Night and the City (1950)
ทฤษฎีหนังหน้าปกสวย = หนังดี ยังใช้ได้อยู่เสมอแฮะ ฮ่าๆๆๆๆ ก่อนหน้านี้เพิ่งเคยดูผลงานของ Jules Dassin แค่เรื่องเดียวคือ Rififi (1955) ซึ่งเป็นหนังฟิล์มนัวร์ปล้นร้านอัญมณีระดับ 10/10 ของผม มันเจ๋งทั้งบทหนัง ทั้งความเป็นฟิล์มนัวร์ และสุดยอดคลาสสิกฉากปล้นแบบ no dialogue ในเมื่อเครดิตแกในสายตาผมดีขนาดนี้ ผมจึงไม่ลังเลที่จะลัดคิว Night and the City ขึ้นมาดูก่อนเลยครับ และขอบอกเลยว่าแทบลืมฟิล์มนัวร์ทุกเรื่องที่เคยได้ดู!
'แฮรี่ ฟาเบียน' (Richard Widmark) นักต้มตุ๋นที่ทำงานหาลูกค้าให้ไนท์คลับ เขามีความทะเยอทะยานอยากลงทุนทำอะไรสักอย่าง(ด้วยเงินที่ยืมจากคนอื่น)แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ วันหนึ่งเขาเกิดไอเดียว่าจะลุกขึ้นมาเป็นโปรโมเตอร์มวยปล้ำแข่งกับ 'คริสโต' ซึ่งเป็นมาเฟียคุมมวยปล้ำในกรุงลอนดอน แผนการของเขาก็คืออาศัยบารมีของ 'เกรกอเรียส' อดีตนักมวยปล้ำชื่อดังซึ่งเป็นพ่อของคริสโต แน่นอนว่าคริสโตย่อมไม่พอใจเป็นอย่างมาก ส่วนตัวแฮรี่เองก็ต้องหาเงินมาลงทุน 200 ปอนด์ และได้คำมั่นจาก 'ฟิลิป' เจ้าของไนท์คลับว่าจะช่วยเขาอีก 200 ปอนด์ที่เหลือ แต่ในเมื่อเครดิตเขาย่ำแย่ขนาดนั้นใครที่ไหนจะให้เขายืมเงิน จนกระทั่ง 'เฮเลน' ภรรยาของฟิลิปยินดีให้เงินแก่เขาด้วยเงินที่เธอขโมยมาจากสามี สร้างความแค้นให้แก่ฟิลิปเป็นอย่างมาก ฟิลิปจึงยืมมือคริสโตในการกำจัดแฮรี่
สามเหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้โดยเด็ดขาด
1. การสร้างตัวละคร 'smart loser' ได้โคตรน่าสนใจ
- 'แฮรี่ ฟาเบียน' คือหนึ่งในสุดยอดตัวละครที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ
• หนังเปิดเรื่องด้วยภาพเขากำลังโกหกแฟนว่าจะเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจแต่ความจริงคือต้องเอาเงินไปจ่ายคนทวงหนี้ที่เพิ่งวิ่งไล่ตามเขามา (loser)
• ต่อมาหนังก็เสนอภาพการทำงานชักชวนแขกไปเข้าไนท์คลับด้วยเล่ห์เหลี่ยมการตีสนิทของเขา (smart)
• แล้วจากนั้นเมื่อเขาไปได้ยินความขัดแย้งระหว่าง 'คริสโต' กับ 'เกรกอเรียส' เขาจึงใช้อุบายเข้าไปตีสนิทกับนักมวยปล้ำชื่อดัง (smart)
• แต่เมื่อเขาจะหายืมเงินมาลงทุนจากคนรู้จักทั้งหลายแต่กลับไม่มีใครสนใจใยดีแม้ว่าเขาจะอ้อนวอนขอร้องแทบกราบเท้าขนาดไหน (loser)
• จนเมื่อเขาได้เงินก้อนจาก 'เฮเลน' มันก็ยังเป็นภาพของฝ่ายหญิงที่มีอำนาจเหนือกว่า เฮเลนอยากให้เขาเอาเงินก้อนนี้ไปเปิดไนท์คลับมากกว่าไปเป็นโปรโมเตอร์มวยปล้ำ นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจต่อ (loser) คนนี้
• แต่เขาก็ใช้ (smart) เอาตัวรอดไปได้
พูดเลยครับว่าตลอดทั้งเรื่องหนังแสดงให้เห็นภาพ smart/loser ตัดสลับไปมาทั้งเรื่อง!!! แม้กระทั่งในฉากสนทนาเดียวกันยังเป็นทั้งผู้ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าและกลายเป็นไอ้ขี้แพ้ในพริบตา!!! สุดยอดจริง ๆ ครับตัวละครนี้ เขาเป็นคนฉลาดมีความสามารถ มีความทะเยอทะยาน มีความขยันมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่า เพียงแต่สิ่งที่เขาทำมันมักจะผิดที่ผิดทางอยู่เสมอ ภาพเบื้องหน้าบุคลิกดูดีฉลาดน่าเคารพคบหา แต่เบื้องหลังคือ loser เต็มไปด้วยอุบายเล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นหนึ่งในตัวละครที่อยากให้คุณได้ชมกันมาก ๆ ครับ
แล้วอยากจะบอกอีกอย่างว่าชอบอุบายในการต้มตุ๋นของ 'แฮรี่ ฟาเบียน' หลายฉากมาก ฮ่าๆ เป็นหนึ่งในตัวละครที่เนียนเอาตัวรอดด้วยไหวพริบดีมาก แล้ววิธีตีสนิทคนอื่นเพื่อผลประโยชน์นี่มันเนียนตาจริง ๆ
2. มันทำให้หนังฟิล์มนัวร์เรื่องอื่นกลายเป็นหนังเด็กไปเลย
- อยากบอกว่าดูจบนี่แทบลืมฟิล์มนัวร์ระดับ masterpiece ทั้งหลายที่เคยดูมา แล้วคือรู้เลยว่าทำไมรักหนังฟิล์มนัวร์ขนาดนี้ โลกฟิล์มนัวร์ของ Night and the City นี่มันเต็มไปด้วยการทรยศหักหลังและความเห็นแก่ตัว!! เมื่อนักต้มตุ๋นต๊อกต๋อยคิดการณ์ใหญ่จะแหยมมาเฟียด้วยบารมีของ 'บุคคลที่มาเฟียแตะต้องไม่ได้' มาเฟียจึงต้องหาทางแสดงธาตุแท้ของนักต้มตุ๋นให้พ่อเขาเห็น
พื้นฐานของฟิล์มนัวร์คือหนังอาชญากรรมที่ให้ความสำคัญกับทัศนคติหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมและมักมีแรงจูงใจทางชั่วร้ายที่เกิดจากผู้หญิง พอมาตีความให้แคบเป็นหนังจึงอาจกล่าวได้ว่า ฟิล์มนัวร์คือหนังที่เกี่ยวข้องกับ 'ความทะเยอทะยานของมนุษย์' ซึ่งมักใหญ่ใฝ่สูงโดยไม่สนใจศีลธรรมความถูกต้อง อย่าง 'แฮรี่ ฟาเบียน' ในหนังเรื่องนี้ก็คือตัวอย่างของความทะเยอทะยานจาก loser ที่มองหา 'อะไรสักอย่าง' ที่จะถีบตัวเองขึ้นมาจากหลุมด้วยเล่ห์เหลี่ยมจากความ smart โดยไม่สนใจถูกผิด
ไหนจะตัวละครหญิงร้ายชายเลวซึ่งมักปรากฎให้เห็นในหนังฟิล์มนัวร์ 'เฮเลน' เธอไม่เพียงแต่วางแผนหักหลังสามีที่ทำไนท์คลับด้วยการหนีเขาไปเปิดไนท์คลับของตัวเอง แต่เธอยังเคยแอบคบชู้กับ 'แฮรี่' และนำเงินของสามีไปให้เขาตั้งตัวอีก โลกของฟิล์มนัวร์มันมักจะเป็นแบบนี้แหละครับ
แล้วพวกตัวประกอบหลาย ๆ คนในหนังนี่ก็แสดงให้เห็นภาพ 'สีเทา' ของการเอาตัวรอดด้วยความเห็นแก่ตัว แม้กระทั่งการทรยศหักหลังกันก็มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง และการที่ฟิล์มนัวร์มันเป็นเรื่องของการดิ้นรนเอาตัวรอด บางครั้งเราจึงไม่อาจไว้ใจใครในโลกฟิล์มนัวร์ได้เลย
3. นั่งดูมวยปล้ำตื่นเต้นจนลืมหายใจ!
- ผมเคยประทับใจฉากปล้น no dialogue สุดคลาสสิกเกือบ 30 นาทีใน Rififi ไปแล้ว ไม่คิดว่าจะยังมาเจอฉากมวยปล้ำความยาวเกือบ 5 นาทีจากหนังปี 1950 ที่ทำเอาลุ้นจนเข้าใจความหมายของคำว่า 'ลืมหายใจ' เลยครับ! ฉากบนเวทีมวยปล้ำมันตื่นเต้นลุ้นสุด ๆ เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แล้วระหว่างการปล้ำกันมันก็พลิกไปพลิกมาตลอดเวลา ด้วยมุมกล้อง การตัดต่อ ท่วงท่าและแอ๊คติ้งของตัวละคร ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นอีกหนึ่งฉากที่น่าจดจำครับ
การแสดงของ Richard Widmark สุดยอดมาก ๆ เข้าถึงบทบาทของตัวละคร smart loser ได้ดีมาก ฉากไหนขี้แพ้นี่ก็รู้สึกเลยว่า
ไม่ได้เรื่องจริง ๆ แต่พอฉากไหนที่เขาดูมีความหวังก็เห็นแววที่ทำให้เชื่อว่าเขามุ่งมั่นจะประสบความสำเร็จขนาดไหน นอกจานี้ฉากที่ต้องใช้ความเนียนเอาตัวรอดเขายังเล่นได้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติมาก
เสียดายนิดหน่อยที่ Jules Dassin ใช้เอกลักษณ์งานภาพของหนังฟิล์มนัวร์คือการถ่ายแบบ low-key ไม่คุ้มเลย (การถ่ายภาพเน้นพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพเป็นโทนสีดำ เล่นความสว่างของภาพด้วยแสงเงา)
ใครที่เป็นแฟนหนังฟิล์มนัวร์ห้ามพลาดเรื่องนี้โดยเด็ดขาดครับ เป็นงานชิ้นที่สองของ Jules Dassin ที่ผมได้ดู และทำให้ผมสนใจจะดูงานชิ้นอื่นของเขาต่อไปเร็ว ๆ นี้ครับ คลาสสิกขึ้นหิ้งสมราคา Criterion collection
"You've got it all... but you're a dead man."
Director: Jules Dassin
Novel: Gerald Kersh
Screenplay: Jo Eisinger
contributing writer: Austin Dempster, William E. Watts
Genre: Film-noir, Crime, Thriller, Sport
9.5/10
ยังมีหนังอีกมากที่:
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
Night and the City (1950) ฟิล์มนัวร์ที่ทำให้หนังแนวเดียวกันเรื่องอื่นกลายเป็นหนังเด็กเล่นไปเลย
ทฤษฎีหนังหน้าปกสวย = หนังดี ยังใช้ได้อยู่เสมอแฮะ ฮ่าๆๆๆๆ ก่อนหน้านี้เพิ่งเคยดูผลงานของ Jules Dassin แค่เรื่องเดียวคือ Rififi (1955) ซึ่งเป็นหนังฟิล์มนัวร์ปล้นร้านอัญมณีระดับ 10/10 ของผม มันเจ๋งทั้งบทหนัง ทั้งความเป็นฟิล์มนัวร์ และสุดยอดคลาสสิกฉากปล้นแบบ no dialogue ในเมื่อเครดิตแกในสายตาผมดีขนาดนี้ ผมจึงไม่ลังเลที่จะลัดคิว Night and the City ขึ้นมาดูก่อนเลยครับ และขอบอกเลยว่าแทบลืมฟิล์มนัวร์ทุกเรื่องที่เคยได้ดู!
'แฮรี่ ฟาเบียน' (Richard Widmark) นักต้มตุ๋นที่ทำงานหาลูกค้าให้ไนท์คลับ เขามีความทะเยอทะยานอยากลงทุนทำอะไรสักอย่าง(ด้วยเงินที่ยืมจากคนอื่น)แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ วันหนึ่งเขาเกิดไอเดียว่าจะลุกขึ้นมาเป็นโปรโมเตอร์มวยปล้ำแข่งกับ 'คริสโต' ซึ่งเป็นมาเฟียคุมมวยปล้ำในกรุงลอนดอน แผนการของเขาก็คืออาศัยบารมีของ 'เกรกอเรียส' อดีตนักมวยปล้ำชื่อดังซึ่งเป็นพ่อของคริสโต แน่นอนว่าคริสโตย่อมไม่พอใจเป็นอย่างมาก ส่วนตัวแฮรี่เองก็ต้องหาเงินมาลงทุน 200 ปอนด์ และได้คำมั่นจาก 'ฟิลิป' เจ้าของไนท์คลับว่าจะช่วยเขาอีก 200 ปอนด์ที่เหลือ แต่ในเมื่อเครดิตเขาย่ำแย่ขนาดนั้นใครที่ไหนจะให้เขายืมเงิน จนกระทั่ง 'เฮเลน' ภรรยาของฟิลิปยินดีให้เงินแก่เขาด้วยเงินที่เธอขโมยมาจากสามี สร้างความแค้นให้แก่ฟิลิปเป็นอย่างมาก ฟิลิปจึงยืมมือคริสโตในการกำจัดแฮรี่
สามเหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้โดยเด็ดขาด
1. การสร้างตัวละคร 'smart loser' ได้โคตรน่าสนใจ
- 'แฮรี่ ฟาเบียน' คือหนึ่งในสุดยอดตัวละครที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ
• หนังเปิดเรื่องด้วยภาพเขากำลังโกหกแฟนว่าจะเอาเงินไปลงทุนทำธุรกิจแต่ความจริงคือต้องเอาเงินไปจ่ายคนทวงหนี้ที่เพิ่งวิ่งไล่ตามเขามา (loser)
• ต่อมาหนังก็เสนอภาพการทำงานชักชวนแขกไปเข้าไนท์คลับด้วยเล่ห์เหลี่ยมการตีสนิทของเขา (smart)
• แล้วจากนั้นเมื่อเขาไปได้ยินความขัดแย้งระหว่าง 'คริสโต' กับ 'เกรกอเรียส' เขาจึงใช้อุบายเข้าไปตีสนิทกับนักมวยปล้ำชื่อดัง (smart)
• แต่เมื่อเขาจะหายืมเงินมาลงทุนจากคนรู้จักทั้งหลายแต่กลับไม่มีใครสนใจใยดีแม้ว่าเขาจะอ้อนวอนขอร้องแทบกราบเท้าขนาดไหน (loser)
• จนเมื่อเขาได้เงินก้อนจาก 'เฮเลน' มันก็ยังเป็นภาพของฝ่ายหญิงที่มีอำนาจเหนือกว่า เฮเลนอยากให้เขาเอาเงินก้อนนี้ไปเปิดไนท์คลับมากกว่าไปเป็นโปรโมเตอร์มวยปล้ำ นั่นแสดงให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจต่อ (loser) คนนี้
• แต่เขาก็ใช้ (smart) เอาตัวรอดไปได้
พูดเลยครับว่าตลอดทั้งเรื่องหนังแสดงให้เห็นภาพ smart/loser ตัดสลับไปมาทั้งเรื่อง!!! แม้กระทั่งในฉากสนทนาเดียวกันยังเป็นทั้งผู้ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าและกลายเป็นไอ้ขี้แพ้ในพริบตา!!! สุดยอดจริง ๆ ครับตัวละครนี้ เขาเป็นคนฉลาดมีความสามารถ มีความทะเยอทะยาน มีความขยันมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่า เพียงแต่สิ่งที่เขาทำมันมักจะผิดที่ผิดทางอยู่เสมอ ภาพเบื้องหน้าบุคลิกดูดีฉลาดน่าเคารพคบหา แต่เบื้องหลังคือ loser เต็มไปด้วยอุบายเล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นหนึ่งในตัวละครที่อยากให้คุณได้ชมกันมาก ๆ ครับ
แล้วอยากจะบอกอีกอย่างว่าชอบอุบายในการต้มตุ๋นของ 'แฮรี่ ฟาเบียน' หลายฉากมาก ฮ่าๆ เป็นหนึ่งในตัวละครที่เนียนเอาตัวรอดด้วยไหวพริบดีมาก แล้ววิธีตีสนิทคนอื่นเพื่อผลประโยชน์นี่มันเนียนตาจริง ๆ
2. มันทำให้หนังฟิล์มนัวร์เรื่องอื่นกลายเป็นหนังเด็กไปเลย
- อยากบอกว่าดูจบนี่แทบลืมฟิล์มนัวร์ระดับ masterpiece ทั้งหลายที่เคยดูมา แล้วคือรู้เลยว่าทำไมรักหนังฟิล์มนัวร์ขนาดนี้ โลกฟิล์มนัวร์ของ Night and the City นี่มันเต็มไปด้วยการทรยศหักหลังและความเห็นแก่ตัว!! เมื่อนักต้มตุ๋นต๊อกต๋อยคิดการณ์ใหญ่จะแหยมมาเฟียด้วยบารมีของ 'บุคคลที่มาเฟียแตะต้องไม่ได้' มาเฟียจึงต้องหาทางแสดงธาตุแท้ของนักต้มตุ๋นให้พ่อเขาเห็น
พื้นฐานของฟิล์มนัวร์คือหนังอาชญากรรมที่ให้ความสำคัญกับทัศนคติหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมและมักมีแรงจูงใจทางชั่วร้ายที่เกิดจากผู้หญิง พอมาตีความให้แคบเป็นหนังจึงอาจกล่าวได้ว่า ฟิล์มนัวร์คือหนังที่เกี่ยวข้องกับ 'ความทะเยอทะยานของมนุษย์' ซึ่งมักใหญ่ใฝ่สูงโดยไม่สนใจศีลธรรมความถูกต้อง อย่าง 'แฮรี่ ฟาเบียน' ในหนังเรื่องนี้ก็คือตัวอย่างของความทะเยอทะยานจาก loser ที่มองหา 'อะไรสักอย่าง' ที่จะถีบตัวเองขึ้นมาจากหลุมด้วยเล่ห์เหลี่ยมจากความ smart โดยไม่สนใจถูกผิด
ไหนจะตัวละครหญิงร้ายชายเลวซึ่งมักปรากฎให้เห็นในหนังฟิล์มนัวร์ 'เฮเลน' เธอไม่เพียงแต่วางแผนหักหลังสามีที่ทำไนท์คลับด้วยการหนีเขาไปเปิดไนท์คลับของตัวเอง แต่เธอยังเคยแอบคบชู้กับ 'แฮรี่' และนำเงินของสามีไปให้เขาตั้งตัวอีก โลกของฟิล์มนัวร์มันมักจะเป็นแบบนี้แหละครับ
แล้วพวกตัวประกอบหลาย ๆ คนในหนังนี่ก็แสดงให้เห็นภาพ 'สีเทา' ของการเอาตัวรอดด้วยความเห็นแก่ตัว แม้กระทั่งการทรยศหักหลังกันก็มีให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง และการที่ฟิล์มนัวร์มันเป็นเรื่องของการดิ้นรนเอาตัวรอด บางครั้งเราจึงไม่อาจไว้ใจใครในโลกฟิล์มนัวร์ได้เลย
3. นั่งดูมวยปล้ำตื่นเต้นจนลืมหายใจ!
- ผมเคยประทับใจฉากปล้น no dialogue สุดคลาสสิกเกือบ 30 นาทีใน Rififi ไปแล้ว ไม่คิดว่าจะยังมาเจอฉากมวยปล้ำความยาวเกือบ 5 นาทีจากหนังปี 1950 ที่ทำเอาลุ้นจนเข้าใจความหมายของคำว่า 'ลืมหายใจ' เลยครับ! ฉากบนเวทีมวยปล้ำมันตื่นเต้นลุ้นสุด ๆ เพราะเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แล้วระหว่างการปล้ำกันมันก็พลิกไปพลิกมาตลอดเวลา ด้วยมุมกล้อง การตัดต่อ ท่วงท่าและแอ๊คติ้งของตัวละคร ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นอีกหนึ่งฉากที่น่าจดจำครับ
การแสดงของ Richard Widmark สุดยอดมาก ๆ เข้าถึงบทบาทของตัวละคร smart loser ได้ดีมาก ฉากไหนขี้แพ้นี่ก็รู้สึกเลยว่าไม่ได้เรื่องจริง ๆ แต่พอฉากไหนที่เขาดูมีความหวังก็เห็นแววที่ทำให้เชื่อว่าเขามุ่งมั่นจะประสบความสำเร็จขนาดไหน นอกจานี้ฉากที่ต้องใช้ความเนียนเอาตัวรอดเขายังเล่นได้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติมาก
เสียดายนิดหน่อยที่ Jules Dassin ใช้เอกลักษณ์งานภาพของหนังฟิล์มนัวร์คือการถ่ายแบบ low-key ไม่คุ้มเลย (การถ่ายภาพเน้นพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพเป็นโทนสีดำ เล่นความสว่างของภาพด้วยแสงเงา)
ใครที่เป็นแฟนหนังฟิล์มนัวร์ห้ามพลาดเรื่องนี้โดยเด็ดขาดครับ เป็นงานชิ้นที่สองของ Jules Dassin ที่ผมได้ดู และทำให้ผมสนใจจะดูงานชิ้นอื่นของเขาต่อไปเร็ว ๆ นี้ครับ คลาสสิกขึ้นหิ้งสมราคา Criterion collection
"You've got it all... but you're a dead man."
Director: Jules Dassin
Novel: Gerald Kersh
Screenplay: Jo Eisinger
contributing writer: Austin Dempster, William E. Watts
Genre: Film-noir, Crime, Thriller, Sport
9.5/10
ยังมีหนังอีกมากที่: https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms