เคส จขกท. ขอพิจารณาเป็น 2 กรณีนะครับ

     1. กรณีที่ไม่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ก็ขอธนาคารกู้เพิ่มเพื่อสร้างบ้าน
อยู่อาศัย เปิดบัญชีกู้ใหม่แล้วปิดบัญชีเงินกู้เดิม ส่วนการทำนิติกรรมเกี่ยวกับ
ทรัพย์จำนอง ถ้ามูลจำนองเดิมน้อยกว่ามูลจำนองใหม่ (คือยอดวงเงินกู้ใหม่)
ก็ให้จดทะเบียนขึ้นเงินจำนองเป็นประครั้งที่ 1 อีกจำนวน........................ บาท
รวมเป็นเงินจำนอง........................ บาท เพื่อให้ครอบวงเงินกู้
     ส่วนตัวบ้านที่จะก่อสร้างใหม่ พิจารณาได้อีก 2 กรณี
     1. หากคุณแม่ จขกท. เป็นผู้ขออนุญาตก่อสร้าง ก็ไม่ต้องจดทะเบียนอะไรเพิ่ม
เพราะสัญญาจำนองส่วนใหญ่จะระบุให้จำนองรวมถึงสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่แล้วใน
ขณะทำสัญญา และ/หรือที่จะปลูกสร้างใหม่ในภายหน้าด้วย ดังนั้น การจำนอง
จึงครอบไปถึงตัวบ้านด้วย
     2. หาก จขกท. เป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้าง ทางธนาคารจะให้ จขกท.
จดทะเบียนจำนองสิ่งปลูกสร้างเพิ่มหลักทรัพย์ฯ เพราะถึงแม้ในสัญญาจำนอง
ประธาน (สัญญาหลัก) จะระบุให้จำนองครอบไปถึงตัวสิ่งปลูกสร้างตาม
ที่กล่าวในข้อ 1. หากผู้จำนองไม่ใช่เจ้าของสิ่งปลูกสร้าง การจำนองก็ครอบไป
ไม่ถึงครับ
     กรณีนี้จะเสียค่าธรรมเนียมจดทะเบียนขึ้นเงินจำนอง ร้อยละ 1 ของมูลหนี้
จำนองที่ขอขึ้นเงิน, ค่าจดทะเบียนจำนองสิ่งปลูกสร้าง เสียไม่มาก (หลักร้อย)
ส่วนค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้ธนาคาร ก็แล้วแต่ละธนาคารครับ

     2. กรณีที่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์จากคุณแม่มาเป็นของ จขกท. ก็มีวิธีอีก
2 วิธื คือ ให้ (ระหว่างจำนอง) (หากยังเป็นการประกันลูกหนี้รายเดิม) กับ ทางธนาคารจะให้ไถ่ถอนจำนองก่อน แล้วจดทะเบียนให้ และจดทะเบียน
จำนองกับทางธนาคารใหม่ ซึ่งมั่นใจว่าทางธนาคารจะใข้วิธีอย่างหลังมาก
กว่า ซึ่งเป็นการล้างไพ่กันใหม่ด้วย (เริ่มต้นนบหนี่งเหมือนตอนกู้ใหม่ๆ)
หาก จขกท. เป็นผู้ขออนุญาตก่อสร้างบ้าน ก็ไม่ต้องจดทะเบียนอะไรเพิ่มเติม
จากการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง จดทะเบียนให้ที่ดินโดยเสน่หาไม่มีค่าตอบ
แทน และจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แล้ว

อ่านแล้วไม่งงนะครับ ^_^