จากพนักงานบริษัท มาเป็นแม่ค้าตลาดนัด มัน...ดูไม่มีอนาคต?

กระทู้สนทนา
วันนี้เราแค่มีคำถามกับตัวเอง และอาจส่งไปถึงสังคมนะคะ

ขอเล่าแบล็คกราวหน่อย

คือเราเรียนจบและทำงานบริษัทมาหลายปี ทำมา3ที่
สิ่งหนึ่งที่เราเจอเสมอและทุกคนก็เจอคือ...มันไม่มีเวลา
สายงานที่เราทำคือคอมกราฟิก เราเรียนสายนี้เพราะรู้ตัวตั้งแต่ปวช.ว่าชอบ
จบมาก็ทำงานสายนี้ อยู่ในเส้นทางอาชีพนี้มาเสมอ...

แต่เราเบื่อมากกับการแข่งขัน ฟาดฟันต่างๆนาๆ เรายอมรับว่าเราเป็นคนไม่ทะเย้อทะยานอะไรค่ะ
เราต้องการแค่ความสงบในชีวิต มีอาชีพเงินเดือนที่ดูแลตัวเองและแบ่งให้ครอบครัวได้บ้างก็มากเกินพอ
เงินเดือนเรา2ปีแรกไม่ถึง10,000บาทด้วยซ้ำ ทั้งที่เราทำงานในบริษัทมีชื่อในด้านอุสาหกรรมการผลิตแห่งหนึ่งด้วยซ้ำ
ช่วงนั้นใครถามว่าเราทำงานอะไร เราดูเท่มากค่ะ ด้วยชุดฟอร์มของ บ. เราเองเป็นไอดอลน้องๆเลย
ว่าได้ทำงานใน บ.ดี มีชื่อเสียง มีผลงานผ่านสื่อมากมาย เราอิ่มเอมกับคำชื่นชม ป้อยอเหล่านั้นมากค่ะ
แต่มาไม่อิ่มอีกตอนเงินเดือนออกทุกที มันแค่8500เท่านั้น ตอนนั้นปี 2552
สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ไป จนเป็นปีละคะ เราไม่มีภาระอะไร นับว่าโชคดีโพดๆ
เพราะเรามีบ้านที่พ่อแม่พยายามหามาให้ เราตัวคนเดียว ไม่ต้องเอี่ยวกันใคร เลยสบายๆค่ะเงินเดือนได้มา
ไม่ได้เหลือให้แม่ แค่ดูแลตัวเองก็หมดไปเดือนๆนึง

แต่บอกตามตรง ตอนนั้นทนอยู่ที่นั้นได้ เพราะมันดูดี ดูมีหน้ามีตา

แต่อนิจาน่าตาไม่อิ่มท้องนะคะแหม่...เราเลยลาออกค่ะ แล้วก็หาที่ใหม่
จนมาที่สุดท้ายเป็นงานที่เราชอบมากที่สุด และไม่ต้องวุ่นวายกับเพื่อนร่วมงานมากมาย
เพราะทำกันแค่2คนต่อสาขา จนมาปีหลังเหลือเราทำคนเดียวด้วยซ้ำ เพราะหาคนมาลงสาขานั้นไม่ได้
ขอไม่บอกว่าอันนี้งานอะไรนะคะ เงินเดือนดีขึ้นโขค่ะ เหลือๆพาแม่ไปกินดีๆเชียว 15000+
แต่ก็ยังไม่มีเก็บ พอมีบ้างก็ถูกดึงไปใช้ ส่วนหนี้สินอะไรนั้นไซร์ ไม่มีเลยจ้ะ
จากนั้นปลายปี55 เราต้องลาออก เพราะพ่อกำลังจะผ่าตัดใหญ่ ก็อย่างที่บอก เราไม่ได้มีภาระอะไร
ไม่ต้องส่งเสียใคร จากที่เราเรียนจบมาทำงาน แม่เราเก็บเงินที่เคยต้องให้เราได้หลายแสนเลยทีเดียว
ซึ่งเราดีใจมากเรื่องนั้นค่ะ เราดีใจที่ยังไม่พอให้เค้าแต่ทำให้เค้าได้มีเงินเก็บ
เห็นชัดๆว่าเรานี่แหละภาระล้วนๆ ฮ่าๆ พอไม่ต้องให้เรา เค้ามีเงินเก็บโขเลย
แม่เราไม่เคยบอกเลยเพิ่งมาบอกตอนที่บอกให้เราลาออกนั่นแหละ
ยังคงจำได้ดีวันที่เราร้องไห้กัน เรื่องที่เช้านั้นแม่ขายน้ำเต้าหู้ไม่ได้ตังเพราะฝนตก ทำให้เราไม่มีเงินไปเรียน

จากการลาออกคราวนั้น มันยิงยาวเลยค่ะ -*-

เราแก้ปัญหาให้ตัวเองในช่วงที่ว่างมาก ต้องดูแลพ่อด้วยการ หาของออนไลน์ขาย
จนในที่สุดเราก็ทำได้ ไปเรื่อยๆ แต่พอมาช่วงนี้ เราเบื่อ เพราะมันเหงา เราวันๆนี่ไม่ได้คุยกับใครเลยนอกจากหมาๆแมวๆ -*-
เราเคยกลับไปทำงานประจำ ปรากฏว่ามันไปไม่ได้แล้วกับไลฟ์สไตล์เรา เพราะจากที่เราว่างเป็นปีๆ
ทำให้เราไปไหนมาไหนได้พ่อแม่อยากไปไหนเราพาไปได้
และแต่ละเดือนเรามีธุระที่ต้องคอยไปทำให้ เรามีธุรกิจเล็กๆอีกอย่างที่บ้าน
เงินส่วนนั้นเราไม่ได้จับต้องเป็นของพ่อแม่หมด
พอมาทำงานประจำ มันไม่ใช่เรื่องดีเลยถ้าต้องลางานกันบ่อยๆ

สุดท้ายก็ออกจ้ะ ก็มาขายของอย่างเดียวเหมือนเดิม
เราก็แฮปปี้ดีกับชีวิตแม่ค้าออนไลน์นะ แต่เงินมันไม่เข้าทุกวันไง
เข้าทีก็เยอะ ไม่เข้าก็เหงาๆกันไปไรงี้ *-*
เราอยากทำไปเรื่อยๆจนมีเงินเก็บใหญ่ๆสักก้อน ต่อยอดต่อไป
แต่ถ้าเป็นงี้ ก็เป็นได้แค่เงินหมุนๆไป ไม่น่าเวิร์ค

เราเลยอยากขายของตลาดนัดแถวบ้านตอนเย็นๆ
เรามองว่าลงทุนกับเวลาแค่4-5ชั่วโมงต่อวัน
ธุรกิจตัวนี้ลงทุนต่อวันไม่มาก กำไร 60-70% หักหมดแล้ว
เพิ่มรายได้ต่อวันแต่มากบ้านน้อยบ้างเฉลี่ยกัน  ก็คงไม่เลวนะ
กะว่า ถ้าเป็นงั้นจะได้แบ่งงานจากธุรกิจนึงไว้ใช้ อีกธุรกิจนึงไว้เก็บเลยชิวๆ
และในที่สุดก็ลงมือทำ เฮ้ยยยยยย มีความสุขค่ะ ได้จับเงินทุกวัน เหลือๆชิวๆ
มีเก็บได้ละล่ะงานนี้....ปลื้มเลย...นับๆบวกลบคูณหารค่าเฉลี่ยแล้ว
มากกว่างานประจำที่เคยทำอีกนะเนี้ยะ เยี่ยมไปเลย
เหนื่อยขึ้นมาหน่อย แต่โอเคชิวๆ

ที่เราวางแผนสร้างความมั่นคงไว้ให้ตัวเองนั้นก็เป็นไปได้ละ
เริ่มจาก จะทำเรื่องจ่ายประกันสังคมเอง
มีประกันชีวิตไว้แล้ว1ฉบับ ไว้ออมและเผื่อเกิดเหตุคนข้างหลังได้ไม่ด่าว่าไม่เหลือกระทั่งเงินซื้อโลงเนอะ
ประกันอุบัติเหตุก็มีแล้ว...อืม เก็บได้ก้อนโตๆ จะเอาไว้ซื้อกองทุนบ้างสักที ^^
เราควรซื้ออะไรอีกบ้างมั้ยค่ะ?

อะต่อ...เราก็เลยมาบอกพ่อ...
ซึ่งกับพ่อเนี้ยะนะ เค้าไม่เคยเห็นด้วยกับเรามาตลอดทุกสิ่งอย่างทุกเรื่องในชีวิตนั่นแหละ
ตั้งแต่เลือกเรียนละ แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำคือ ไม่ฟังเราก็ทำตามวิถีของเรา
เพราะเราถือว่า...สิ่งที่เค้าบอก เค้าแค่ไม่ชอบไม่พอใจ
แต่สิ่งที่เค้าอยากให้เราเป็น เราไม่ใช่ เราไม่ชอบเราไม่ทำ
ชีวิตเป็นของเรา เราเลือกผิดอย่างมาก เราก็แค่เสียใจที่ตัวเองเลือกเอง
อย่างน้อยเราก็เป็นคนเลือกเอง ไม่ต้องโทษใคร

ส่วนแม่ ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไหร่เหมือนกัน แต่แม่ก็ถือคติว่า
"ฉันไม่ได้อยู่กับลูกไปจนตาย ชีวิตเป็นของลูก ลูกต้องเลือกมีชีวิตเอง"
ก็เลยชิวๆ

พ่อก็ได้แต่เอือมๆไปค่ะ แต่ไหนแต่ไรมา

จนมาเรื่องนี้ พ่อก็บอกว่าไม่มีอนาคต เรียนมาทำไม
ไปเป็นแม่ค้าตลาดนัด ไม่อายเค้าบ้างหรอไง?
ทำไมไม่ไปเรียนทนาย เรียนกฏหมาย เป็นคงเป็นครู ทำงานการดีๆที่มันมั่นคง
และ...มีหน้า มีตา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ก็ตั้งแต่เราขายของออนไลน์ละ พ่อบอกว่าเป็นอาชีพไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เราก็ทำจนเค้าเลิกพูดนะคะ ก็เห็นชัดๆแล้วว่ามันเป็นอาชีพ
อะไรก็ตามที่เราทำแล้วแลกเงินได้มา เราเรียกอาชีพหมดแหละ อีกอย่างถ้าไม่ขัดกับกฏหมาย
มันไม่ใช่แค่อาชีพ แต่มันเป็นอาชีพสุจริต ทำไมเราจะไม่ควรทำ

ถามว่าเราแคร์มั้ย ไม่นะคะ
แต่...รอบๆตัวเราเนี้ยะ
รายล้อมไปด้วยเพื่อนๆที่ก็ทำตามกรอบของสังคมที่ควรเป็นกันหมด
เรียนจบ ทำงานออฟฟิต เป็นมนุษย์เงินเดือน ดูดีมีหน้ามีตา
มีภาระผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนบัตรเครดิตก็ว่ากันไป มีไลฟ์สไตล์คนเมืองจ๋าาาาาเลย

อันว่าด้วยเพื่นอสนิทเราเนี้ยะ เห็นดีเห็นงามด้วยหมด
พวกนางออกจะเชียร์และแฮปปี้ไปกับเรา มีคนที่สนิทสุดถึงกับเอ่ยว่าอยากทำได้แบบเรา -*-
เพราะหมายความว่า เราจะไม่มีปัญหาในวันเวลาพาไปเที่ยวเลย ฮ่าๆ

แต่เพื่อนห่างๆ เพื่อนในสังคมเฉยๆเนี้ยะ...
ขยันค่อนแคะดีเหลือเกิน...นานๆทีเจอเพื่อนสมัยเรียน
ก็ถามไถกันไปว่าทำอะไรอยู่ มีเพื่อนที่ไปได้ไกลหน้าที่การงานดี เราดีใจด้วย
แต่เพื่อนเราบางคนก็ค่อนแคะกระแหนะกระแหน แม่ค้าอย่างเรา -*-
ถามว่าเราแคร์มั้ย ไม่นะ ถ้าแคร์คงเลิกทำ แต่ฟังแล้วมันคันหู
แต่ก็ปล่อยผ่านไป...

มีหนนึง กับเพื่อนที่เราเพิ่งมาสนิทด้วยซักระยะ
นางก็ชอบค่อนแคะเราว่าทำไมไม่ทำงานประจำ
เราก็อธิบายไป นางก็ไม่เลิกราคอนแคะแกะเกา จนเราชินไป
แล้วยังไง ฉันไปไหนมาไหนกับนาง ฉันก็เป็นคนออกซะเกินครึ่งทุกที -*-
เราเคยพานางไปกินข้าวกับเพื่อนสนิทและแฟนเพื่อนสนิทเรา
2คนนี้หน้าที่การงานดีมาก เงินเดือน50,000+ทั้งคู่
พวกเรา3คนนี่รักกันดี สนิทกันนมนาน
เอาว่า2คนนี้ไม่เคยรังเกียจที่เราเป็นแม่ค้าตลาดสนัดอะนะ
แต่เพื่อนเราคนนี้...พอได้ฟังได้แสกนว่าเพื่อนเราทำงานอะไรยังไง
มีเฟอร์นีเจอร์แบบไหน ก็ไม่วาย หันมาคอนแคะเรา
ส่วนนางเป็นยังไง เราจะไม่เอ่ยละกัน มันก็จะกลายเป็นเราคอนแคะนาง

เพื่อนคนนี้...ประหลาดดีค่ะ ว่าเรา แต่ขอความช่วยเหลือเราเสมอๆ
เราก็มีให้เสมอๆ ต่อมาเราก็เหนื่อย และเริ่มเข้าใจถึงสิ่งดีๆหลายอย่างที่นางเคยทำ
มันไม่มีอะไรมากกว่าคำว่าผลประโยชน์
สำหรับนางแล้ว เราเป็นเพื่อนที่มีให้จับจ่ายแต่ไม่มีไว้อวดโชว์
เราเสียใจตรงที่ กระทั้งเพื่อนก็ต้องมีไว้อวดโชว์?

สุดท้ายเราก็ห่างนางออกมา และจบไปกลายเป็นคนรู้จักเฉยๆ

เรามีแผนอีกนิดหน่อยว่า ถ้าเรามีเก็บประมาณหนึ่งแล้ว
เราจะลงทุนเพิ่มกับอีกธุรกิจ แล้วจ้างคนมาขายประจำแทน
ถ้าไปได้ดี ก็จะขยายเพิ่มไปเรื่อยๆ (อันนี้เป็นแผนนะคะ)
แล้วก็จะฝึกวิทยายุทธขายของออนไลน์ให้แกร่งกล้าจนขายไปต่างประเทศได้
อยากเรียนต่อภาษาอังกฤษด้วย มีติดตัวไว้ชาตินี้ต้องไม่อดตายแน่ๆ
และอยากเรียนต่อ จะเอาความรู้ด้านพาณิชย์มาปรับกับสิ่งที่ทำเพิ่ม เพราะที่ผ่านมา
เรียนสายศิลปะ เรื่องค้าขายเรายังอ่อนหัดนัก

ความต้องการในชีวิตเราจริงๆไม่มากมายอะไรค่ะ แค่ดูแลตัวเองได้
ไม่เป็นภาระใคร และจะไม่ยอมให้ใครมาเป็นภาระ ฮ่าๆ
แค่ต้องการความสงบในชีวิต ไม่มีหนี้ ทำงานสุจริต
และเราอยากเที่ยว...ชีวิตเราไม่รู้จะได้เกิดอีกหรือเปล่า แต่ที่ต่างๆบนโลกหรือในประเทศ
มีมากมายเหลือเกินที่รอให้เราไปเห็นด้วยตาตัวเอง ความงามที่ไม่โอ้อวดตัวเองสักนิดเดียว
อยากพอเพียงในแบบของคนที่อยู่ในเมือง

เรื่องหน้าตาสำหรับเราไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันเป็นแค่สิ่งปรุงแต่งจิตให้เบิกบานเฉยๆ
มีมาแล้วก็ผ่านไป คนชื่นชมก็ทำให้จิตใจเราชุ่มช่ำชั่วคราว
แต่กับคนที่เค้ามีความฝันในสายอาชีพหน้าที่การงานดีๆเพื่อพัฒนาตัวเอง
และสังคมอันนี้ก็ยินดีและขอให้ทำต่อไปด้วยใจมุ่งมั่นค่ะเห็นด้วยเต็มร้อย

ทุกคน ย่อมมีทางเป็นของตัวเอง

เรามีญาติคนนึง เค้ามีหน้าที่การงานดีมีบ้านช่องใหญ่โต จบโทเมืองนอก
แต่ดันไม่เคยบอกใครเลยว่าแม่เราเป็นคนส่ง และเงินเหล่านั้นยืมแม่เราแบบไม่เคยให้คืนไปตั้งเท่าไหร่
มันเป็นอีกตัวอย่างนึงที่เห็นในชีวิตน่ะค่ะ เราว่ามีหน้ามีตา ก็ควรทำ แต่มันไม่น่าถึงกับต้องหลอกตัวเอง

สุดท้ายนี้....เราอยากบอกว่า...
เมื่อก่อนเราเคยมองโลกอีกแบบหนึ่ง มาวันนี้มุมมองของเราที่มีต่อสิ่งรอบตัวต่างไป
เราพบว่าทุกคนทุกหน้าที่ มีความสำคัญมีเส้นทางเป็นของตัวเอง
สังคมจะน่าอยู่ขึ้นค่ะ ถ้าคนเรามองกันที่ใจมากกว่าสิ่งต่างๆที่มองเห็นได้แค่ภายนอก
ค่านิยมต่างๆที่เป็นกันอยู่ บางทีก็งงว่าแข่งขันประชันกันไปให้เหนื่อย
สุดท้ายกลับมาที่ตัวเรา เคยสงสัยบ้างมั้ยว่าทำเพื่ออะไร?

สวัสดิ์ดีค่ะทุกคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่