ไปเที่ยวทะเลสาปโคโมะ ที่อิตาลีกันเถอะพวกเรา

สวัสดีคะ เพื่อนๆที่รักการเดินทางทุกๆคน วันนี้ จขกท เปิดดูรูปเก่าๆที่ได้มีโอกาสพาเพื่อนๆจากเมืองไทยที่มาเที่ยวหา จขกท เมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจาก จขกท ได้หอบเสื้อผ้าข้ามน้ำข้ามฟ้าหนีตามความรักมาที่มิลาน จึงทำให้มีโอกาสได้ต้อนรับเพื่อนๆ ที่น่ารักที่มีโอกาสแวะเวียนมาเยี่ยมเยือน

จขกท มโน(เอง)ว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่จะได้พูดถึงต่อไปนี้น่าสนใจ เผื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางเลือกให้สำหรับคนที่ผ่านมาทางมิลาน อิตาลี ได้เก็บไว้พิจารณาหากมีเวลาสักวันหรือสองวันคะ ภาพทุกภาพในกระทู้นี้นั้นเป็นภาพการเดินทางแบบไปเช้า แล้วเย็นกลับเริ่มเดินทางจากมิลานทุกภาพ (ถ้าใครมีโอกาสได้ค้างคงฟินมากกว่า จขกท แอบอิจฉาล่วงหน้าเลยคะ)

เอาละคะหากนักเดินทางคนไหนเบื่อการช็อปปิ้ง เบื่อความวุ่นวายในเมืองใหญ่ที่พลุกพล่าน ไปเที่ยวทะเลสาปโคโมะ (Lago di Como) กันเถอะคะ จะไม่ผิดหวังแน่นอน เพื่อนๆของ จขกท ทุกคนที่มาเยือนรับประกันความพึงพอใจทุกราย

จขกท และเพื่อนๆ ได้เดินทางจากมิลาน ถึงทะเลสาปโคโมะคะ (Lago di Como)โดยมีทั้งทริปที่เดินทางแบบอึดถึกด้วยรถไฟ ต่อรถบัส ต่อเรือข้ามฝาก ชนิดที่แถบต้องลากขาที่เเหลกละเอียดจากการเดินเท้าจนกลับมาถึงบ้านหลับสบายด้วยความสุข และก็ทริปที่เดินทางแบบสบายๆด้วยรถยนต์เพราะคนขับรถส่วนตัว โดยคุณ ผบ ที่บ้านที่ว่างประจำการพอดี แต่ทุกครั้งที่ไปเยือนก็หอบเอาความสุขกลับมาทุกครั้งจริงๆคะ

จขกท ขออนุญาติข้ามเรื่องการอธิบายการเดินทางด้วยรถไฟนะคะ เนื่องจากมีกระทู้เก่าของนักเดินทางท่านอื่นได้เขียนอธิบายไว้อย่างละเอียดหมดเเล้วคะ ก่อนที่จะไปชมภาพสวยๆกัน จขกท ขอเล่าเพิ่มนิดนึงเกียวกับทะเลสาปนี้นะคะ ทะเลสาปโคโมะเป็นทะเลสาปที่ใหญ่เป็นอันดับสามของอิตาลี รองลงมาจากทะเลสาปการ์ด้า (Lago di Garda) และทะเลสาปมัจโจเร่ (Lago di Maggiore) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลีใกล้กับพรหมแดนอิตาลีและสวิสเซอร์แลนด์ มีลักษณะทะเลสาปเป็นรูปตัว Y กลับหัว จากขาของตัว Y กลับหัวที่แยกออกจากกันเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งเรียกว่า ทะเลสาปเลคโค่ (Lago di Lecco) และอีกด้านหนึ่งเรียกว่าทะเลสาปโคโมะ (Lago di Como) และเมื่อทั้งสองด้านมาบรรจบรวมกันก็ยังคงชื่อทะเลสาปโคโมะ (Lago di Como) เช่นเดิมคะ โดยที่ทะเลสาปแห่งนี้จะประกอบไปด้วยหมู่บ้านเล็กมากมาย และที่มีชื่อเสียงสำหรับนักท่องเที่ยวคงไม่พ้นเมืองโคโมะ ซึ่งในบริเวณเมืองเดียวกันก็สามารถนั่งรถกระเช้าไฟฟ้าที่เรียกว่าฟุนนิคูล่า (Funicula) ขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งจะกลายเป็นอีกเมืองหนึงทันที ที่ชื่อว่าเมืองบรูนาเต้ (Brunate) เพื่อชมวิวเมืองโคโมะจากมุมสูง ต่อมาที่พลาดไม่ได้คือเมืองเบลลาจโจ้ (Bellagio) ที่มีบ้านพักตากอากาสของพี่จอร์จ คลูนี่ สักหลังในนั้น อีกหนึ่งเมืองเเนะนำคือ วาเรนน่า (Varenna) บรรยากาสสุดโรเเมนติก ทั้งสี่เมืองนี้สามารถทำได้ด้วยรถไฟ รถกระเช้าไฟฟ้า รถบัส และ เรือข้ามฝาก คำเตือน หากอึดถึกไม่จริงอย่าลองคะ 555 แต่ถ้าเดินทางด้วยรถยรต์ส่วนตัวอาจเพิ่มอีกเมืองเก่าบนเขาที่ไม่ควรพลาดคือเมืองคีอาเวนน่า (Chiavenna) แห่งจังหวัดซอนดรีโอ (Sondrio) ไปเดินชมเมืองกินข้าวที่ร้านอาหารท้องถิ่น มันใช่เลยจริงๆ เพ้อเจ้อมาเยอะไปดูภาพกันเลยคะ

ขอเริ่มจากเมืองเบลลาจโจ้ก่อนเลยนะคะ





เงานางเเบบคะ







อันนี้ถ่ายได้จากบนเรือข้ามฟากตอนออกจากเบลลาจโจ้ (Bellagio) ไป (Varenna) คะ





บนเรือคะ



ภาพนี้เป็นภาพของแหลมจากเมืองเบลลาจโจ้ (Bellagio) คะ



ใกล้ถึงวาเรนน่า (Varenna) แล้วจ้าาา ถ่ายภาพวิวของเมืองนี้จากบนเรือเช่นกัน





ขึ้นฝั่งมาถึงเมืองวาเรนน่า (Varenna) แล้วคะ เมืองนี้ภาพจะเยอะเป็นพิเศษเพราะได้ไปบ่อย เพื่อนมาทีก็ไปที บางทีเพื่อนไม่มาก็ไปกันเอง เลยได้ภาพมาหลายรอบ ไปชมภาพในเมืองนี้กันเลย

ภาพเเรกนี้ถ่ายตอนไปช่วงฤดูร้อน สีสันของใบไหม้ช่างเขียวขจีดีจริงๆเลยคะ





อีกภาพเป็นภาพตอนไปช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี สวยไปอีกแบบคะ









นางแบบกิตติมศักดิ์อีกหนึ่งท่านคะ







เงามืดของ จขกท เองคะอันนี้ ไม่กล้าเผยโฉม เกรงว่าผู้อ่านจะหลอนไม่กล้าดูต่อ ขอเป็นแค่เงาก็พอคะ











เจอเจ้าถิ่นตัวกลมที่วาเรนน่า (Varenna) น่ารักเป็นมิตรมากๆคะ ใครจะจับใครจะลูบคลำได้หมดไม่หนีคะ



ภาพนี้เก็บตกนิดนึงจากทริปที่ไปแบบอึดถึกแบบขึ้นรถไฟรถไฟ ต่อรถบัส ภาพนี้เลยได้มาจากระหว่างทางบนรถบัสจากเมืองโคโมะ (Como) ไปเมืองเบลลาจโจ้ (Bellagio) คะ ขอยืนยันว่าตลอดเส้นทางที่ลัดเลาะทะเลสาปสวยงามแบบไม่อยากกระพริบตาเลยทีเดียวคะ



เอาละคะพวกเราไปเที่ยวกันต่อที่เมืองคีอาเวนน่า (Chiavenna) ในจังหวัดซอนดริโอ่ (Sondrio) กันต่อเลยคะ ทริปนี้ จขกท ไม่เคยนั่งรถโดยสารสาธารณะไปเองคะ เพราะดูจากเส้นทางเเล้วคงลำบากน่าดู เพราะเป็นเมืองบนเขา ขับรถไปกันง่ายและสะดวกสุดคะ หมดกังวลเรื่องเวลาได้เลย ขอบคุณ. ผบ ที่บ้านที่อาสาเป็นโชเฟอร์ให้งานนี้คะ ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆน่ารักอีกหนึ่งเมือง อยู่เหนือเมืองวาเรนน่า (Varenna) ขึ้นมาไม่ไกลมากคะ จะคึกคักเป็นพิเศษช่วงหน้าหนาวเพราะเป็นปากทางขึ้นเขาเพื่อไปเล่นสกีคะ มาชมภาพกันดีกว่า













ที่เมืองนี้พวกเรามีร้านอาหารพื้นเมืองที่มาทุกครั้งต้องเเวะ ความพิเศษคงอยู่ที่บรรยากาศร้านในหุบเขา อาหารย่างจากเตาที่ทำจากหิน ร้านอาจจะหายากนิดนึง ส่วนใหญ่เเล้วจะมีแต่คนพื้นที่มาทาน หรือนักท่องเที่ยวที่กลับมาทุกๆปีเเล้วรู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี





เมนูแบบเป็นเซ็ทถือว่าถูกเลยทีเดียว กินกันจนตะเข็บเสื้อปริกันเลยทีเดียว ตกคนละประมาณ 20-30€ ขึ้นอยู่กับเครื่องดื่ม





ภาพสุดท้ายนี้เป็นภาพตอนขับรถออกมาจากร้านคะ



หวังว่าภาพเล่าเรื่องต่างๆเหล่านี้คงพอจะเป็นเเรงบันดาลใจหรือไอเดียให้นักเดินทางได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามมาจนถึงบรรทัดนี้คะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่