายวรวุฒิ กนกากร ระบุว่า ผมเป็นผู้ถือหุ้นและไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวและมีข้อเท็จจริงดังนี้
1. บริษัทสามารถเลือกวิธีการลดทุนโดยลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ แทน วิธีการลดทุน โดยตัดจำนวนหุ้นทิ้งลงได้ โดยผลทางบัญชีจะมีค่าเท่ากัน การลดทุนโดยลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จะยังผลให้ผู้ถือหุ้นปัจจุบันมีจำนวนหุ้นเท่าเดิมมีสัดส่วนมีเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นเท่าเดิม แต่การลดทุนโดยตัดจำนวนหุ้นทิ้งย่อมมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทุนใหม่ในภายหลัง และผู้ถือหุ้นที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนรายใหม่จากการขายเฉพาะเจาะจง (Private Placement) แม้ซื้อในสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นในปัจจุบันก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้เมื่อเทียบกับทุนภายหลังลดทุน (โดยตัดจำนวนหุ้นทิ้ง) อันจะส่งผลให้มีกิจการขายกิจการ หรือมีเจ้าของบริษัทรายใหม่เข้ามาโดยไม่ยาก ดูแล้วเป็นการวางแผนเล่นแร่แปลธาตุ และส่งผลให้สิทธิการออกเสียงของผู้ถือหุ้นปัจจุบันหายไปเป็นสัดส่วนมากถึง 88% ดังนั้นเหตุผลที่อ้างในการลดทุนจึงฟังไม่ขึ้นและเป็นการไม่ชอบ การลดทุนทำได้ทั้งสองวิธีโดยถูกกฎหมายทั้งสองอย่างแต่เหตุใด IEC ไม่เลือกวิธีที่ไม่เกิดความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งที่ผลในทางบัญชีก็มีค่าเท่ากันถ้าลดทุนโดยลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ ( ปัจจุบัน 10 สต. ก็ลดเหลือ 1 สต. ได้) ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงคือธนาคารแห่งประเทศไทยเคยสั่งลดทุนสถาบันการเงินในปี 2540 นับสิบๆ แห่งให้มูลค่าหุ้นที่ตราไว้เหลือ 1 สต. ประเด็นที่ร้องเรียนมานี้จึงไม่ใช่การกระทำผิดกฎหมายหรือไม่แต่เป็นเรื่องความชอบธรรมหรือไม่
2.ในการลดทุนดังกล่าว ทุนปัจจุบันที่เรียกชำระค่าหุ้นไปแล้วมีอยู่ประมาณ 120,000 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้ 10 สตางค์ เท่ากับมีทุนชำระแล้วประมาณ 12,000 ล้านบาท) จะหายไป 88% และจะเหลือเพียง 14,000 ล้านหุ้น หรือเหลือทุนชำระเพียง 1,400 ล้านบาท และภายหลังลดทุนแล้ว คณะกรรมการประกาศไว้แล้วว่าจะเพิ่มทุนเข้ามาใหม่โดยขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (Private Placement) จำนวน 13,000 ล้านหุ้น นี่จึงเป็นเรื่องซ่อนเร้นเพราะรายใหม่ที่เข้ามาจะกลายเป็นรายใหญ่หรือเจ้าของกิจการที่ถือหุ้นเป็นอันดับหนึ่งไปเลย ดังนั้นแม้การลดทุนจะถูกหวย (Legality) แต่ก็ไม่ชอบธรรม (Ligitimacy) เป็นการเอาพวกมากลากไป ขัดหลักธรรมภิบาล เพราะแอบแฝงการขายกิจการไว้ให้กับรายใหม่ การที่รายใหม่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน ไม่ว่าราคาที่จ่ายในทางบัญชีจะเป็นเท่าใด ก็ต้องมีการจ่ายเม็ดเงินนอกบัญชีอีกมหาศาล ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะมาลดทุน โดยตัดจำนวนหุ้นทิ้ง การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นธรรม (Unfair treatment) ต่อผู้ถือหุ้นปัจจุบัน
3.ในระยะเวลา 2-3 ปี มานี้รวมถึงปีที่แล้วด้วย มีการเพิ่มทุนไป 3 ครั้งแล้ว การจะมาลดทุนโดยตัดหุ้นทิ้งก็คล้ายเป็นการไม่สุจริตใจ ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เพิ่งจ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนไปเสียหายมาก และในตลาดหลักทรัพย์ไม่เคยมีบริษัทจดทะเบียนใดทำวิธีนี้มาก่อนเพราะเกิดความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย ในการบริการจัดการที่ถูกต้องถ้าจะลดทุนควรทำไปนานแล้ว ลดให้แทบจะเหลือศูนย์ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นไป ผู้ถือหุ้นก็จะเสียหายน้อย แต่นี่มาลดทุนตอนที่ฐานทุนใหญ่ไปแล้ว ดดยมีชำระแล้ว 12,000 ล้านบาท การลดทุนแล้วจะมาเพิ่มทีหลังจึงเป็นการบริหารงานผิดพลาดอย่างมาก ในสิ้นปี2554 ทุนชำระแล้วมีเพียงประมาณ 4,000 ล้านบาท เท่านั้น จึงควรลดทุนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
4.หุ้น IEC เดิมตกหล่นถลามาจากราคาสูงมาก 5-7 บาทเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่ดีแต่กลุ่มเสี่ยสองเข้ามาทำราคา และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แต่คงใช้ nominee แทน และเมื่อความจริงปรากฏว่าบริษัทแทบไม่มีธุรกิจอะไรแล้ว (เดิมขายและให้บริการอุปกรณ์มือถือ) ราคาก็ลงมาจนถึง 1 สตางค์ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 2-3 สตางค์ เป็นที่ทราบกันในตลาดว่าในอดีต บริษัท และกรรมการล้วนมีส่วนรู้เห็นในการทำราคาหุ้น แต่ปัจจุบันไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจะมีใครทำราคาอีกหรือไม่
5.ก.ล.ต. ควรปรึกษาผู้ชำนาญการด้านบัญชีก่อนกระทำการใดๆ เพื่อให้รู้ซึ้งก่อนดำเนินการ และน่าออกกฏไปเลยว่าการลดทุนลักษณะดังกล่าวทำไม่ได้ เว้นแต่เป็นการลดทุนโดยตัดจำนวนหุ้นทิ้งและหุ้นนั้นๆยังไม่ได้ชำระราคาค่าหุ้นเพราะจะไม่มีความเสียหายต่อผู้ใด
6.การประกาศดังกล่าวของบริษัท ทำให้ผู้ถือหุ้นตื่นตระหนกและขายหุ้นจากราคา 3 สตางค์ ลงมาที่ราคา 2 สตางค์ ซึ่งเกิดความเสียหายมากต่อราคาหุ้น คือลดลง 33% แต่ก็มีการทำราคาปิดให้ปิดที่ 3 สตางค์
7.สำนักงาน ก.ล.ต. ควรดำเนินการเอาผิดเรื่องจริยธรรมกรรมการและออกกฏหรือสั่งห้ามการลดทุนโดยตัดจำนวนหุ้นทิ้งเพื่อเหตุการณ์ของบริษัทอื่นในอนาคต หรืออนุญาตให้ลดทุนโดยตัดจำนวนหุ้นทิ้งได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการเช่นลดทุนได้ แต่การเพิ่มทุนครั้งล่าสุดต้องเกิดขึ้น 3 ปี เป็นการเพิ่มทุนในสัดส่วนไม่เกิน 20% เป็นต้น หาก ก.ล.ต. เพิกเฉยหรือไม่กระทำการใดๆ ก.ล.ต. อาจต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าวต่อผู้ถือหุ้นในทางกฏหมายด้วย
รากฎแน่ชัดว่าจะมีใครทำราคาอีกหรือไม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่