KP Warriors ตอนที่ 12 : ปะทะไนติงเกล... กองทัพอันดูริลตื่นขึ้นแล้ว

กระทู้สนทนา
นานมาแล้วนับตั้งแต่ก่อนที่ประเทศไอคารอสจะถูกสถาปณาขึ้นมา ราชาคนแรกกอนดอร์ ได้เก็บสะสมของวิเศษมากมายไว้กับตัวเอง ว่ากันว่าของวิเศษเหล่านั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือจากหลายๆเผ่าพันธุ์ด้วยกัน ทั้งมนุษย์ คนแคระ และเอล์ฟ  ของวิเศษในแต่ละชิ้นล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ประโยชน์ หรือให้โทษเมื่อของวิเศษเหล่านั้นกลายเป็นอาวุธมหาประลัยทำลายล้าง

         และหนึ่งในของวิเศษโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในไนท์เบลด หนึ่งในนั้นก็คือกล่องวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าเป็นกล่องที่บรรจุพลังแห่งแสงสว่างจากเทพอาซุร่า เทพธิดาแห่งท้องฟ้ายามราตรี เป็นกล่องที่มีพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นไม่รู้จบ

         หนึ่งในตำนานของไนท์เบลดได้กล่าวเอาไว้ว่า นักรบพเนจรแห่งไนท์เบลดคนหนึ่งได้ไปพบกับหญิงสาวลึกลับ หญิงสาวผู้ที่มีรูปโฉมงามอยู่ที่ภูเขาน้ำแข็งแห่งอิซูอาคามา เพื่อช่วยเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของเหล่าปีศาจหนอนน้ำแข็ง ที่วนเวียนไปมาอยู่ที่นั่นหวังที่จะได้ตัวเธอมาครอง หลังจากที่ฟาดฟันกันอยู่นานสามวันเต็มๆในที่สุดนักรบแห่งไนท์เบลดก็ได้รับชัยชนะ แต่ทว่าชัยชนะนั้นต้องแลคมากับความจริงที่น่าตกใจ แท้ที่จริงแล้วหญิงสาวปริศนาคนนั้นก็คือเทพอาซูร่า ที่ได้ลงมาจุตินั่นเอง

         เพื่อตอบแทนในความกล้าหาญของนักรบพเนจรคนนั้น เทพแห่งท้องฟ้ายามราตรีได้มอบกล่องวิเศษกล่องหนึ่งเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่เขา และทันทีที่เทพธิดายื่นมือมาเปิดกล่องสีน้ำเงินนั่นออก นักรบพเนจรของไนท์เบลดก็ถูกแสงสว่างนั้นกลืนกินเข้าไป และพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้าไกล และเขารู้สึกตัวอีกทีก็ได้อยู่ท่ามกลางมิตรสหายของตัวเองภายในเมืองไนท์เบลดนั่น เมื่อเห็นเช่นนั้นนักรบพเนจรจึงส่งกล่องวิเศษนี้ให้แก่จอมทัพของเขา
          ซึ่งกอนดอร์ราชาแห่งไนท์เบลดรู้สึกถึงเพลังอำนาจของมันที่อยู่เหนือการควบคุมของตัวเอง เขาคิดว่าพลังของตัวเองยังไม่เพียงพอที่จะใช้กล่องใบนี้ได้ จึงส่งกล่องวิเศษกล่องนี้ลงไปยังคลังเก็บสมบัติอันล้ำค่าของไนท์เบลด และได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับกล่องวิเศษนี้ว่า "กล่องแห่งอาคาช่า"

         แต่ทว่าหลังจากนั้นเมื่อจอมทัพอันดูริลแห่งกองทัพทมิฬได้รู้ข่าวเรื่องพลังของกล่องแห่งอาคาช่า ก็ส่งกองกำลังของตนมาบุกไนท์เบลด หวังที่จะมานำของที่เขาคิดว่าเทพเจ้าเป็นผู้มอบให้แก่มนุษย์ให้ได้ แต่ทว่าปราการแห่งกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งประดุจเพชรของไนท์เบลด ก็ไม่อาจที่จะตีแตกได้ภายในคราวเดียว

          นานนับเดือนที่กองทัพทมิฬยังคงบุกอย่างต่อเนื่องจากทุกทิศทุกทาง ห้อมล้อมเมืองไนท์เบลดเอาไว้ และผู้ที่เป็นฝ่ายอ่อนกำลังลงก็ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายไนท์เบลดซะเอง  

         ในขณะนั้นเองที่พวกเขาคิดว่าหนทางนี้น่าจะเป็นหนทางสุดท้ายที่เป็นเลือกที่ดีที่สุด จอมทัพแห่งไนท์เบลดกอนดอร์ ได้รวบรวมพลังงานทั้งหมดที่มีอยู่ในเมือง และส่งพลังงานเหล่านั้นพุ่งไปยังกล่องแห่งอาคาช่าที่อยู่บนผืนฟ้าของเมืองไนท์เบลด เพื่อทำลายล้างกล่องใบนั้นให้หายไปจากไนท์เบลดไป เสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าท่ามกลางความตกตะลึงและผิดหวังของอันดูริล ในที่สุดกองทัพทมิฬก็ได้จากเมืองไนท์เบลดไป


         และกล่องวิเศษไม่มีอยู่อีกแล้ว....



        หรือว่า ประวัติศาสตร์ ถูกเขียนให้เราเชื่อเช่นนั้น


.........


- ฟิ้ว.. ฟิ้ว -

          เสียงลมพัดผ่านอากาศไปบนด่านฟ้าของตึกสูงที่เรียงรายอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ ในวันที่บนฟ้าไร้ซึ่งลมพัดผ่าน เหล่าไนติงเกลชุดดำผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเงียบกริบเสมือนเป็นดั่งเงา ใบหน้าของพวกเขาถูกปกปิดด้วยหมวกที่คลุมทั้งหัวคล้ายกับชุดนินจาที่เผยให้เห็นเพียงแต่ดวงตาเท่านั้น ชุดที่พวกเขาใส่นั้นแม้จะต้องทำให้ดูคล่องตัวแต่เมื่อมองผิวเผินก็ดูแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย ด้วยเกร็ดเป็นแผ่นๆที่เรียงรายตามตัวและลวดลายที่แสนจะวิจิตรบรรจงรอบชุด กับผ้าคลุมสีดำที่ทำให้ดูน่าเกรงขาม

          พวกเขากำลังวิ่งอยู่ภายใต้เงาต่างๆที่แสงแดดในยามเช้าสอดส่องไปไม่ถึง เพื่อหลบหลีกเป้าสายตาของผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาบนถนนใหญ่นั้น

          เหล่าไนติงเกลชุดดำวิ่งเลาะไปยังใต้หลังคาที่มีเงาอยู่ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วไปปรากฏตัวอีกทีที่ด่านฟ้าของตึกตรงกันข้าม ที่ถัดจากตรงนั้นไปสองช่วงตึกราวกับว่าพวกเขาหายตัวไปในที่ไหนก็ได้

           สายตาของไนติงเกลร่างบางตัวเล็กผมยาวสยายสีน้ำตาล เจ้าของหน้ากากคล้ายรูปนกสีดำ กำลังจับจ้องไปยังโกดังที่อยู่ตรงหน้า เมื่อไปถึงที่หมาย เหล่าไนติงเกลก็รีบกระโดดลงจากบนด่านฟ้าของตึกสู่พื้นดินอย่างเชี่ยวชาญ แล้วตรงไปที่โกดังที่อยู่ตรงหน้านั้นนั้นอย่างรวดเร็ว

         พวกเขาค่อยๆผ่านประตูเหล็กเก่าๆเข้าไปสู่ความมืดมิดของโกดังเก็บของหลังนั้น หน้าต่างภายในโกดังรอบด้านทั้งหมดถูกปิดสนิดหมดทุกบาน ภายในนั้นไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆทำให้ภาพในโกดังหลังนั้นมีแต่ความมืดครอบคลุมอยู่ไปทั่วทุกที่  ความมืดที่มีมากเกินกว่าสายตาของมนุษย์ธรรมดาจะมองเห็นได้ แต่สำหรับพวกเขาแล้วนั้นมันไม่ใช่ สายตาของเขายังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แม้จะอยู่ในที่ๆไม่มีแสงใดๆเลยก็ตาม

         "เรียบร้อยดีใช่มั๊ยหมายเลขสิบสี่" ทันทีที่ไนติงเกลผู้สวมหน้ากากรูปนกนามว่าหมายเลขสิบสี่ได้มาสมทบกับกลุ่มไนติงเกลอีกกลุ่มหนึ่งที่มารออยู่ก่อนแล้ว ไนติงเกลที่สวมหน้ากากคล้ายกับรูปยักษ์ตาเดียวก็ได้พูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มๆที่ดูน่ากลัว ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ที่กำลังเดินมาพยักหน้าอย่างรวดเร็วเป็นการตอบรับ

         "ระบบรักษาความปลอดภัยของห้องนั้นเจาะเข้าไปได้ง่ายกว่าที่คิดมากๆเลย...." หมายเลขสิบสี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมั่นใจในตัวเองมากๆ

         "ง่ายเกินคาด... หรือที่มันง่ายอาจเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ทำให้ภารกิจนี้สำเร็จไปได้ง่ายๆ ไม่เหมือนกับไอ้เจ้าพวกนั้น ที่เคยมาขโมยแหวนแห่งไนท์เบลดที่นั่น แต่ก็ทำไม่สำเร็จ"

         "เหอะๆ ไม่ต้องมายอฉันเลยหมายเลขสาม"  หมายเลขสิบสี่พูดแก้เขิน

         "ขอดูของหน่อย ดูสิว่าเธอได้อะไรมา"


         ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ไม่ได้ตอบอะไรอีกหลังจากนั้น เขาปลดกระเป๋าเป้ที่อยู่บนหลังของตัวเองแล้วนำของที่อยู่ข้างในนั้นออกมา แต่ในขณะที่ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่กำลังค่อยๆรูดซิบกระเป๋าของตัวเองอยู่นั้น แสงสว่างสีน้ำเงินภายในกระเป๋าใบนั้นก็ได้เล็ดลอดออกมาก่อนที่จะเจิดจ้ามากขึ้น เมื่อเขานำของที่พวกเขาได้ไปขโมยนั้นออกมาให้กับเหล่าไนติงเกลที่เหลือได้ชื่นชม

           กล่องแก้วศักดิ์สิทธิ์กับลวดลายที่แสนวิจิตรบรรจง รอบๆข้างกล่องนั้นเต็มไปด้วยลายใบไม้และรากไม้ แสงสว่างสีน้ำเงินอันเจิดจ้าทำให้เห็นลวดลายรอบๆกล่องนั้นได้อย่างชัดเจน สะท้อนกับสายตาของไนติงเกลที่กำลังจ้องมองมาที่มันอย่างชื่นชม ไม่เว้นแม้แต่หมายเลขสิบสี่ ผู้ที่กำลังถือกล่องใบนั้นก็ส่งสายตาเป็นแนวชื่นชมภายใต้หน้ากากผ่านเลนแก้วใสของหน้ากากนั้น

         "งดงามจริงๆ" ไนติงเกลหมายเลขสามพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูชื่นชม "เสียดายที่มันจะต้องถูกทำลายหลังจากที่เราเปิดประตูได้สำเร็จแล้ว"

         "...เราช้าไม่ได้แล้ว รีบไปกันเถอะ!" ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่พูดเร่งเร้าพวกที่เหลือพร้อมกับเดินนำออกจากที่นั่นไป




          "หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!"

         ทันในนั้นเองเสียงๆหนึ่งได้ดังขึ้นมาท่ามกลางความมืดนั้น และวินาทีต่อมาแสงไฟจากภายในโกดังก็ได้ส่องสว่างขึ้น แสงไฟจากเพดานสาดส่องลงมายังกลุ่มไนติงเกลชุดดำกลางพื้นที่โล่งๆนั่น เหล่าไนติงเกลต่างเหลียวมองไปรอบๆอย่างร้อนรนเพื่อหาต้นตอของที่มาของเสียงนั้น และไม่นานนัก สายตาของไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ได้ไปสะดุดกับร่างของชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนสีแดงเพลิงจากโรงเรียนไนท์เบลดที่อยู่ตรงระเบียงบันไดของโกดัง รวมไปถึงชายหนุ่มผมสีเขียวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งบนลังไม้ที่เทินกันสูงๆเอาไว้

       รามูเนสเด็กหนุ่มเจ้าของแหวนอัญมณีสีน้ำเงินยิ้มเยาะอย่างกวนๆเล็กน้อย พร้อมกับโบกมือเป็นการทักทาย

         "แสบมากเลยนะพวกแก ต้องให้ตามพวกแกมาตั้งไกล จนมาถึงเมืองที่อยู่นอกเมืองไนท์เบลดแบบนี้เนี่ย" ว่าแล้วรามูเนสก็กระโดดลงมาจากระเบียงบันไดนั้น แล้วประจันหน้ากับกลุ่มไนติงเกลกลุ่มใหญ่นั้น

         "คืนกล่องแห่งอาคาช่ามาซะ แล้วพวกนายจะไม่มีอันตรายอะไร" อคิลลิสที่กระโดดลงมาจากลังไม้นั้นพูดขึ้นมา แต่เขาไม่ได้สังเกตุเห็นว่าหมายเลขสิบสี่นั้นค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบของบางอย่างที่เหน็บอยู่ข้างๆเอวที่แสนบอบบางอย่างเงียบๆ

         "....ฝันไปเถอะ!!!"


         ทันใดนั้นหมายเลขสิบสี่ก็เขวี้ยงอะไรบางอย่างไปทางอคิลลิส และเมื่อมันกระทบกับพื้นก็ได้ระเบิดขึ้นพร้อมกับควันสีดำทะมึนที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว แม้แต่อคิลลิสเองก็ยังต้องยกมือมาปิดจมูกเอาไว้ ส่วนรามูเนสที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งนั้นพยายามที่จะเข้าไปขวางทางการหลบหนีของพวกไนติงเกล แต่เพราะควันสีดำที่แน่นขนัดทำให้เขาไม่สามารถที่จะฝ่าเข้าไปได้ และเพราะชุดของไนติงเกลที่ดูกลมกลืนไปกับควันนั้นทำให้พวกเขาหายไปจากที่ตรงนั้นได้อย่างเงียบเชียบและง่ายดาย

         แต่ถึงกระนั้นสายตาที่สุดแสนจะว่องไวของรามูเนสก็ยังคงเห็นหลังของไนติงเกลที่พุ่งขึ้นไปยังระเบียงบันได และทะลุออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ทำให้รามูเนสตัดสินใจกระโดดแหวกอากาศควันพวกนั้นพุ่งตามไป และเมื่ออคิลลิสเห็นดังนั้นก็รีบตามรามูเนสไปด้วย

         "หยุดนะโว๊ยยยยยยยย!!!!" รามูเนสตะโกนลั่นเมื่อเขากระโดดลอยขึ้นมาถึงบนหลังคาของโกดังและเห็นว่าเหล่าไนติงเกลกำลังวิ่งหนีออกห่างเขาไปด้วยความเร็วสูง อคิลลิสที่ตามมาทีหลังเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็แอบทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย พร้อมกับถอนหายใจไปฟอดใหญ่

         "คงไม่หยุดง่ายๆสินะพวกแก..."



         ทันใดนั้นร่างของรามูเนสก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นมาจากพื้นดินอย่างช้าๆ เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับลมใต้ฝ่าเท้าของเขาที่หมุนเป็นวงกลมคล้ายกับพายุหมุน ก่อนที่เขาจะโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วพุ่งทยานออกไปราวกับเครื่องบินไอพ้นความเร็วสูงที่กำลังออกตัว เสียงแหวกอากาศจากร่างของรามูเนสดังสนั่นไปทั่ว ราวกับเสียงเครื่องบินไอพ้นที่ได้ออกตัว

         กลุ่มไนติงเกลที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงบนด่านฟ้าของตึกได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมาจากที่ไกลๆด้วยความเร็วสูง เมื่อหมายเลขสิบสี่หันหลังไปมอง ก็พบว่าผู้กล้าสีน้ำเงินที่พวกเขาหนีมาได้เมื่อกี้นี้กำลังเหาะไล่ตามพวกเขาอยู่พร้อมกับผู้กล้าสีเขียวที่ตามหลังอยู่ไกลๆ

          หมายเลขสิบสี่ที่วิ่งนำหน้าคิดหาทางสกัดขวากหนามของพวกเขาเอาไว้จึงรีบหยิบของที่อยู่ข้างเอวของตัวเองออกมา นั่นก็คือปืนกระบอกสีดำคู่ใจของเขา และเมื่อชักปืนออกมาได้แล้ว เขาก็หันปากกระบอกปืนไปที่รามูเนสที่กำลังบินมาพร้อมกับลั่นไกลไปสองสามนัด แต่ว่าด้วยความเร็วของผู้กล้าสีน้ำเงินที่สูงกว่า รามูเนสจึงหมุนตัวเบี่ยงหลบกระสุนที่กำลังพุ่งเข้ามาไปรอบๆแล้วพุ่งลงมาหาด้วยความเร็วที่สูงขึ้นมากจากเดิมไปอีก

          ในขณะที่รามูเนสมีสมาธิจดจ้องอยู่กับเหล่าไนติงเกลชุดดำที่อยู่ตรงหน้า หมายเลขสามที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนได้พุ่งเข้ามาหาเขาจากด้านข้างแล้วรวบตัวของรามูเนสอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วสูงในการบินไล่ตามไนติงเกลของรามูเนสทำให้ร่างของพวกเขาทั้งสองนั้นพุ่งทะลุเข้าไปยังหน้าต่างของตึกที่อยู่ข้างๆ

          อคิลลิสที่เหาะตามหลังรามูเนสมาเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าของเขาอย่างชัดเจน จึงรีบบินตามลงไปยังตึกชั้นที่เพื่อนของเขานั้นตกลงไปอย่างเป็นห่วง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่