กาลครั้งหนึ่ง เมื่อผมเคยถูก “อคติ” พิพากษา
“12 Angry Men” เป็นหนังเก่าปี 1957 ว่าด้วยเรื่องคณะลูกขุนที่ต้องมาลงมติ “คดีลูกฆ่าพ่อ” ว่าเด็กมีความผิดจริงหรือไม่ ด้วยการวิเคราะห์พยานหลักฐาน คณะลูกขุนทั้ง 12 คน จึงเปรียบเสมือนคนในสังคมที่กำลังคิด กำลังมอง หรือแม้กระทั่งกำลังตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า
บ้างก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะมีเหตุผลรองรับ | บ้างก็ตัดสินด้วยอารมณ์ | บ้างก็ตัดสินอย่างมีอคติ | บ้างก็เลือกข้างและตั้งธงไว้ก่อนแล้ว | บ้างก็ตัดสินคนจากฐานะชาติกำเนิด | บ้างก็เป็นพวกมากลากไป ฯลฯ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วช่าง “ตรงกับชีวิตตัวเอง” อย่างน่าเหลือเชื่อครับ
ขอย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งที่ยังเรียน ม.ปลาย โทรศัพท์ของเพื่อนในห้องค่อยๆ หายไปทีละเครื่องสองเครื่อง ตอนแรกคิดกันว่าคงลืมหรือทำหายที่ไหนซักแห่ง แต่เวลาผ่านไป โทรศัพท์แต่ละคนก็อันตรธานหายไปเครื่องแล้วเครื่องเล่า ถ้าจำไม่ผิด มันน่าจะเกือบ 10 เครื่องได้
ทุกคนเลยลงมติกันว่า “คงเป็นเดนเมนุษย์คนหนึ่งคนใดในห้องนี่ล่ะ ที่มันเป็นหัวขโมย” และคนที่ถูกสงสัยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... “คือตัวกระผมเอง” 555 ระหว่างนั้นก็โดนเยอะพอสมควรฮะ ทั้งโดนจิก โดนด่า โดนเหยียด โดนระแวง แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนอยู่ข้างผมนะ
ในขณะที่ตัวผมเอง โดนเยอะขนาดนี้แต่ก็ยังเป็นทองไม่รู้ร้อน 555 ใช้ชีวิตตามปกติ ยิ้มได้ หัวเราะได้ ไม่ทุกข์ ไม่สะทกสะท้านใดๆ เพราะถ้า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้” ผมมาโรงเรียนเพราะมีหน้าที่เรียนหนังสือ เรียนเสร็จก็กลับบ้าน ไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว!! เพราะหลักฐานอะไรก็ไม่มี ทุกอย่างที่ตัดสินกันคือ “เรื่องที่มโนเอาเอง” ทั้งนั้น
เอาล่ะ! มาดู “คณะลูกขุน” ที่พิพากษาผม แต่ละคนเค้ามีลักษณะคล้ายลูกขุนในหนังหรือป่าว?? (มีคำหยาบหน่อยนะครับ เพื่ออรรถรส)
ขอเริ่มที่คนที่พอจะดูมีเหตุมีผลหน่อยนะ ถึงมันจะเบาโหวงก็ตาม เค้าว่าผมเป็นคนร้าย เพราะ...(น่าจะ) เป็นคนเดียวในห้องที่ไม่เคยพกโทรศัพท์ไปโรงเรียน (มันคงคาดว่าผมไม่มีเงินซื้อ แต่อยากมีโทรศัพท์กะเค้าบ้าง)
ผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์ (ตามข้อเท็จจริงไม่ชอบคุยมาถึงทุกวันนี้ เพราะแพ้คลืนโทรศัพท์ และปวดหัว) เพิ่งซื้อคอมเครื่องแรกในชีวิต เอาตังค์ที่ไหนซื้อ? (อยากจะบอกว่า...แม่กูเป็นผู้หญิงที่เก่งและเก็บตังค์เป็นนะ!)
บางคนก็เหยียดฐานะ หาว่าบ้านผมไม่รวย (อยากจะบอกว่า กรูนี่แหละเศรษฐีบ้านนอกโว้ยย!! 555) บ้านผมไม่ได้มีหน้ามีตา หรือเป็นลูกข้าราชการ (เพื่อนในห้องส่วนใหญ่เป็นลูกข้าราชการครับ แต่จะเป็นลูกใครมันก็คนเหมือนกัน เอามาตัดสินความผิดได้หรือ?)
บางคนหมั่นไส้ผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดเลยครับ เสริมโรงเต็มที่ บางคนตั้งธงไว้ในแล้ว เราทำอะไรก็ดูผิดไปหมด แม้กระทั่งไปเข้าห้องน้ำ ไปกินข้าว หรือไปซื้อขนม มันจับผิดหมด (ก็ซื้อก็กินพร้อมพวกเมิงนั่นแหละ คนอื่นก็ทำแต่ไม่โดนจับผิด)
บางคนก็หน้าใหญ่ อยากเป็นคนสำคัญของห้อง ก็พยายามมีส่วนร่วมในการจับผิด และออกตัวเป็นหัวหอกในเรื่องนี้
บางคนเป็นพวกมากลากไป เค้าเชื่อก็เชื่อตามเค้า ไม่มีเหตุผลของตัวเอง บางคนไม่ออกตัวชัดเจนแต่ก็แอบระแวง
บางคนต่อหน้าพูดจา เพราะชอบมาขอความช่วยเหลือเรา แต่หลับหลังจัดเต็ม!! (ซึ่งตัวผมรู้ว่าเค้าหน้าไหว้หลังหลอก แต่ตัวเค้าเองน่ะแหละที่ไม่รู้ว่าจริงๆ ผมรู้ทัน) ซึ่งคนที่ไม่น่าคบที่สุด ก็คือ คนจำพวกนี้
แต่ก็มีคนที่เป็นลูกขุนคนที่ 8 ในหนัง คือ ไม่เชื่ออย่างอคติเหมือนคนอื่น เพราะยังไม่มีหลักฐานอะไรมามัดตัวผมเลย แต่เพื่อนกลุ่มนี้จะไม่ออกตัวแรงหรือแสดงบทบาทเท่ากับคนที่คิดว่าผมเป็นคนร้าย
ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์เกิดขึ้นร่วมเทอม ในที่สุดก็จับตัวคนร้ายได้ “ซึ่งไม่ใช่ผมแน่นอน” แต่เป็นเพื่อนอีกคนนึงในห้องนั่นแหละ อาจารย์ และผู้ใหญ่ก็รับทราบกัน แต่เห็นเป็นเด็กไม่อยากให้เสียอนาคต เลยไม่ให้เรื่องใหญ่โต เพื่อนๆ ที่โทรศัพท์หาย เท่าที่รู้ก็ไม่ได้เรื่องเอาราวอะไรครับ เรื่องราวเลยจบลง ไม่งั้นผมน่าจะโดนอีกเยอะ
----------------------------------
ปล.1 เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ยังไม่ได้ใส่สีตีไข่ เพราะเรื่องจริง Detail ของ “น้ำจิ้ม” เยอะกว่านี้อีกมาก
ปล.2 ผมไม่ทุกข์ ไม่โกรธ เพราะปกติเป็นคนโกรธไม่เป็น แต่อยากจะบอกว่าตอนนั้น “ผมเบื่อและรำคาญพวกมันมากกก” เกิดมาไม่เคยเบื่อและรำคาญอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยครับ แต่ก็ผ่านมาได้
ปล.3 ขอบคุณเพื่อนที่เชื่อในตัวผม ไม่อคติ
ปล.4 คนร้าย ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคร้าย เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนในวัยแค่ 20 ต้นๆ
ปล.5 เรื่องราวจบลงและผ่านไป โดยที่ผม “ไม่ได้รับคำขอโทษ” จากใครเลยแม้แต่คนเดียว
ปล.6 ตอนเกิดเรื่อง ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับที่บ้าน เพราะคิดว่าตัวเอง “เอาอยู่” และไม่อยากเอาเรื่อง “งี่เง่า” มาทำให้ที่บ้านไม่สบายใจ
ปล.7 อีก 4 ปีต่อมาหลังจากเกิดเรื่อง ผมตัดสินใจเล่าให้แม่ฟังครั้งแรก แม่มีความเห็นต่อเรื่องนี้แค่คำเดียว คือ “เค้าคิดว่าบ้านเรากระจอกใช่มั้ย?” สิ้นเสียงนี้จบ สองแม่ลูกหัวเราะ พร้อมกับช่วยกันแกะปลาทูตำน้ำพริกอยู่ในครัว...ที่บ้านไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
เป็นครั้งแรกที่ Tag ห้องอื่นที่ไม่เฉลิมไทย รู้สึกตื่นเต้นพอสมควรที่จะได้เปิดโลกกว้าง 555
เรื่องนี้ถือเล่าสู่กันฟังนะครับ อยากรู้ว่ามีใครเคยโดนตัดสินคนด้วย “อคติ” แบบนี้บ้าง อยากรู้จังครับ
สุดท้ายครับ...ฝากหนังเรื่องนี้ด้วย หนังดีมากกก สนุกโคตรๆ เถียงกันไฟแลบ อย่าลืมไปหามาดูกันนะครับ
ตัวอย่างหนัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เสวนาเรื่องหนังๆ ที่นี่ "เบิกโรงซินีม่า"
https://www.facebook.com/BergRongCinema
*** ดูหนังแล้วตรงกับชีวิตจริง "12 Angry Men" : กาลครั้งหนึ่ง เมื่อผมเคยถูก “อคติ” พิพากษา ***
“12 Angry Men” เป็นหนังเก่าปี 1957 ว่าด้วยเรื่องคณะลูกขุนที่ต้องมาลงมติ “คดีลูกฆ่าพ่อ” ว่าเด็กมีความผิดจริงหรือไม่ ด้วยการวิเคราะห์พยานหลักฐาน คณะลูกขุนทั้ง 12 คน จึงเปรียบเสมือนคนในสังคมที่กำลังคิด กำลังมอง หรือแม้กระทั่งกำลังตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า
บ้างก็ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะมีเหตุผลรองรับ | บ้างก็ตัดสินด้วยอารมณ์ | บ้างก็ตัดสินอย่างมีอคติ | บ้างก็เลือกข้างและตั้งธงไว้ก่อนแล้ว | บ้างก็ตัดสินคนจากฐานะชาติกำเนิด | บ้างก็เป็นพวกมากลากไป ฯลฯ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วช่าง “ตรงกับชีวิตตัวเอง” อย่างน่าเหลือเชื่อครับ
ขอย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งที่ยังเรียน ม.ปลาย โทรศัพท์ของเพื่อนในห้องค่อยๆ หายไปทีละเครื่องสองเครื่อง ตอนแรกคิดกันว่าคงลืมหรือทำหายที่ไหนซักแห่ง แต่เวลาผ่านไป โทรศัพท์แต่ละคนก็อันตรธานหายไปเครื่องแล้วเครื่องเล่า ถ้าจำไม่ผิด มันน่าจะเกือบ 10 เครื่องได้
ทุกคนเลยลงมติกันว่า “คงเป็นเดนเมนุษย์คนหนึ่งคนใดในห้องนี่ล่ะ ที่มันเป็นหัวขโมย” และคนที่ถูกสงสัยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน... “คือตัวกระผมเอง” 555 ระหว่างนั้นก็โดนเยอะพอสมควรฮะ ทั้งโดนจิก โดนด่า โดนเหยียด โดนระแวง แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนอยู่ข้างผมนะ
ในขณะที่ตัวผมเอง โดนเยอะขนาดนี้แต่ก็ยังเป็นทองไม่รู้ร้อน 555 ใช้ชีวิตตามปกติ ยิ้มได้ หัวเราะได้ ไม่ทุกข์ ไม่สะทกสะท้านใดๆ เพราะถ้า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้” ผมมาโรงเรียนเพราะมีหน้าที่เรียนหนังสือ เรียนเสร็จก็กลับบ้าน ไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว!! เพราะหลักฐานอะไรก็ไม่มี ทุกอย่างที่ตัดสินกันคือ “เรื่องที่มโนเอาเอง” ทั้งนั้น
เอาล่ะ! มาดู “คณะลูกขุน” ที่พิพากษาผม แต่ละคนเค้ามีลักษณะคล้ายลูกขุนในหนังหรือป่าว?? (มีคำหยาบหน่อยนะครับ เพื่ออรรถรส)
ขอเริ่มที่คนที่พอจะดูมีเหตุมีผลหน่อยนะ ถึงมันจะเบาโหวงก็ตาม เค้าว่าผมเป็นคนร้าย เพราะ...(น่าจะ) เป็นคนเดียวในห้องที่ไม่เคยพกโทรศัพท์ไปโรงเรียน (มันคงคาดว่าผมไม่มีเงินซื้อ แต่อยากมีโทรศัพท์กะเค้าบ้าง)
ผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์ (ตามข้อเท็จจริงไม่ชอบคุยมาถึงทุกวันนี้ เพราะแพ้คลืนโทรศัพท์ และปวดหัว) เพิ่งซื้อคอมเครื่องแรกในชีวิต เอาตังค์ที่ไหนซื้อ? (อยากจะบอกว่า...แม่กูเป็นผู้หญิงที่เก่งและเก็บตังค์เป็นนะ!)
บางคนก็เหยียดฐานะ หาว่าบ้านผมไม่รวย (อยากจะบอกว่า กรูนี่แหละเศรษฐีบ้านนอกโว้ยย!! 555) บ้านผมไม่ได้มีหน้ามีตา หรือเป็นลูกข้าราชการ (เพื่อนในห้องส่วนใหญ่เป็นลูกข้าราชการครับ แต่จะเป็นลูกใครมันก็คนเหมือนกัน เอามาตัดสินความผิดได้หรือ?)
บางคนหมั่นไส้ผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดเลยครับ เสริมโรงเต็มที่ บางคนตั้งธงไว้ในแล้ว เราทำอะไรก็ดูผิดไปหมด แม้กระทั่งไปเข้าห้องน้ำ ไปกินข้าว หรือไปซื้อขนม มันจับผิดหมด (ก็ซื้อก็กินพร้อมพวกเมิงนั่นแหละ คนอื่นก็ทำแต่ไม่โดนจับผิด)
บางคนก็หน้าใหญ่ อยากเป็นคนสำคัญของห้อง ก็พยายามมีส่วนร่วมในการจับผิด และออกตัวเป็นหัวหอกในเรื่องนี้
บางคนเป็นพวกมากลากไป เค้าเชื่อก็เชื่อตามเค้า ไม่มีเหตุผลของตัวเอง บางคนไม่ออกตัวชัดเจนแต่ก็แอบระแวง
บางคนต่อหน้าพูดจา เพราะชอบมาขอความช่วยเหลือเรา แต่หลับหลังจัดเต็ม!! (ซึ่งตัวผมรู้ว่าเค้าหน้าไหว้หลังหลอก แต่ตัวเค้าเองน่ะแหละที่ไม่รู้ว่าจริงๆ ผมรู้ทัน) ซึ่งคนที่ไม่น่าคบที่สุด ก็คือ คนจำพวกนี้
แต่ก็มีคนที่เป็นลูกขุนคนที่ 8 ในหนัง คือ ไม่เชื่ออย่างอคติเหมือนคนอื่น เพราะยังไม่มีหลักฐานอะไรมามัดตัวผมเลย แต่เพื่อนกลุ่มนี้จะไม่ออกตัวแรงหรือแสดงบทบาทเท่ากับคนที่คิดว่าผมเป็นคนร้าย
ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์เกิดขึ้นร่วมเทอม ในที่สุดก็จับตัวคนร้ายได้ “ซึ่งไม่ใช่ผมแน่นอน” แต่เป็นเพื่อนอีกคนนึงในห้องนั่นแหละ อาจารย์ และผู้ใหญ่ก็รับทราบกัน แต่เห็นเป็นเด็กไม่อยากให้เสียอนาคต เลยไม่ให้เรื่องใหญ่โต เพื่อนๆ ที่โทรศัพท์หาย เท่าที่รู้ก็ไม่ได้เรื่องเอาราวอะไรครับ เรื่องราวเลยจบลง ไม่งั้นผมน่าจะโดนอีกเยอะ
----------------------------------
ปล.1 เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ยังไม่ได้ใส่สีตีไข่ เพราะเรื่องจริง Detail ของ “น้ำจิ้ม” เยอะกว่านี้อีกมาก
ปล.2 ผมไม่ทุกข์ ไม่โกรธ เพราะปกติเป็นคนโกรธไม่เป็น แต่อยากจะบอกว่าตอนนั้น “ผมเบื่อและรำคาญพวกมันมากกก” เกิดมาไม่เคยเบื่อและรำคาญอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยครับ แต่ก็ผ่านมาได้
ปล.3 ขอบคุณเพื่อนที่เชื่อในตัวผม ไม่อคติ
ปล.4 คนร้าย ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคร้าย เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนในวัยแค่ 20 ต้นๆ
ปล.5 เรื่องราวจบลงและผ่านไป โดยที่ผม “ไม่ได้รับคำขอโทษ” จากใครเลยแม้แต่คนเดียว
ปล.6 ตอนเกิดเรื่อง ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับที่บ้าน เพราะคิดว่าตัวเอง “เอาอยู่” และไม่อยากเอาเรื่อง “งี่เง่า” มาทำให้ที่บ้านไม่สบายใจ
ปล.7 อีก 4 ปีต่อมาหลังจากเกิดเรื่อง ผมตัดสินใจเล่าให้แม่ฟังครั้งแรก แม่มีความเห็นต่อเรื่องนี้แค่คำเดียว คือ “เค้าคิดว่าบ้านเรากระจอกใช่มั้ย?” สิ้นเสียงนี้จบ สองแม่ลูกหัวเราะ พร้อมกับช่วยกันแกะปลาทูตำน้ำพริกอยู่ในครัว...ที่บ้านไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย
เป็นครั้งแรกที่ Tag ห้องอื่นที่ไม่เฉลิมไทย รู้สึกตื่นเต้นพอสมควรที่จะได้เปิดโลกกว้าง 555
เรื่องนี้ถือเล่าสู่กันฟังนะครับ อยากรู้ว่ามีใครเคยโดนตัดสินคนด้วย “อคติ” แบบนี้บ้าง อยากรู้จังครับ
สุดท้ายครับ...ฝากหนังเรื่องนี้ด้วย หนังดีมากกก สนุกโคตรๆ เถียงกันไฟแลบ อย่าลืมไปหามาดูกันนะครับ
ตัวอย่างหนัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เสวนาเรื่องหนังๆ ที่นี่ "เบิกโรงซินีม่า"
https://www.facebook.com/BergRongCinema